สวีจิ้งเป็อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่ง
เขาคืออาจารย์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่กลับถูกผู้เช่ารังแกอย่างร้ายกาจ
เมื่อบัณฑิตเจอทหาร แม้จะมีเหตุผลก็ใช้การไม่ได้!
สวีจิ้ง้าขายบ้าน เพราะวางแผนตามคู่หมั้นไปต่างประเทศ ทั้งสองคนคือหนุ่มสาวที่มีความฝัน คู่หมั้นของเขาได้ทุนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ขณะที่สวีจิ้งนั้นไม่ได้รับเลือก ดังนั้นถ้าสวีจิ้งไม่ออกค่าใช้จ่ายเองก็ต้องรอจนกว่าคู่หมั้นจะเรียนจบกลับมา ทว่าตอนนั้นคู่หมั้นบอกเขาอย่างชัดเจนว่าหลังเรียนจบแล้วเธออยากอยู่ทำงานที่ต่างประเทศต่อไป สวีจิ้งจึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
ั้แ่บัดนี้ พวกเขาจะต้องอยู่คนละซีกโลก หากเขาไม่ตามไปด้วยก็เท่ากับรอถูกบอกเลิกจริงหรือไม่เล่า
สวีจิ้งชอบพอคู่หมั้นคนนี้ของตนมาก และอยากไปต่างประเทศด้วยเช่นกัน เขาจึงตัดสินใจขายบ้านเพื่อออกนอกประเทศ
ตอนนี้ขายได้เงินมากเท่าไรย่อมดีเท่านั้น เท่ากับว่าสามารถนำไปแลกเงินดอลลาร์ได้มากน่ะสิ นั่นก็เพราะปัจจุบันค่าใช้จ่ายที่ต่างประเทศนั้นสูงมาก
สวีจิ้งเสนอราคาบ้านมาแปดหมื่น ก่อนและหลังเซี่ยเสี่ยวหลานมาดูบ้านก็มีคนอื่นมาดูบ้านเช่นกัน ทว่าพวกเขาต่างก็ปวดหัวกับปัญหาเื่บรรดาผู้เช่า อีกทั้งรู้ดีว่าสวีจิ้งกำลังร้อนเงิน ตอนต่อรองราคาจึงจงใจกดราคาให้ต่ำติดดิน สวีจิ้งลองเปรียบเทียบดูแล้ว ในบรรดาผู้ที่มาดูบ้านเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นมีท่าทีอ่อนโยนมากที่สุด
ตอนนั้นเขาปฏิเสธไป แต่หารู้ไม่ว่าคนอื่นจะให้ราคาต่ำกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเสียอีก ทั้งยังร้องขอให้สวีจิ้งไล่ผู้เช่าออกไปด้วย ถ้าสวีจิ้งทำภารกิจยากเย็นแสนเข็ญเช่นนี้ได้สำเร็จ เขาคงไม่อยากขายบ้านทิ้งขนาดนี้หรอก
เขาทำได้เพียงปล่อยให้เ้าของบ้านคนใหม่จัดการกับผู้เช่าเอาเองเท่านั้น
หลังเจอเซี่ยเสี่ยวหลานอีกครั้ง สวีจิ้งจึงบอกเื่นี้อย่างชัดเจน
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็อยากช่วยหลิวหย่งซื้อบ้านหลังนี้เช่นกัน อย่างไรก็มีผู้จัดการใหญ่อู่อยู่ เธอมั่นใจพอสมควรว่าจะนำบ้านคืนจากผู้เช่าได้ ผู้จัดการใหญ่อู่ต้องจัดการได้อยู่แล้ว หากจัดการไม่ได้สาเหตุก็คงเป็เพราะเธอซื้อพันธบัตรไม่มากพอ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ เธอค่อยซื้อพันธบัตรเพิ่มอีกหน่อยเสียก็สิ้นเื่!
