หลินฟู่อินปรายตามองสะใภ้เล็กของตระกูลซ่งที่กำลังรู้สึกโศกเศร้าเป็อย่างมาก
นางใช้สายตาอันแดงก่ำมองไปยังซ่งฮูหยินแล้วกล่าว “ท่านแม่ ตอนนี้ก็มืดแล้ว และการจะให้ท่านกับลูกชายข้าอยู่ที่นี่ต่อก็ทำให้ข้าไม่สบายใจนัก… ท่านพาลูกข้าและชิวหมัวมัวเข้าเมืองไปหาที่พักก่อนเถอะ ข้าจะรออยู่ที่นี่เอง…”
หลินฟู่อินรู้สึกได้ว่าประโยคสุดท้ายนั้นต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาลยิ่งนักในการเค้นออกมา
เมื่อซ่งฮูหยินเห็นว่าสะใภ้ของนางเปิดทางให้แล้ว นางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วหันไปขยิบตาให้ชิวหมัวมัวเพื่อให้นางเริ่มเก็บของจำเป็ทันที
จากนั้นนางจึงหันไปมองสะใภ้ของนางแล้วกล่าว “สะใภ้เอ๋ย ใช่ว่าข้าไม่อยากทิ้งชิวหมัวมัวไว้กับเ้านะ แต่หากไม่มีนางอยู่ข้างกายแล้ว ข้าก็คงไม่รู้ว่าควรทำอะไรอย่างไรบ้าง มันเป็เื่ที่ช่วยไม่ได้”
สะใภ้เล็กตระกูลซ่งพยักหน้าคอตก “ท่านแม่ ข้าไม่เป็ไร… ท่านทำใจให้สบายแล้วไปเถอะ”
ซ่งฮูหยินพยักหน้า แล้วกล่าวต่อ “ข้ารู้ ข้ารู้ว่าเ้าเป็คนฉลาดเสมอมา สะใภ้เล็ก ในบรรดาสะใภ้ทั้งสามเ้าเป็คนที่มีความคิดมากที่สุด เ้ารออยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ข้าจะส่งม้ามารับเ้าแน่”
ไม่ว่าซ่งฮูหยินจะพูดจาดูดีขนาดไหน แต่จิตใจของสะใภ้เล็กก็ได้ตายสนิทไปแล้วเรียบร้อย แต่นางยังต้องรักษาท่าทีสุภาพเอาไว้เพื่อไม่ให้กลายเป็ขี้ปากชาวบ้าน จึงทำได้เพียงหลับตาแล้วพยักหน้าไป
แม้ในใจของสะใภ้เล็กจะแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจมากมาย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกเช่นหลินฟู่อินแล้ว นางจึงกล่าวอะไรมากไม่ได้
จากนั้นซ่งฮูหยินจึงหันมาถามหลินฟู่อิน “แม่นางหลินเองก็จะเข้าเมืองเช่นเดียวกับเราใช่หรือไม่? เช่นนั้นแล้วก็ไปด้วยกันเถอะ”
เมื่อสะใภ้เล็กได้ยินคำถามของแม่สามีตัวเอง ร่างกายของนางก็สั่นสะท้าน มือกำผ้าปูในมือแน่นยิ่งขึ้นไปอีก
หากหลินฟู่อินตามเข้าเมืองไปด้วย เช่นนั้นรถม้าคันนี้ก็จะเหลือเพียงนางที่ยังหมดแรงจากการคลอด หากพบเื่โชคร้ายอันใดเข้าคงมีแต่ต้องตายเป็แน่
หลินฟู่อินเองก็กำลังต่อว่าความโหดร้ายของซ่งฮูหยินอยู่ในใจ สะใภ้ของนางเพิ่งให้กำเนิดบุตรชายมา รวมกับที่เคยคลอดให้มาแล้วก็มีถึงสี่คน ทั้งนี่ยังไม่ใช่สถานการณ์จำเป็ถึงขั้นต้องเสี่ยงตายอะไร แต่กลับจะให้ทิ้งนางเลยเสียอย่างนั้น!
