หลี่ไหวฺอวี้เลิกคิ้ว เดิมทีก็ไม่คิดจะแยแสนางอยู่แล้ว
แต่พอได้ยินคำกล่าวแบบนี้ ก็เข้าไปแย่งอาหารทั้งหมดมาอย่างรวดเร็ว จนหวังซื่อตั้งตัวไม่ทัน
เมื่อเขาเป็คนกินข้าวนิ่ม หากไม่มีสุราอาหารดีๆ จะดูสมจริงได้อย่างไร ของเหล่านี้จะให้คนอย่างหวังซื่อชุบมือเปิบไปไม่ได้เป็อันขาด
คิดแล้ว ก็ล้วงเนื้อในห่อกระดาษออกมาหนึ่งชิ้นแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย พลางมองหวังซื่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เหตุใดยังไม่ไปอีกเล่า หรือว่าอยากให้ข้าตามเป่าจูมาเชิญท่านออกไป” หลี่ไหวฺอวี้สลัดนิ้วมันเยิ้มอย่างไม่แยแส ก่อนจะกลั้วยิ้มมองหวังซื่อ
หวังซื่อกัดฟันแล้วหมุนตัวจากไป
ยังมีชาวบ้านอีกหลายคนเฝ้าอยู่นอกประตูรอดูความเคลื่อนไหว พอเห็นหวังซื่อออกมาต่างก็พากันต่อว่าต่อขาน
หวังซื่ออารมณ์ไม่ดี ไม่มีเวลามาใส่ใจ รีบเดินจ้ำกลับบ้านพลางเอ่ยในใจอย่างคับแค้น วันนี้นับว่ามาเสียเที่ยว ขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวสารไปอีกกำ [1] สักวันข้าจะต้องให้บทเรียนอันหนักหน่วงกับนางเด็กคนนั้นให้จงได้!
ชาวบ้านเห็นหวังซื่อไปแล้ว ประตูใหญ่ก็ปิดสนิทลงอีกครั้ง เมื่อไม่มีเื่ครึกครื้นให้ชม ต่างก็เริ่มแยกย้ายกันไป
“เป่าอวี้เป็อย่างไรบ้าง” หลี่ไหวฺอวี้รอหวังซื่อไปแล้วถึงเข้ามาถามในห้อง
เด็กชายบนเตียงหน้าซีดเซียว มือยังกุมอยู่ที่ท้อง หัวคิ้วขมวดแน่น แม้แต่หลับอยู่ก็ยังกระสับกระส่ายเช่นนี้
“ไม่ใช่เื่ร้ายแรงอะไร” ิเป่าจูพูดพลางเดินออกมาข้างนอก
ไม่ว่าหวังซื่อจะแข็งแรงเพียงใดก็เป็แค่สตรี น้ำหนักเท้าแม้จะแรงอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับสามารถเตะคนตายได้จริงๆ เป่าอวี้ได้รับาเ็แค่เพียงภายนอกเท่านั้น
ห้องด้านนอกอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงจากการวิ่งไล่กวดอยู่หลายรอบ แต่อาหารบนโต๊ะก็ไม่ได้พร่องไปมากนัก
หลี่ไหวฺอวี้ตามออกมา ิเป่าจูยืนก้มหน้าอยู่ข้างโต๊ะ ด้วยไม่เห็นสีหน้าจึงไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“อย่าเสียใจไปเลย เ้าดูนี่”
เขาหยิบเนื้อกระต่ายที่ิเป่าอวี้ซ่อนไว้แต่แรกออกมาจากในตู้ แล้วยกมายั่วถึงใต้หนังตาของิเป่าจูประหนึ่งของบรรณาการล้ำค่า
“เป่าอวี้ไหวพริบดีจริงๆ รู้จักซ่อนเอาไว้บ้าง พวกเรากินส่วนนี้ให้เกลี้ยงไปเลยก็ได้”
พูดพลางหยิบขึ้นมากัดหนึ่งคำ จงใจละเลียดลิ้มเสียงดัง ดึงดูดความสนใจของดรุณีน้อย
“เอ้า กินสักหน่อย” เขาเลือกชิ้นหนึ่งส่งให้
“ข้าไม่ได้โศกเศร้า”
ิเป่าจูไม่รับน่องกระต่ายชิ้นนั้น นางกำลังตัดสินใจ!
