เย่เฟิงได้ยินคำพูดของชิงเซียงก็นิ่งอึ้งไป ก่อนจะเข้าใจความหมายของชิงเซียงในทันที พลางคิดในใจว่า “ไม่คิดว่าหญิงผู้นี้จะโกหกอาจารย์อานาง หรือนางทำไปก็เพื่อปกป้องข้า?”
หญิงผู้นั้นสบตามองกับชิงเซียงราวกับว่าพบบางอย่างในแววตาของชิงเซียง แต่สีหน้าของชิงเซียงกลับดูเ็าตลอด ไม่มีอะไรผิดแปลกไปแม้แต่น้อย จากนั้นหญิงสาวหันไปมองหลันเซียงแล้วกล่าวถามว่า “หลันเซียง มีเื่เช่นนี้หรือไม่?”
“ใช่แล้ว ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มถูกมู่หรงเฟิงแย่งชิงไปได้จริง ๆ” หลันเซียงชาญฉลาดไม่แพ้กัน นางเข้าใจความหมายของชิงเซียงทันที ก่อนจะกล่าวกับหญิงสาวเช่นนั้น
หญิงสาวก็ไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด แต่ดวงตาคู่งามเผยประกายคมกริบ “เขาชิงไปได้ตามคาด คนผู้นี้ถูกมิติปั่นป่วนกลืนกินไปก็ช่างปะไร แต่ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้แล้ว ช่างน่าเสียดายเป็อย่างยิ่ง”
เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวหันไปมองเย่เฟิงที่อยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ จากนั้นเอ่ยถามชิงเซียงและหลันเซียงว่า “คนผู้นี้คือใคร? เหตุใดเขาถึงอยู่กับพวกเ้าได้?”
“เรียนอาจารย์อา คนนี้คือคุณชายเย่ เป็สหายของข้ากับศิษย์พี่ที่รู้จักกันในมิติก้นบึ้งทะเลสาบ ครั้งนี้คุณชายเย่ช่วยเหลือข้าและศิษย์พี่ไว้ไม่น้อยเลย กล่าวได้ว่าหากไม่มีคุณชายเย่ เราสองคนก็ไม่มีทางหนีออกมาจากการปั่นป่วนของมิติได้อย่างแน่นอน” หลันเซียงได้ยินเช่นนั้นก็เผยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวแนะนำเขาให้กับหญิงสาว
“ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 คิดไม่ถึงว่าจะรอดชีวิตจากมิติก้นบึ้งทะเลสาบได้ ช่างไม่ง่ายเลย” หญิงสาวกล่าวขณะมองสำรวจเย่เฟิงอีกครั้ง ก่อนจะดูตบะของเย่เฟิงออกในทันที
หลังจากที่เย่เฟิงบำเพ็ญเพียรจนบรรลุขั้นยุทธ์แท้ ศักยภาพและพละกำลังก็เปลี่ยนไป แม้เย่เฟิงจะยังไม่ปลดปล่อยลมปราณ แต่ผู้อื่นก็ยากที่จะมองทะลุตบะของเขาได้ บัดนี้หญิงสาวที่ดูผิวเผินแล้วอายุ 28-29 ปีกลับมองทะลุตบะของเย่เฟิงได้ในพริบตา เห็นชัดว่าตบะของหญิงสาวผู้นี้ทรงพลังมากเพียงใด
“แต่อาจารย์อาอยากจะเตือนพวกเ้าสองคนไว้หน่อย เทียนเซียงหลินข้าไม่อนุญาตให้ศิษย์คนใดเข้าใกล้ผู้ชายมากเกินไป พวกเ้าสองคนจำเป็ต้องรักษาระยะห่าง ได้ยินแล้วใช่ไหม?” หญิงสาวกล่าวตักเตือน
“รับทราบ อาจารย์อา!” หญิงทั้งสองโค้งคำนับหญิงสาวผู้นั้นพร้อมกัน
“อาจารย์อาเชื่อว่าพวกเ้าจะไม่เนรคุณสำนักเพียงเพราะความรักใคร่ระหว่างชายหญิงอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนั้น” หญิงสาวกล่าวต่อ จากนั้นนางมองไปที่เย่เฟิงอีกครั้งด้วยสายตาเรียบเฉย ไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ ราวกับมองสิ่งของก็ไม่ปาน บางทีในสายตาของหญิงสาว เย่เฟิงในตอนนี้ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
หลังจากนั้นได้ยินหญิงสาวผู้นั้นกล่าวขึ้นว่า “ศิษย์เทียนเซียงหลิน ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเข้ามาเกี่ยวพัน คนไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นเ้ายิ่งไม่ต้องคิดมาตีสนิทกับศิษย์หลานทั้งสองของข้า ต่อจากนี้เ้าก็เดินไปตามหาทางของเ้าเอง ถือซะว่าพวกเ้าสามคนไม่เคยพบกันมาก่อน เป็เพียงคนแปลกหน้าต่อกัน หากฝ่าฝืน ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเ้าแน่!”