“ซ่งฮูหยิน ท่านสะใภ้เล็กเพิ่งผ่านการคลอดมา ร่างกายจึงยังอ่อนแออยู่ ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อดูแลนางเ้าค่ะ” หลินฟู่อินล่าว
ซ่งฮูหยินมองนางด้วยสีหน้าประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่านางจะอยู่ที่นี่ต่อด้วยกันกับสะใภ้ที่นางเพิ่งเคยพบหน้าด้วย
แล้วชิวหมัวมัวจึงกล่าวขึ้นมา “ในเมื่อแม่นางหลินสบายใจที่จะอยู่ดูแลสะใภ้ต่อ เช่นนั้นก็นับเป็เื่ดี เมื่อนางกลับถึงเมืองแล้ว นายหญิงควรจะตบรางวัลให้นางด้วยนะเ้าคะ”
ชิวหมัวมัวนั้นดีใจที่หลินฟู่อินเลือกจะอยู่ต่อ เพราะนางมองออกั้แ่แรกแล้วว่าหลินฟู่อินนั้นหัวแข็ง
ซ่งฮูหยินจึงหัวเราะออกมา “เช่นนั้นเมื่อแม่นางมาถึงเมือง ข้าก็คงต้องตบเงินถุงใหญ่ให้เสียแล้ว”
เมื่อเห็นว่านายหญิงของนางคิดจะให้อั่งเปาซองโตกับหลินฟู่อิน ชิวหมัวมัวจึงหันไปมองหลินฟู่อินด้วยท่าทีอิจฉา
หลินฟู่อินเพียงกล่าวขอบคุณง่ายๆ เท่านั้น
จากนั้นซ่งฮูหยินจึงลงจากรถม้าไปพร้อมกับทารกน้อยและชิวหมัวมัวที่ถือสัมภาระกองโต
ในที่สุดสะใภ้เล็กก็ได้ร่ำไห้ออกมา
หลินฟู่อินลูบหลังนางอย่างเห็นใจ “ท่านสะใภ้อย่าได้เศร้าใจไป ท่านยังมีข้าอยู่ไม่ใช่หรือ? ข้ามาจากหมู่บ้านใกล้ๆ นี้ และชาวบ้านส่วนใหญ่ในละแวกนี้ก็รู้จักหน้าข้า ดังนั้นข้าจะคอยปกป้องท่านเอง ท่านต้องปลอดภัยแน่!”
สะใภ้เล็กหันมามองหลินฟู่อินด้วยน้ำตาที่นองใบหน้า “ข้าเสียใจ… ข้าแต่งเข้าตระกูลซ่งั้แ่อายุสิบสี่ และให้กำเนิดทารกมาถึงสี่คราใน่หกปีนี้ แต่ท่านแม่สามี… นางกลับ…”
“ข้าเข้าใจเ้าค่ะ ข้าเองก็รู้สึกแย่เช่นกัน” หลินฟู่อินไม่ได้เพียงปลอบประโลมนางอย่างไม่คิด แต่ยังลองนึกภาพว่าหากนางต้องประสบเื่เช่นเดียวกับสะใภ้เล็กแล้วนางจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เป็ผลให้สะใภ้เล็กรู้สึกสบายใจขึ้น “โชคดีนักที่แม่นางหลินอยู่ที่นี่กับข้าด้วย!”