หลี่ไหวฺอวี้ย่อมรู้ว่านางมิได้โศกเศร้า เขาทำเช่นนี้เพียงเพื่อปรับบรรยากาศให้นางลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เท่านั้น
“นี่ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เ้าจะไปไหน"
“ข้าจะรีบไปรีบกลับ ท่านอยู่ดูเป่าอวี้ อย่าตามมา”
ิเป่าจูแบกกระบุงขึ้นสะพายหลังแล้ววิ่งออกไปข้างนอก
นางวางแผนจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรที่เดิมก่อนฟ้ามืด แล้วเอากลับมาดูแลต่อในสวน อีกสองวันก็สามารถเอาไปขายในเมืองเปลี่ยนเป็เงินกลับมาได้
ก่อนที่จะเริ่มเปิดโรงหมอ ก็ต้องค้าขายสมุนไพรต่อไป ชีวิตก็จะดีวันดีคืน จะให้ิเถี่ยจู้กับหวังซื่อมาก่อกวนไปทุกครั้งเช่นนี้ไม่ได้
นางต้องพยายามหาเงินโดยเร็ว เริ่มจากย้ายไปให้ไกลจากหมู่บ้านนี้ ไปให้ไกลจากจอมมารสองคนนั้น
ิเป่าจูออกเดินทางยามตะวันโพล้เพล้ ปีนขึ้นไปตามเส้นทางูเาอย่างยากลำบาก แสงระเรื่อของอาทิตย์อัสดงแผ่คลุมไปทั่วขุนเขา
เมื่อเดินผ่านม่านหมอกหนาออกมาถึงที่โล่งแจ้ง นางก็เด็ดไข่มุกดำสองสามเม็ดที่อยู่ใกล้ๆ กลืนลงไป
ม่านหมอกหนาดังกล่าวที่จริงคือหมอกพิษ
นอกจากจะบดบังวิสัยทัศน์ในการมองเห็นแล้ว ยังสามารถข่มขู่ให้ผู้ที่อยากเข้ามาในูเาเกิดความหวาดกลัวและล่าถอยไปได้ ส่วนไข่มุกดำแท้จริงแล้วคือพืชชนิดหนึ่ง ที่ตั้งชื่อนี้เพราะมันมีลักษณะคล้ายคลึงไข่มุกดำ แต่มีขนาดเล็กกว่า
ผลเล็กจ้อยของมันเป็สีดำเงางามเรียงอยู่ด้วยกันเป็ช่อท่ามกลางใบเขียวมรกต
ผลของมันมีสรรพคุณช่วยแก้พิษจากหมอกพิษ
ตามหลักสามัญสำนึก ภายในร้อยก้าวของวัตถุมีพิษจะต้องมียาแก้พิษ นี่คือความเป็จริง
หลังเขาเป็สถานที่ซ่อนขุมทรัพย์ หลังจากเดินมารอบหนึ่งก็พบว่ามีสมุนไพรอีกหลายอย่างที่นางมิได้สังเกตเห็นในครั้งก่อน
มีทั้งสมุนไพรทั่วไปและสมุนไพรล้ำค่าที่ขายได้ราคาดี ต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่เต็มพื้นที่เหล่านี้ล้วนเป็เงินทองวับวาวในสายตาของิเป่าจู
นางเดินไป ดูไป ก็เก็บไป ของที่เก็บมาได้ค่อนข้างเยอะมาก
โครก... นางลูบท้องที่ร้องขึ้นมาด้วยความหิว
“ิเป่าจูเอ๋ย เ้าช่างน่าเวทนาจริงๆ”
รอบด้านเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมพัดผ่านทิวไม้เสียงดังซู่ซ่า เสียงแมลง เสียงนกในป่า รวมถึงเสียงที่นางพึมพำกับตัวเอง