ถ้อยคำของหญิงสาวตรงไปตรงมา นางห้ามเย่เฟิงไม่ให้เข้าใกล้ชิงเซียงและหลันเซียง ศิษย์หญิงแห่งเทียนเซียงหลินถือว่ายากมากที่จะแต่งออกเรือนไปได้ง่าย ๆ ผู้ที่แต่งออกไปนั้นล้วนแต่แต่งกับผู้มีพร์ มีตำแหน่งฐานะ และผู้ที่มีศักยภาพในเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ในสายตาของหญิงสาว เห็นชัดว่าเย่เฟิงไม่ใช่คนประเภทนี้ ยิ่งมีความเป็ไปได้สูงที่มีเจตนาจงใจเข้าใกล้ศิษย์ทั้งสองของเทียนเซียงหลิน หรือบางทีอาจหลงใหลในความงามของหญิงทั้งสองจึงรุกทำตัวสนิทชิดเชื้อ
“นี่คือเม็ดยาซานชิงลิ่วชี่ หลังจากใช้มัน มันจะสามารถเพิ่มพูนตบะของเ้าได้ จำเอาไว้ว่าต่อไปอย่ามาทำตัวตีสนิทกับศิษย์เทียนเซียงหลิน ยังไงซะเ้ากับพวกนางก็ไม่ใช่คนระดับเดียวกัน ทำสิ่งใดย่อมต้องรู้อยู่แก่ใจ”
ขณะกล่าว พลันปรากฏขวดยาในมือหญิงสาว ก่อนจะส่งไปให้เย่เฟิง
เย่เฟิงนิ่งงันไปชั่วครู่ เขา ชิงเซียง และหลันเซียงพบกันโดยบังเอิญในมิติก้นบึ้งทะเลสาบ ผ่านอุปสรรคยากลำบากมาด้วยกัน การเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีเป็มิตรกัน เป็เื่ผิดอย่างนั้นหรือ? แม้เขาเย่เฟิงจะไม่ใช่คนสูงส่ง แต่ก็เป็คนมีศักดิ์ศรี และยิ่งไม่ชอบให้ใครมาทำตัวหยิ่งยโสต่อหน้า
เขาจึงยิ่งไม่้าเม็ดยาที่อีกฝ่ายราวกับให้ทานก็ไม่ปาน ตอนที่หญิงสาวใกล้จะส่งของถึงมือเย่เฟิง จู่ ๆ เย่เฟิงก็พูดขึ้นว่า “ข้าจะขอรับความปรารถนาดีของผู้าุโ ข้าน้อยมิได้มีเจตนาเข้าไปยุ่งกับศิษย์เทียนเซียงหลิน หวังว่าผู้าุโจะสืบหาความจริงแล้วค่อยมาตัดสินข้าน้อย”
เย่เฟิงปฏิเสธเม็ดยาของหญิงสาวไปตรง ๆ ด้วยวาจาไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง เขากับเทียนเซียงหลินไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แล้วจะไปรับของบริจาคด้วยเหตุใดกันเล่า เหตุเพราะด้อยกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ?