จากนั้นนางจึงกล่าวต่อ “ข้าเข้าใจแล้ว แม้จะเป็คนบ้านเดียวกัน แต่คนที่ไม่ใช่ก็คงไม่มีวันเป็ครอบครัวเดียวกันได้จริงๆ”
“แต่พวกท่านก็อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ทั้งยังเคยคลอดบุตรให้ถึงสี่คราแล้ว ดังนั้นทำใจให้กว้างไว้จะดีกว่านะเ้าคะ” หลินฟู่อินกล่าว นางเองก็อยู่ที่นี่ต่อเพราะมีประโยชน์แอบแฝง แต่นางก็ยังมีความรู้สึกสงสารให้นางอยู่จริงๆ ที่ได้พบกับเื่แย่ๆ เช่นนี้
จะว่าไปแล้ว สะใภ้ของตระกูลซ่งผู้นี้ก็มีวัยเพียงยี่สิบ ทั้งที่ยังสาวแต่กลับเป็คุณแม่ลูกสี่แล้ว ตอนที่หลินฟูอินเห็นในคราแรกนั้นนางนึกว่าอายุยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดแล้วเสียอีก
ทั้งนี้คงเป็เพราะนางคลอดบุตรถี่เกินไปด้วย แม้ว่านางจะไม่ต้องเลี้ยงเองก็ตาม แต่การมีครรภ์ต่อเนื่องเช่นนั้นก็ย่อมทำให้นางต้องละเลยการดูแลตัวเองจนดูชราก่อนวัย
การเป็สตรีมันไม่ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโบราณด้วยแล้ว…
“แม่นางหลิน วันนี้ข้าต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ หากไม่มีท่านแล้ว ข้า… ข้าและลูกก็คงไม่รอดเป็แน่! ทั้งยังมาช่วยอยู่เป็เพื่อนข้าผู้น่าสมเพชอีก” สะใภ้เล็กพยายามปรับอารมณ์ โดยการปาดน้ำตาแล้วหันมากล่าวขอบคุณหลินฟู่อินอย่างจริงจัง
หลินฟู่อินยิ้มแล้วส่ายศีรษะ ก่อนกล่าวว่า “ข้าเป็หมอ ข้าช่วยทุกคนที่ช่วยได้ ต่อให้คนที่ข้าพบวันนี้ไม่ใช่ท่าน ข้าก็คงทำอย่างเดียวกัน ท่านสะใภ้ไม่ต้องกังวล”
“ข้าต้องชดใช้ให้แม่นางแน่!” สะใภ้เล็กกล่าวอย่างจริงจัง
เมื่อหลินฟู่อินเห็นนางกล่าวอย่างจริงจังเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา แล้วกล่าวทีเล่นทีจริง “ท่านสะใภ้ไม่ต้องชดใช้สิ่งใดให้ข้าก็ได้ เพราะข้าเองก็มีเื่ที่คาใจอยู่ ท่านจะช่วยบอกข้าได้หรือไม่?”
“ได้ เชิญท่านถามมาได้เลย หากเป็เื่ที่ข้ารู้ ข้าจะบอกท่านอย่างไม่ปิดบัง!” สะใภ้ตระกูลซ่งจับมือของหลินฟู่อินไว้แล้วกล่าวอย่างจริงจัง
หลินฟู่อินจึงเรียบเรียงคำถามและยิ้มออกมา “เป็เื่ของนักทำนายจ้าวเ้าค่ะ แม้ว่าเราจะอยู่หมู่บ้านใกล้เคียงกัน แต่ข้ากลับไม่เคยรู้เลยว่าเขามีความสามารถมากถึงเพียงนั้น หากท่านสะใภ้มีสิ่งใดที่ท่านรู้เกี่ยวกับเขา ท่านจะช่วยแบ่งปันให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