“เื่ราคาบ้านคุณช่วยเพิ่มอีกหน่อยได้หรือไม่ครับ”
สวีจิ้งยอมลดเกียรติของตนเพื่อผลประโยชน์ การเจรจาต่อรองธุรกิจกับผู้อื่นเป็สิ่งที่เขาไม่ถนัดเลยจริงๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็รู้สึกว่าเขาเป็คนเถรตรง แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะเพิ่มราคาให้เสียหน่อย เธอซื้อบ้านหลังนี้แทนหลิวหย่ง ค่าบ้านหลิวหย่งเป็คนจ่าย ไม่ใช่เงินของเธอ แล้วทำไมเธอต้องใจกว้างไม่เข้าเื่ด้วย เงินที่จ่ายเพิ่มคือเงินที่หลิวหย่งหามาอย่างยากลำบาก เธอทำตัวใจกว้างที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้ หลิวหย่งจะต้องฉีกยิ้มให้ลูกค้าอีกมากเท่าไรกว่าจะได้รับกลับมา
ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจึงส่ายหน้า “หกหมื่นค่ะ ผู้เช่าคุณไม่ต้องจัดการ ถ้าคุณตกลงวันนี้ฉันให้ค่ามัดจำได้เลย”
สวีจิ้งรู้สึกผิดหวังมาก
เซี่ยเสี่ยวหลานดูออกว่าเขากำลังลังเลและฉุกคิด แต่เธอก็ไม่เร่งเร้าอะไร
เฮ้อ ต้องขายบ้านที่อนาคตราคาจะพุ่งสูงขึ้นเป็หลายสิบล้านในราคาหกหมื่น จะให้เวลาอาจารย์สวีคิดหน่อยก็สมควรแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้สึกผิดอะไรแม้แต่น้อย
สวีจิ้งอยากใช้เงิน เธอก็ให้เงินกับเขาได้ การซื้อขายครั้งนี้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่วนที่ว่าอนาคตราคาบ้านจะเพิ่มขึ้นมากเท่าไรก็เป็อีกเื่หนึ่ง สวีจิ้งเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีทีท่าจะยอมเพิ่มราคาสักนิด ั้แ่ต้นจนจบเด็กสาวคนนี้นิ่งมาก ยอมให้ราคาแค่หกหมื่นเท่านั้น
“ผม้าเงินสดโดยเร็วที่สุด”
“วางใจได้ค่ะ วันนี้ฉันจะให้เงินสองพันหยวนเป็ค่ามัดจำกับคุณก่อน ส่วนที่เหลือฉันจะจ่ายให้คุณภายในสามวัน หากฉันผิดสัญญา เงินมัดจำนี้คุณไม่จำเป็ต้องคืนให้ฉัน แต่หากคุณผิดสัญญา จะต้องชดใช้เป็สิบเท่าของค่ามัดจำที่ฉันให้”
หากสวีจิ้งผิดสัญญา นั่นหมายถึงภายในสามวันนี้มีคนเสนอราคาบ้านให้เขาเกินแปดหมื่นหยวน
ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องจ่ายเงินค่าผิดสัญญากับเซี่ยเสี่ยวหลานถึงสองหมื่นหยวน ดังนั้นหากขายบ้านได้ราคาน้อยกว่าแปดหมื่นหยวน ก็เท่ากับเสียแรงเปล่าจริงหรือไม่
ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานซื้อบ้านเป็ที่เรียบร้อย
สวีจิ้งบอกให้พวกผู้เช่าย้ายออก เนื่องจากอีกสามวันให้หลัง บ้านหลังนี้จะไม่ใช่ของคนแซ่สวีอย่างเขาอีกต่อไปแล้ว!
พวกผู้เช่าต่างพากันร้องระงม พรางด่ากราดสวีจิ้ง บ้างก็ด่าเซี่ยเสี่ยวหลาน
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้อ่อนโยนเหมือนครั้งมาดูบ้าน “ฉันไม่เหมือนอาจารย์สวี เขากลัวพวกคุณจะไปโวยวายที่ทำงานของเขา แต่ฉันไม่กลัวพวกคุณ เวลาสามวันคือเวลาที่ฉันให้พวกคุณย้ายที่อยู่ หากสามวันผ่านไปแล้วยังไม่ย้ายออกไปล่ะก็...”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้พูดจนจบประโยค
เธอปล่อยให้พวกผู้เช่าเติมคำในช่องว่างเอาเอง
อย่าหาว่าเธอใจร้าย คนพวกนี้ตอนรังแกสวีจิ้งสามัคคีกันเหลือเกิน
สวีจิ้งให้เวลาพวกเขาย้ายบ้านมานานแล้ว แต่ไม่มีใครยอมปฏิบัติตามที่สวีจิ้งพูดเลยสักนิด บ้านหลังนี้ทางรัฐบาลส่งคืนให้สวีจิ้ง แต่คนพวกนี้กลับรู้สึกอิจฉาตาร้อน คิดจะเอาเปรียบกันต่อไป คนหมู่มากรุมรังแกอาจารย์สวีที่หัวเดียวกระเทียมลีบ คิดจะยึดบ้านหลังนี้หรือคิดจะทำอะไรกันแน่?
ตอนนี้กฎระเบียบหลายอย่างยังไม่สมบูรณ์พร้อม เซี่ยเสี่ยวหลานเคยได้ยินว่ามีผู้เช่ากับเ้าของบ้านต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันจริงๆ
อย่างไรก็ตามเธอไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้คนเหล่านี้แน่นอน หากไม่ไล่ผู้เช่าออกไปั้แ่ตอนนี้ อีกไม่กี่ปีข้างหน้า พวกเขาคงปักหลักกันที่บ้านหลังนี้จริงๆ น่ะสิ!