เมื่อชิงเซียงและหลันเซียงเห็นเย่เฟิงปฏิเสธเม็ดยาของหญิงสาว พวกนางก็นิ่งงันไปชั่วขณะ อาจารย์อาของพวกนางขึ้นชื่อว่าเป็สาวงามที่เ็าในเทียนเซียงหลินและมีนิสัยแปลกประหลาด ดังนั้นพวกนางจึงกลัวว่าการกระทำของเย่เฟิงจะทำให้อาจารย์อาโมโห แล้วจะส่งผลไม่ดีต่อเย่เฟิงได้
“ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!” หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าอึมครึมทันที นางมองมาที่เย่เฟิงด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
“ชิงเซียง หลันเซียง พวกเราไปเถอะ” หญิงสาวกล่าวกับชิงเซียงและหลันเซียง จากนั้นเห็นนางสะบัดมือ พลันแสงส่องวาบ ก่อนจะปรากฏอาวุธชิ้นหนึ่งที่เหมือนกับเรือเหาะซึ่งเปล่งแสงสีทองอ่อน
ทันใดนั้นเรือเหาะค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น หญิงสาวทั้งสามคนจึงะโขึ้นไปบนเรือเหาะพร้อมกัน ชิงเซียงและหลันเซียงยังเหลือบมองเย่เฟิงอย่างไม่วางตา โดยเฉพาะชิงเซียง อารมณ์ของนางซับซ้อนไปหมด ถึงอย่างไรเย่เฟิงก็เป็ผู้ชายคนเดียวที่เคยเห็นเรือนร่างของนาง และการจากลาในครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่
“ดูแลตัวเองด้วย!” เย่เฟิงโค้งตัวให้ชิงเซียงและหลันเซียง ครั้งนี้ได้รู้จักกับพวกนางทั้งสอง เย่เฟิงก็รู้สึกเป็เกียรติอย่างยิ่ง
เรือเหาะค่อย ๆ ทะยานออกไป สุดท้ายก็ทะยานด้วยความเร็วสูง กระทั่งหายไปในพริบตา
“หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันอีก” เย่เฟิงกล่าวขณะมองเรือเหาะที่หายลับไป ก่อนจะออกไปจากูเาร้างแห่งนี้ ซึ่งเย่เฟิงเพิ่งตระหนักได้ว่าตำแหน่งที่ตนอยู่ในตอนนี้ห่างจากเมืองหลวงไม่ถึงร้อยลี้ เขาจึงย้อนกลับไปยังสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
ขณะเดียวกันในสองเขตที่แตกต่างในป่ารกร้างแห่งหนึ่งที่นอกเมืองหลวง หญิงสาวสองคนตื่นขึ้นมาจากการสลบไหล ซึ่งก็คือเมิ่งยวี่ฉิงจากหมู่บ้านหานเสวี่ยและเหยาซินเอ๋อร์จากพันธมิตรเทียนเตา
นึกไม่ถึงว่าพวกนางจะรอดชีวิตออกมาจากมิติก้นบึ้งทะเลสาบนั่นได้ ทั้งยังถูกส่งมายังเขตนอกเมืองหลวง
เนื่องจากพวกนางพกอาวุธวิเศษในการระบุตำแหน่ง ตอนที่พวกนางกลับมาที่นี่ ผู้ฝึกยุทธ์สำนักของพวกนางก็ค้นพบทันทีและรีบรุดมาที่นี่ พวกเขาใช้อาวุธที่เป็ยานพาหนะทางอากาศ จึงมารับพวกนางสองคนได้อย่างรวดเร็ว
ณ หมู่บ้านหานเสวี่ยแห่งเมืองหลวงอาณาจักรจิ่วโยว เมิ่งยวี่ฉิงอยู่ที่นั่น และยังมีชายชราและหญิงชราอยู่กับนางด้วย ทั้งสองดูไปแล้วอายุอานามน่าจะเกิน 70 ปีแล้ว ลมปราณดูแกร่งกล้า มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็บุคคลมีฝีมือ อีกอย่างพวกเขายังสวมใส่ชุดสีเงิน แฝงไปด้วยความหนาวเหน็บ นี่ก็เป็สัญลักษณ์ของผู้าุโแห่งหมู่บ้านหานเสวี่ยของพวกเขา จากนั้นเห็นชายชรากล่าวถามเมิ่งยวี่ฉิงว่า “ยวี่ฉิง เ้ากับมู่หรงเฟิงไปที่มิติก้นบึ้งทะเลสาบด้วยกัน แต่เหตุใดถึงกลับมาแค่เ้าเพียงคนเดียวเล่า? แล้วมู่หรงเฟิงอยู่ไหน?”