“เท่านี้เองหรือ? หากเป็เื่นั้นข้าก็พอจะรู้อยู่บ้าง” ในตอนแรก สะใภ้เล็กก็นึกสงสัยอยู่ว่าหลินฟู่อินจะถามอะไร แต่คาดไม่ถึงว่านางจะถามเื่ของนักทำนายจ้าว แต่นั่นก็เป็เื่ที่นางได้ยินจากทั้งแม่สามีและจากเหล่าขุนนางเขตหนิงในจวนของพ่อสามีของนางอยู่บ่อยครั้ง
สะใภ้เล็กจึงถือว่ามันเป็หัวข้อฆ่าเวลา แล้วนั่งเล่าผลงานของนักทำนายจ้าวไปทีละอย่าง ทีละอย่าง
เื่ราวของครอบครัวขุนนางเล็กๆ ที่มีฮวงจุ้ยของโต๊ะไหว้บรรพบุรุษไม่ดีนัก จึงได้ไปพบนักทำนายจ้าวเพื่อขอคำแนะนำให้จัดใหม่ให้ถูกหลักฮวงจุ้ยที่ดี เป็ผลให้ตระกูลขุนนางเล็กๆ ตระกูลนั้นไต่เต้าขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด และบุตรหลายคนในตระกูลยังสอบบัณฑิตผ่านกันอีกด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีขุนนางขั้นสามจากเมืองหนึ่ง ที่มีบุตรีมาแล้วห้าคน เมื่อมีการตั้งครรภ์เป็ครั้งที่หก พวกเขาจึงได้ไปพบนักทำนายจ้าว นักทำนายจ้าวจึงทำพิธีแล้วมอบขี้เถ้าธูปที่เหลือจากพิธีให้ภรรยาที่ตั้งครรภ์ดื่มเป็เวลาเจ็ดวัน และเมื่อคลอด ก็พบว่าออกมาเป็เด็กชายจริงๆ ขุนนางขั้นสามผู้นั้นถึงกับดีใจจนเนื้อเต้น และภรรยาของเขาก็ได้นำเงินกว่าห้าพันตำลึงไปมอบให้นักทำนายจ้าวถึงมือหลังจากนั้น
ตระกูลขุนนางจากเมืองหลวงเองก็มาขอรับคำทำนายจากนักทำนายจ้าวอยู่บ่อยครั้ง
พวกครอบครัวขุนนางที่มีคนท้องก็มักจะมาเข้าพบเพื่อขอให้ดูว่าเป็บุรุษหรือสตรี ซึ่งก็ทำนายถูกเสมอ
ดังนั้นแม่สามีของนางจึงได้พานางมาพบกับนักทำนายจ้าว แม้ว่านางจะกำลังท้องเก้าเดือนก็ตาม
หลินฟู่อินฟังที่สะใภ้เล็กเล่าแล้วก็รู้สึกใขึ้นมา เพราะหากที่นางกล่าวมาเป็เื่จริง ก็แปลว่านักทำนายจ้าวผู้นี้เป็ของจริง ไม่ใช่เพียงพวกต้มตุ๋นอย่างที่นางคิด!
แล้วเหตุใดเ้านักทำนายนี่ถึงได้เรียกนางว่าเป็ดาวหายนะกัน ทั้งยังบอกว่าเสี่ยวเถาเป็ตัวอันตรายอีก?
แล้วยังเสนอให้จ้าวซื่อมาเผานางทั้งเป็ และยอมแพ้เื่เสี่ยวเถาไปเสียอีก…
“อ๊ะ จริงด้วย ข้าได้ยินว่าเขาจะตัดสินได้ว่าเป็บุรุษหรือสตรีก็หลังจากแปดเดือนไปแล้วเท่านั้น หากไปก่อนหน้านั้นจะมีโอกาสผิดพลาด และยิ่งมากเดือนมากเท่าไรก็ยิ่งแม่นยำ” สะใภ้เล็กพยายามนึกถึงสิ่งที่แม่สามีของนางเคยกล่าว
หลินฟู่อินพยักหน้า ไม่แปลกใจเลยที่ซ่งฮูหยินจะพาสะใภ้เล็กที่กำลังท้องเก้าเดือนมาให้นักทำนายจ้าวตัดสินเช่นนี้ เป็เพราะยิ่งมากเดือนก็ยิ่งแม่นยำนี่เอง
หลินฟู่อินพิจารณาดู แล้วจึงถามออกมาด้วยรอยยิ้ม “ท่านสะใภ้เล็กพอจะทราบหรือไม่ว่าคนใหญ่คนโตจากเมืองหลวงคนใดบ้างที่เคยมาให้นักทำนายจ้าวทำนายเพศของทารกให้?”