ครั้งก่อนที่มาหลังเขาดูเหมือนว่าก็เป็เช่นนี้ ไม่มีครั้งไหนที่มาอย่างอิ่มท้อง ล้วนแต่หิ้วท้องโหยหิวมาทุกคราไป
แสงสายัณห์อ่อนจางลงทีละน้อย ม่านราตรีโรยตัวลงมาแผ่คลุมท้องนภา ทำให้มองเห็นวัตถุโดยรอบยากลำบากขึ้น
กระบุงบนหลังของนางหนักพอสมควรแล้ว ิเป่าจูจึงตัดสินใจที่จะไม่หาเพิ่มอีกต่อไป รีบลงจากเขาให้เร็วขึ้น ป่าเขายามค่ำคืนคือสถานที่อันตรายที่สุด
ขณะที่นางกำลังจะถอนตัวกลับ ก็มีเสียงลากผ่านใบหญ้าดังมาจากพงหญ้าใกล้เท้าของนาง ิเป่าจูหยุดฝีเท้า ไม่ขยับเขยื้อน
เสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกที
หากคะเนไม่ผิด สิ่งที่กำลังเข้ามาใกล้คงจะเป็งูตัวหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเป็งูดินหรืองูพิษ
“ฟ่อ”
ทันใดนั้นก็มีวัตถุชิ้นหนึ่งโผล่มาจากพงหญ้า ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ เป็งูตัวหนึ่งจริงๆ
ลำตัวเป็สีขาวราวกับหิมะ มีแต้มแดงที่หน้าผากเพียงจุดเดียว ส่วนหัวเป็รูปสามเหลี่ยม ลำตัวด้านหน้าตั้งตรง หางเรียวเล็ก เขี้ยวแหลมคมส่องประกายเยียบเย็น แลบลิ้นยาวสองแฉกออกมาด้านนอก พร้อมส่งเสียงข่มขวัญ เอกลักษณ์ทั้งหมดล้วนบ่งชี้ว่าพิษของมันรุนแรงและเฉียบพลัน
“ซู่เจิน [2] เอ๋ย ซู่เจิน เ้าอย่าหุนหันพลันแล่นนักสิ”
ช่วยไม่ได้ รูปร่างของมันทำให้ิเป่าจูอดนึกถึงนางเอกในละครโทรทัศน์ที่เคยดูไม่ได้
ยามนี้ิเป่าจูตัวแข็งทื่อ จ้องตากับงูขาวเขม็ง รักษาสถานะเ้าไม่ขยับข้าก็ไม่ขยับ
แต่เห็นได้ชัดว่าเ้างูขาวตัวนี้หาได้มีจิตใจที่งดงามเหมือนงูขาวในละคร
บางทีอาจเป็เพราะหมดความอดทนแล้ว งูขาวบิดตัวเล็กน้อย เพียงชั่วพริบตามันก็เลื้อยมาที่ข้างเท้าของนาง ก่อนที่จะมุดหัวเข้าไปตรงรูที่ขากางเกงขาดวิ่น แล้วเลื้อยขึ้นไปตามปลีน่อง
ความเย็นะเืบนข้อเท้าชวนให้คนหัวใจสั่นสะท้าน ดูเหมือนว่าร่างกายจะเย็นเฉียบราวกับตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง ขณะที่งูยังคงเลื้อยสูงขึ้นมาเรื่อยๆ
ในที่สุดงูขาวก็หยุด
ดูเหมือนว่ามันจะหาตำแหน่งที่พึงพอใจได้แล้ว จึงพันรอบคอเรียวเล็กของิเป่าจู
ลำตัวยาวของมันเลื้อยขึ้นมาพันคอของนาง ค่อยๆ รัดแน่นขึ้น เพลิดเพลินกับการทรมานเหยื่อ
การหายใจเริ่มลำบาก ดวงตากลอกไปมาไม่หยุด