“ศิษย์พี่... ศิษย์พี่ถูกฆ่าตายแล้ว” เมิ่งยวี่ฉิงได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าสับสน แต่นางเตรียมจะบอกเื่ทั้งหมดนี้อยู่แล้ว
“ใครกันที่สังหารศิษย์ข้า?” หญิงชราที่อยู่ข้าง ๆ ลุกพรวดจากที่นั่ง พร้อมแผ่รัศมีอันน่าพิศวงออกมา เห็นชัดว่านางโกรธมาก
“คนผู้นี้มีนามว่าเย่เฟิง เป็ชาวอาณาจักรจ้าว และก็เป็เขาที่ได้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มไป” เมิ่งยวี่ฉิงกล่าว พร้อมดวงตาเผยประกายเย็นเยือก เย่เฟิงไม่แยแสนาง ทำให้นางเกิดความเกลียดชังขึ้นในใจ
“คิดไม่ถึงว่าจะมีเื่เช่นนี้!” ชายชราและหญิงชราต่างก็ใ ในดินแดนไร้อารยธรรมมีคนเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ? ชายชราและหญิงชราต่างรู้ศักยภาพของมู่หรงเฟิงเป็อย่างมาก แม้ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของหมู่บ้านหานเสวี่ยจะไม่ถือว่าอยู่ระดับสูงสุด แต่ก็อยู่ในระดับหัวกะทิ ทั้งยังบรรลุขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 พลังต่อสู้ก็แข็งแกร่งมาก และผู้ที่สามารถสังหารมู่หรงเฟิงได้ล้วนเป็อัจฉริยะที่มีพลังต่อสู้ไร้เทียมทาน
“จริงแท้แน่นอน” เมิ่งยวี่ฉิงพยักหน้า พร้อมดวงตาฉายแววมุ่งมั่น เมื่อชายชราและหญิงชราเห็นเมิ่งยวี่ฉิงยืนยันก็ต้องใ ในดินแดนไร้อารยธรรมเช่นนี้มีบุคคลมากพร์เช่นนี้อยู่จริง ๆ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
“ในเมื่อคนผู้นี้สังหารศิษย์ข้า ทั้งยังชิงผลึกเจตจำนงแรกเริ่มไปได้ เช่นนั้นข้าคงต้องตามหาเขาเพื่อคิดบัญชีนี้เสียแล้ว!”