นางถามได้ถูกต้อง เห็นได้จากที่สะใภ้เล็กเบิกตาขึ้น
หลินฟู่อินเห็นเช่นนี้ก็คิดว่านางอาจไม่สะดวกใจเล่า “ข้าเพียงถามเฉยๆ เท่านั้น หากท่านสะใภ้เล่าไม่ได้ก็ไม่เป็ไรเ้าค่ะ”
“ฮึ ท่านแม่สามีเพียงกำชับว่าไม่ให้ข้าพูดเท่านั้น แต่แล้วมันจะทำไม? หากนางบอกว่าห้ามพูดแล้วข้าต้องไม่พูดหรือ?” ดูท่าสะใภ้ตระกูลซ่งผู้นี้จะเก็บความไม่พอใจไว้มากจริงๆ น้ำเสียงจึงแฝงไว้ด้วยความขุ่นเคืองเช่นนี้
“เท่าที่ข้าจำได้ ในตอนเดือนสี่ที่ผ่านมาของปีนี้ มีขุนนางใหญ่จากเมืองหลวงมาเยือนจวนเราอยู่ ท่านพ่อเองก็มีความนอบน้อมต่อคนผู้นั้นมาก ทั้งยังเชิญนักทำนายจ้าวมาที่จวนเพื่อมาพบนางด้วย แต่นี่เป็ความลับสุดยอด ตระกูลเราไม่มีใครกล้าแพร่งพรายเื่นี้ออกไปในเขตหนิงด้วยซ้ำ” สะใภ้ตระกูลซ่งกล่าวเื่ที่น่าสงสัยเหล่านี้ออกมา
แต่เพราะนางต้องเก็บความลับที่ไม่อาจแพร่งพรายได้นี้มาตลอด เมื่อได้เปิดเผยแก่หลินฟู่อินเช่นนี้แล้ว นางจึงรู้สึกราวกับได้ยกูเาออกจากอก แล้วกล่าวต่อ “ข้าได้ยินจากท่านแม่สามีด้วยนะ ว่าขุนนางผู้นั้นอาจจะเป็คนผู้นั้น”
คนผู้นั้น? คนไหน?
หลินฟู่อินไม่รู้ศัพท์เฉพาะเช่นนี้
เมื่อสะใภ้ตระกูลซ่งเห็นว่าหลินฟู่อินมองนางด้วยั์ตากลมโตคู่นั้นอย่างสงสัย ก็คิดได้ว่าหลินฟู่อินคงไม่เข้าใจจึงหัวเราะออกมา นางส่งสัญญาณให้หลินฟู่อินเข้ามาใกล้ๆ “สตรีที่ทรงอำนาจที่สุดในต้าเว่ยของเราอย่างไรเล่า”
สตรีที่ทรงอำนาจที่สุดหรือ?
ดวงตาทรงผลซิ่งของหลินฟู่อินเบิกกว้างขึ้น ก่อนจะโพล่งออกมา “ฮองเฮาหรือเ้าคะ?”
เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินไม่รู้จริงๆ สะใภ้ตระกูลซ่งจึงยกยิ้มแล้วส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็ไทเฮาหรือ?” หลินฟู่อินถามอีก
“ไม่ ไม่ใช่ทั้งคู่” สะใภ้ตระกูลซ่งส่ายหน้า แล้วกล่าวเสียงเบา “ต้าเว่ยในสมัยของเรานั้นต่างจากเมื่อครั้งอดีต สตรีที่ทรงอำนาจที่สุดในสมัยของเรามิใช่ทั้งฮองเฮาหรือไทเฮา แต่เป็องค์หญิงใหญ่รั่วสุ่ยต่างหาก!”
รั่วสุ่ย? องค์หญิงใหญ่?