ิเป่าจูคิดว่าตนเองใกล้จะตายแล้ว
ทำไมถึงโชคร้ายแบบนี้ เพิ่งมาถึงไม่กี่วัน อุตส่าห์วางแผนการยิ่งใหญ่เพื่ออนาคต ยังไม่ทันเป็ความจริงก็ต้องจากไปแล้วหรือ
ไม่ได้
ที่บ้านยังมีคนอีกสองคนรอนางกลับไปกินข้าว ิเป่าจูตัดสินใจในฉับพลัน ไม่อาจนั่งรอความตาย
แต่มุมนี้ไม่สะดวกจริงๆ นางมองไม่เห็นอะไรเลย
นางเหลือบตาไปด้านขวาอย่างสุดความสามารถ เห็นงูขาวอ้าปากสีแดงฉานกำลังจะกัดลงมา นางไม่เหลือเวลาลังเลอีกต่อไป
ไม่นานหลังจากนั้น ิเป่าจูก็ยกมือขึ้นแล้วบีบที่ตำแหน่งเจ็ดชุ่นซึ่งเป็ประตูชีวิตของงูทุกชนิด
มั่นคง แม่นยำ และโเี้!
ความเร็วประดุจสายฟ้าแลบ
งูขาวถูกบีบไว้ก็ยังไม่ยอมแพ้ มันพยายามดิ้นอย่างสุดชีวิตเพื่อให้หลุดพ้น
ิเป่าจูเองก็หวาดกลัว สิ่งที่นางกลัวที่สุดั้แ่ยังเป็เด็กก็คือพวกสัตว์เลื้อยคลานตัวเย็นเฉียบแบบนี้ แค่จับสิ่งของที่แม้แต่ขาก็ยังไม่มีให้อยู่มือได้ก็ถือว่าเกินขีดความสามารถของนางแล้ว
เห็นงูบิดตัวไปมาไม่หยุด ก็กลัวว่ามันจะดิ้นหลุดออกมาจริงๆ แล้วย้อนกลับมาแว้งกัด
จึงเอื้อมอีกมือไปด้านหลัง หยิบเคียวที่ใช้ขุดสมุนไพรออกมาจากกระบุง กลั้นใจยกมือขึ้นแล้วฟัน หัวงูก็หล่นตุ้บลงพื้น
เมื่อเห็นเืไหลออกมาจากตัวงูไม่หยุด ิเป่าจูก็เกิดความพรั่นพรึง ตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ พลันรู้สึกเหมือนผู้รอดชีวิตมาจากภัยพิบัติ
“เป็เพราะเ้าเลย”
ิเป่าจูถลึงตาอย่างเดือดดาล หลังสงบอารมณ์สักพัก ก็รู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป เริ่มคิดวางแผนจะนำงูขาวตัวนี้กลับไปทำน้ำแกงข้นงู บำรุงสุขภาพให้น้องชายได้พอดี
เชิงอรรถ
[1] ขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวสารไปอีกกำ หมายถึง นอกจากจะไม่ได้ผลประโยชน์ตาม้า ยังสูญเสียอย่างอื่นไปอีกด้วย
[2] ซู่เจิน เป็ชื่อของนางพญางูขาวในวรรณกรรมเื่ “จองจำงูขาวในเจดีย์เหลยเฟิงชั่วนิรันดร์” ซึ่งมีหลักฐานว่าค้นพบในยุคสมัยราชวงศ์ิ กล่าวถึงบัณฑิตหนุ่มที่ตกหลุมรักสตรีรูปโฉมโสภานามว่าไป๋ซู่เจิน แต่แท้จริงแล้วนางเป็ปิศาจงูขาวจำแลงมา พระเถระที่้าช่วยเหลือบัณฑิตหนุ่มให้พ้นจากการดูดกลืนิญญาของปิศาจงูขาว จึงเกิดการต่อสู้ สุดท้ายนางก็ถูกจับไปขังในเจดีย์เหลยเฟิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้