หลังจากใไปชั่วขณะ พลันแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของหญิงชรา นางฝึกฝนบ่มเพาะมู่หรงเฟิงมาด้วยความยากลำบาก บัดนี้ถูกคนฆ่าตาย นางก็ย่อมยอมรับเื่นี้ไม่ได้
“แต่ว่ามิติก้นบึ้งทะเลสาบเกิดพังทลาย คนส่วนใหญ่จึงถูกมิติปั่นป่วนกลืนกินไป ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเย่เฟิงจะยังมีชีวิตรอดออกมาหรือไม่” เมิ่งยวี่ฉิงกล่าว นางยังคงจำภาพฉากตอนมิติพังทลายได้ไม่ลืม จู่ ๆ ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมเผยสีหน้าหวาดผวา ครั้งนี้นางถือว่าโชคดีมากที่รอดชีวิตมาได้
“ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้หรือไม่ บัญชีนี้พวกเราต้องชำระให้จงได้ มิสู้หาสำนักของคนผู้นี้แล้วค่อยว่ากัน หากเขายังมีชีวิตอยู่ วินาทีแรกจะต้องกลับไปยังสำนักอย่างแน่นอน แต่หากเขาตายไปแล้วก็ให้สำนักของเขาหาคำอธิบายให้พวกเรา” ชายชราตาเผยประกายเย็นเยือก หมู่บ้านหานเสวี่ยของพวกเขาเป็ใคร เมื่อศิษย์ถูกสังหารก็ย่อมต้องทวงคืนความยุติธรรม ยิ่งกว่านั้นมู่หรงเฟิงยังถูกสังหารโดยคนไร้ชื่อเสียงที่อยู่อาณาจักรติดพรมแดน ช่างน่าอัปยศสิ้นดี
“พูดถูก ส่งคนไปสืบประวัติที่ชื่อเย่เฟิงนั่น เมื่อถึงเวลาข้าสองคนจะไปเยี่ยมเยียนสำนักของเขาด้วยกันเสียหน่อย หากเขายังมีชีวิตอยู่ ก็ให้เขาส่งผลึกเจตจำนงแรกเริ่มมาได้” หญิงชราพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของชายชรา
เย่เฟิงออกจากูเาร้างก็รุดกลับสำนักยุทธ์เทียนเสวียนทันที หลังจากฟื้นฟูพลังเสร็จสิ้นขณะอยู่ชั้นที่สี่ของหอวิชา เย่เฟิงก็นึกถึงผลึกเจตจำนงแรกเริ่มขึ้นมาได้ ซึ่งผลึกเจตจำนงแรกเริ่มมีผลช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์เปิดร่างเจตจำนงได้ หลังจากเปิดร่างเจตจำนง ผู้ฝึกยุทธ์จะสามารถเปลี่ยนพลังแห่งอำนาจให้กลายเป็พลังเจตจำนงได้
เงื่อนไขแรกคือตัวผู้ฝึกยุทธ์ต้องบรรลุพลังแห่งอำนาจขั้นิญญา่ปลาย หากพลังแห่งอำนาจบรรลุขั้นิญญา่ปลายจะสามารถเปิดร่างเจตจำนงได้สำเร็จ ทั้งยังมีส่วนช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์เรียนรู้พลังแห่งอำนาจได้ลึกซึ้งขึ้น ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธ์จะเรียนรู้พลังแห่งอำนาจประเภทใดก็จะสามารถเป็ไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคขัดขวาง มีอัตราการเรียนรู้พลังแห่งอำนาจสูงขึ้นหลายเท่าตัว
หากผู้ฝึกยุทธ์เปิดร่างเจตจำนงสำเร็จ เช่นนั้นในสถานการณ์ที่เจอศัตรูมีสติปัญญาและพลังแห่งอำนาจเท่ากัน ผู้ฝึกยุทธ์ที่เปิดร่างเจตจำนงจะเหนือกว่าผู้ที่ยังไม่เปิดร่างเจตจำนงถึงสามเท่า
แต่ทุกคนทราบกันดีว่าหากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้้าอาศัยผลึกเจตจำนงแรกเริ่มมาช่วยเปิดร่างเจตจำนงก็เป็เื่ที่แทบจะเป็ไปไม่ได้ ั้แ่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่มีผู้ใดที่สามารถทำได้สำเร็จ แต่เนื่องจากการเปิดร่างเจตจำนงดึงดูดความสนใจจากผู้ฝึกยุทธ์เป็อย่างมาก รู้ทั้งรู้ว่าอันตราย แต่ก็ยังคงมีคนเลือกที่จะลองดี สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ก็ไม่แตกต่างกัน