หลินฟู่อินได้ยินเช่นนี้ สมองของนางก็แทบะเิออกมา
แต่ก็เพียงครู่เดียว แล้วสมองของนางก็กลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม
“เซิ่งซ่าง [1] องค์ปัจจุบันและองค์หญิงใหญ่รั่วสุ่ยนั้นเป็พี่น้องร่วมมารดากัน แต่ในตอนที่ฮองเฮาพระองค์ก่อนกำลังตั้งครรภ์เซิ่งซ่างนั้น พระองค์ถูกวางยา เซิ่งซ่างจึงเกิดมามีร่างกายอ่อนแอ และหลังจากที่พระองค์ขึ้นรับตำแหน่งแล้ว ก็เป็องค์หญิงใหญ่รั่วสุ่ยที่สนับสนุนจนขึ้นมาถึงจุดนี้ได้” สะใภ้เล็กเห็นว่าข้างนอกเริ่มมืดแล้วก็เริ่มกลัวขึ้นมา แต่เพราะนางมีหลินฟู่อินเป็เพื่อนคุย นางจึงลดทอนความกลัวไปได้บ้าง
นางเค้นสมองหาทุกเื่ที่นางรู้เกี่ยวกับเื่ภายในของราชสำนักและเื่ของราชวงศ์ออกมาเล่าให้หลินฟู่อินฟัง
และนี่ต่างก็เป็เื่ที่หลินฟู่อินเพิ่งเคยได้ฟังเป็ครั้งแรก นางจึงตั้งใจฟังเป็อย่างมาก
ดูเหมือนว่าเซิ่งซ่างองค์ปัจจุบันจะเป็ฮ่องเต้รัชกาลที่เจ็ดของแคว้นต้าเว่ย นามฮ่องเต้หย่งเฉียน
แต่หลังจากที่พระองค์ปกครองไปได้ไม่นาน ก็ได้ฝากฝังงานปกครองให้กับพระเชษฐภคินีแทน เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพและความไร้พร์ในด้านการเมือง
ตัวผู้เป็พี่นั้นแตกต่างจากฮ่องเต้ที่เกิดมาอย่างบุรุษ องค์หญิงใหญ่รั่วสุ่ยนั้นเกิดมาอย่างสตรี แต่กลับมีความสามารถในเื่การเมืองที่โดดเด่น ทั้งความสามารถในการบัญชาการกองทัพเองก็ไม่เป็สองรองใคร พระองค์จึงแก้ไขความผิดพลาดของรัชกาลก่อนๆ แทนฮ่องเต้ได้มากมาย
จนในที่สุดองค์หญิงใหญ่ก็ได้กลายเป็ศัตรูที่น่าปวดหัวที่สุดของฮ่องเต้เป่ยหรงผู้พยายามส่งทัพบุกลงใต้มาหลายคราแล้ว แต่ก็ถูกองค์หญิงใหญ่ขัดขวางไว้ได้ทุกครั้งไป
และยิ่งนานปีเข้า รากฐานขององค์หญิงใหญ่ในการปกครองก็ยิ่งแ่า จนฮ่องเต้แคว้นเป่ยหรงเริ่มบุกน้อยลงเรื่อยๆ
หลินฟู่อินได้ฟังแล้วก็เหลืออยู่เพียงคำถามเดียว
สตรีผู้ทรงอำนาจและมีความสามารถที่สุดในต้าเว่ยจะแอบมาพบนักทำนายจ้าวอย่างลับๆ ด้วยตัวเองในเขตหนิงไปเพื่ออะไรกัน?
“เช่นนั้นแล้วท่านสะใภ้เล็กพอจะทราบหรือไม่เ้าคะ ว่าองค์หญิงใหญ่มาพบนักทำนายจ้าวไปเพื่อสิ่งใด?” หลินฟู่อินกระซิบถาม
เมื่อสะใภ้เล็กได้ยินคำถามนี้ นางก็มีสีหน้าราวกับแมวที่ถูกเหยียบหาง แล้วกล่าวออกมาทันที “แม่นางหลิน คำถามเช่นนี้นับเป็การิ่ราชวงศ์ ท่านจะถามเช่นนี้ไม่ได้! และลืมเื่เกี่ยวกับองค์หญิงใหญ่ที่ข้าเล่าให้ท่านฟังในวันนี้ไปเสีย ทำทีเป็ว่าท่านไม่เคยได้ยินข้าเล่า เข้านอน แล้วลืมๆ มันไปให้หมดด้วยนะเ้าคะ!”