คนเ่าั้ที่อยากลองล้วนไม่สามารถทนต่อการโจมตีที่มาพร้อมกับพลังเจตจำนงที่รุนแรงเช่นนั้นของผลึกเจตจำนงแรกเริ่มได้ ธาตุไฟจึงเข้าแทรกกลางคัน หรือแม้กระทั่งร่างแตกะเิและเสียชีวิตในทันที ดังนั้นั้แ่อดีตเป็ต้นมา ร่างเจตจำนงจึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้จะสามารถจับต้องได้ ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มก็กลายเป็ของใช้จำเป็สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ขึ้นไป
นี่คือสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ต่างอยากได้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม ก็เพื่อนำไปแลกเปลี่ยนเป็ของรางวัลใหญ่ที่สำนักซวนหยวน
นอกจากคนที่อยากแลกเปลี่ยนรางวัลแล้ว ยังมีคนส่วนหนึ่งตามหาของสิ่งนี้เพื่อผู้ใหญ่ในสำนักของตน แต่กลับไม่มีใครทำเป้าหมายของตนสำเร็จ
“หากตอนนี้ข้าเอาผลึกเจตจำนงแรกเริ่มไปที่สำนักซวนหยวนแห่งจักรวรรดิจิ่วโยว เพื่อแลกเปลี่ยนเป็รางวัลมูลค่ามหาศาล ต่อไปข้าก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มกับทรัพยากรไว้ใช้ในการฝึกตนอีก” เย่เฟิงกล่าวกับตนเองพลางยิ้มจาง ๆ เขาค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่ได้รับในมิติก้นบึ้งทะเลสาบ
แม้สำนักซวนหยวนจะให้เงินรางวัลมูลค่าสูงต่อผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม แต่ว่าเย่เฟิงกลับไม่อยากเอาของสิ่งนี้ไปให้คนอื่น จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักซวนหยวน มูลค่าของผลึกเจตจำนงแรกเริ่มนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทรัพย์สินเงินทองทั่วไปจะมาวัดค่ากันได้ คนอย่างเย่เฟิงชอบทรัพย์สินเงินทองหรือ? เื่ที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ เขากลับ้าลองดูสักครั้ง
บัดนี้อำนาจหอกของเย่เฟิงบรรลุขั้นกายา อำนาจฟ้าดินบรรลุขั้นผันแปร่ปลายสูงสุด และอำนาจไฟขั้นพื้นฐาน หากเขาสามารถใช้ประโยชน์จากผลึกเจตจำนงมาเปิดร่างเจตจำนงได้ เช่นนั้นความเร็วในการเรียนรู้อำนาจทั้งสามของเขาจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า และยิ่งมีความหวังที่จะเรียนรู้อำนาจประเภทอื่น ๆ ต่อไปอีกด้วย
ประโยชน์มากมายมหาศาลเช่นนี้ เย่เฟิงจะนิ่งดูดายไม่สนใจได้อย่างไร แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ใช่คนที่ชอบความสงบเงียบอยู่แล้ว
ทางข้างหน้ายิ่งเป็ทางขวากหนาม เขาก็ยิ่งอยากลองดูสักครั้ง
“ตอนนี้ข้าจะลองใช้ประโยชน์จากผลึกเจตจำนงแรกเริ่มเพื่อเปิดร่างเจตจำนง” เย่เฟิงพึมพำ พร้อมดวงตาฉายแววตื่นเต้น
จากนั้นเห็นแสงวาบที่ด้านหน้าเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะปรากฏผลึกขนาดเท่ากำปั้นในฝ่ามือของเย่เฟิง แล้วค่อย ๆ ปลดปล่อยพลังเจตจำนงออกมา
“วูบ!”
เมื่อผลึกเจตจำนงแรกเริ่มปรากฏอีกครั้ง พลังแห่งฟ้าดินไร้ที่สิ้นสุดราวกับน้ำไหลเชี่ยวก็มาที่นี่ จากนั้นถูกผลึกเจตจำนงแรกเริ่มกลืนกินอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะเกิดการวิวัฒนาการ แปรเปลี่ยนเป็พลังเจตจำนงใหม่อย่างรวดเร็ว