เมื่อหลินฟู่อินเห็นว่านางมีท่าทีหวาดกลัวและระแวงเช่นนี้ นางจึงพยายามปลอบนาง “ได้ อย่างไรเสียเื่เหล่านี้ก็เป็เื่ที่คนบ้านนอกเช่นข้าคงไม่มีวาสนาให้เกี่ยวข้องด้วยอยู่แล้ว พูดตามตรงว่ามีเื่มากมายที่ข้าฟังเมื่อครู่แล้วไม่เข้าใจ”
เมื่อเห็นหลินฟู่อินกล่าวเช่นนี้ สะใภ้เล็กจึงสงบใจลงได้
แม้ในตอนนี้นางจะรู้สึกเสียใจทีหลังที่เล่าให้หลินฟู่อินฟังไปแล้ว แต่คำพูดก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป เก็บกลับมาไม่ได้ เสียใจไปก็เท่านั้น นางจึงได้แต่หวังว่าหลินฟู่อินจะไม่นำเื่ออกไปแพร่งพรายต่อ
เมื่อได้ยินหลินฟู่อินบอกว่านางไม่เข้าใจเื่ที่ได้ยินในบางส่วนเสียด้วยซ้ำแล้ว นางก็สบายใจขึ้นมาบ้าง
และเพื่อเตือนหลินฟู่อินเื่ที่ต้องเก็บสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ไว้เป็ความลับ นางจึงขู่หลินฟู่อินต่อ “แม่นางหลินโปรดจำเอาไว้ ท่านจะแพร่งพรายเื่ขององค์หญิงใหญ่ที่ข้าเล่าให้ท่านฟังเมื่อครู่ไม่ได้เด็ดขาด เพราะองค์หญิงได้ตั้งหน่วยลับขึ้นมาเพื่อคอยเป็หูเป็ตาแล้ว หากพบว่ามีใครว่าร้ายองค์หญิงเข้า เงาหัวคงได้หายเป็แน่!”
ไม่รู้ว่าที่กล่าวมานี้มีความจริงอยู่กี่ส่วน แต่คำพูดของนางก็ทำให้หลินฟู่อินรู้สึกตกตะลึง หากเป็เช่นนั้นก็นับว่าเป็ตัวตนที่เทียบได้กับองครักษ์เสื้อแพร [2] หรือตงฉ่างซีฉ่าง [3] เลยไม่ใช่หรือ?
การที่คิดเื่เช่นนั้นขึ้นมาได้ องค์หญิงใหญ่ผู้นี้คงต้องมากความสามารถมากจริงๆ แน่!
สะใภ้เล็กคุยจนหมดเื่คุย หลินฟู่อินจึงชวนคุยเื่บุตรสาวทั้งสามของสะใภ้เล็กแทน และเล่าว่าหลินฟู่อินเองก็มีเ้าตัวเล็กอยู่อีกสองคนเช่นกัน
นางยังมีเื่ที่คาใจอยู่ในใจ แต่ล้วนเป็เื่ที่ต้องรอให้นางมีอำนาจมากกว่านี้ก่อนจึงจะสามารถหาคำตอบหรือแก้ไขได้
นางเองก็ไม่รู้สาเหตุ แต่นางรู้สึกมาตลอดว่ามารดาของนางไม่น่าใช่คนธรรมดา แม้จะจากไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่ผิดไปจากปกติ
ดังนั้นแล้วต่อให้ไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง แต่นางก็ต้องหาสาเหตุที่มารดาของนางตายให้พบให้ได้!
ฟ้าเริ่มมืดและสะใภ้เล็กเองก็เริ่มวิตกขึ้นเรื่อยๆ จนถามหลินฟู่อินซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งว่าเหตุใดคนขับรถม้าจึงไม่มาเสียที
หลินฟู่อินพยายามปลอบประโลมนางอยู่หลายครั้ง และหลังจากที่ปลอบครั้งสุดท้ายเสร็จ นางก็ได้ยินเสียงม้า นางจึงหันไปกล่าวกับสะใภ้เล็ก “ท่านสะใภ้เล็ก นี่น่าจะเป็คนขับรถม้าของท่านที่กลับมาพร้อมกับม้าเ้าค่ะ”
“ท่านสะใภ้เล็ก ปลอดภัยหรือไม่ขอรับ?” ทันทีที่หลินฟู่อินกล่าวจบ นางก็ได้ยินเสียงของคนขับรถม้าตระกูลซ่งทันที
หลินฟู่อินเลิกม่านขึ้นแล้วตอบรับ พลางแจ้งเขาว่าสะใภ้เล็กยังปลอดภัยดี
“ขอบคุณ์!” คนขับรถม้าดีใจมาก แล้วจึงรีบเชื่อมม้าเข้ากับรถแล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองทันที
หลินฟู่อินถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อไปถึงเมืองแล้ว นางก็ตามไปส่งสะใภ้ถึงที่พักที่ซ่งฮูหยินพักอยู่ ก่อนจะกลับไปยังเรือนของนางเอง
หลินเฟินและหลินฟางที่ต่างก็คิดว่าคืนนี้หลินฟู่อินคงพักอยู่ที่หมู่บ้านหูลู่ มีท่าทีกังวลเป็อย่างมากเมื่อเห็นว่านางกลับมาที่นี่เสียดึกดื่น
หลินฟางจึงถามอย่างเป็กังวล “ฟู่อิน ระหว่างทางมีเื่อะไรเกิดขึ้นหรือ เหตุใดคืนนี้เ้าถึงกลับมาเอาป่านนี้กัน?”
“เ้ายังไม่ได้กินอะไรใช่หรือไม่? ข้าจะไปทำอะไรให้เ้าเอง เ้าไปพักเถอะ” หลินเฟินขอให้หลินฟางไปนำน้ำมาให้หลินฟู่อิน ในขณะที่ตัวนางเดินเข้าไปเตรียมอาหารในครัว
“ข้าไม่เป็ไร ไม่ต้องลำบากก็ได้เ้าค่ะ และมาฟังข้าก่อน” หลินฟู่อินรู้ว่าทั้งสองเป็ห่วงนางมาก แต่จะปล่อยให้พวกนางกังวลไปก่อนก็ดูไม่เหมาะนัก
หลินเฟินหยุดลง
แล้วหลินฟู่อินจึงกล่าว “ระหว่างทางข้าได้พบกับคนใกล้คลอด ข้าจึงช่วยทำคลอดให้นางแล้วพานางไปส่งยังโรงเตี๊ยมในเมือง ข้าเลยกลับมาช้า”
“เ้าทำเสียข้ากลัวเลย ไปทำเื่ดีๆ มาอีกแล้วนี่เอง!” หลินฟางลูบอก ส่วนหลินเฟินเม้มปากก่อนหัวเราะออกมา “แต่ก็ยังไม่มีอาหารอยู่ดี ข้าจะไปเตรียมให้เ้านะ”
หลินฟู่อินพยักหน้า นางเองก็หิวมาก
หลินฟางรินน้ำให้นาง ก่อนจะไปนำถั่วงอกผัดและถั่วทอดโรยเกลือมาให้นางรองท้องก่อน
เมื่อหลินฟู่อินเห็นอาหารที่น่ากินนี้แล้ว ท้องนางก็ร้องแล้วเริ่มกินทันที
“อร่อยมาก!” หลินฟู่อินกล่าวอย่างเริงร่าหลังเริ่มกินทั้งสองจานไปได้เล็กน้อย
หลินฟางกล่าวอย่างภูมิใจ “จริงด้วย รู้หรือไม่ว่าวันนี้พวกข้าสองพี่น้องหาเงินมาได้เท่าไร?”
“หามาได้เท่าไรหรือ?” หลินฟู่อินถามด้วยสีหน้างุนงง และเพราะตอนนี้นางค่อนข้างเงินขาดมืออยู่ พอได้ยินเื่เงินดวงตาของนางจึงเป็ประกายขึ้นมาเล็กน้อย
--------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เซิ่งซ่าง (圣上) หมายถึง ‘พระเ้าอยู่หัว’ คือสรรพนามที่ใช้เรียกขานองค์จักรพรรดิ เนื่องจากบุคคลทั่วไปไม่อาจขานพระนามจริงหรือใช้สรรพนามเหมือนสามัญชนทั่วไปได้ และสรรพนามที่ใช้เรียกยังมีอีกหลายคำ เช่น หวงซ่าง เป็ต้น
[2] องครักษ์เสื้อแพร (锦衣卫) หมายถึง องค์กรที่ทำหน้าที่คล้ายตำรวจลับ มีหน้าที่รับใช้ราชสำนัก เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ิ
[3] ตงฉ่างซีฉ่าง (东厂西厂) หมายถึง องค์กรที่ทำหน้าที่คล้ายตำรวจลับ สอดส่องความเคลื่อนไหวบุคคลต้องสงสัยว่ามีแนวโน้มหรือกระทำตัวแข็งข้อต่อราชสำนัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้