ที่กล้าหือกับสวีจิ้ง ก็เพราะสวีจิ้งมีนิสัยสุภาพอ่อนโยน
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่คนอ่อนแอ เห็นเธอหน้าตาสวยหวาน แต่น้ำเสียงตอนพูดนั้นสวีจิ้งสิบคนก็สู้ไม่ได้ ผู้จัดการใหญ่อู่เป็ถึงข้าราชการ แต่ข้าราชการยังต้องทำงานให้กับเซี่ยเสี่ยวหลานเลยมิใช่หรือ?
ยุคนี้คนที่สามารถจ่ายเงินหลายหมื่นเพื่อซื้อบ้านได้ คงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งจ่ายค่ามัดจำก็วางมาดเ้าของบ้าน เธอตรวจดูบ้านอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ก่อนถามสวีจิ้งว่า มีสิ่งไหนที่เป็ของบ้านหลังนี้ และสิ่งไหนที่เป็ของพวกผู้เช่าบ้าง
เครื่องเรือนภายในบ้านถูกผู้เช่าฉกฉวยไปขายนานแล้ว
เครื่องเรือนที่เหลืออยู่ตอนนี้ล้วนเป็ของผู้เช่าทั้งหมด มีเพียงโอ่งน้ำที่ลานบ้านเท่านั้นที่เป็ของครอบครัวสวีจิ้งจริงๆ
พอสวีจิ้งคิดว่าอีกสามวันให้หลังบ้านหลังนี้ก็จะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปก็รู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นก็อนุญาตให้พวกเขาเอาข้าวของส่วนตัวออกไปได้”
เซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนมีเหตุผล แต่กลับมีผู้เช่าโวยวายทันทีว่า “พวกเราไม่ย้าย! ประเทศชาติอนุญาตให้พวกเราอยู่ที่นี่…”
เซี่ยเสี่ยวหลานหันหน้ากลับไปส่งยิ้มให้ “แต่ประเทศชาติก็อนุญาตให้ซื้อขายบ้านอย่างอิสระอีกด้วยนะคะ ถ้าคุณมีเงินจ่าย ฉันจะขายบ้านหลังนี้ในราคาเท่าทุนให้คุณ แต่ถ้าไม่มีก็อย่าพูดให้มากความ สามวันให้หลังฉันจะให้คนมาเก็บกวาดบ้าน ฉันชอบคุยด้วยเหตุผล แต่คนที่มาเก็บกวาดจะคุยด้วยเหตุผลหรือเปล่า ฉันคงก้าวก่ายไม่ได้”
ผู้เช่าหน้าแดงก่ำราวตับหมู
ถ้ามีเงินซื้อบ้านหลังนี้ ใครจะมายืนโวยอยู่ตรงนี้เล่า
ที่จริงไปอยู่ที่ไหนอย่างไรก็ต้องเช่าบ้านเหมือนกัน พวกเขาแค่เอาเปรียบจนเคยชิน ก่อนหน้านี้พวกเขาประสบความสำเร็จในการเอาเปรียบสวีจิ้งมาโดยตลอด ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่จะพ่ายแพ้เอาตอนนี้!
เซี่ยเสี่ยวหลานี้เีเถียงกับคนพวกนี้ยิ่งนัก
หลังจ่ายเงินค่ามัดจำเสร็จเรียบร้อยนั่นก็เท่ากับบ้านหลังนี้ได้มาอยู่ในมือเธอเกือบแน่นอนแล้ว เธอรีบโทรไปที่เผิงเฉิงเพื่อเรียกลุงของเธอมาเซ็นสัญญา เตรียมตัวรับส่งมอบบ้าน
“ลุงคะ เงินในมือตอนนี้พอหรือเปล่า ถ้าไม่พอใช้ของฉันก่อนได้”
“พอสิพอ ทันทีที่หลานบอกว่าจะซื้อบ้าน ลุงก็รีบรวบรวมเงินเลย”
หลิวหย่งรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานทำงานฉับไว หากตัดสินใจว่าจะซื้อบ้านในปักกิ่งแล้วก็ควรรีบเก็บเงินให้ครบ ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานเรียกเขาไปเพื่อรับมอบบ้านที่ปักกิ่ง ได้ยินว่ายังมีผู้เช่าเ้าปัญหาอยู่ด้วย หลิวหย่งจึงบอกหลี่ต้งเหลียงว่า
“นายกับเก่อเจี้ยนไปปักกิ่งกับฉันพรุ่งนี้”
อยู่ที่เผิงเฉิงมาหลายเดือน หลิวหย่งเคยพาหลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนไปจัดการพวกลักลอบค้าของเถื่อนด้วยซ้ำ จัดการกับผู้เช่าไม่กี่คนคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก!
สองวันต่อมา หลิวหย่งก็ปรากฎตัวที่ปักกิ่ง
ด้านหลังเขามีบอดี้การ์ดตามมาด้วยอีกสองคน แม้ตัวเขาจะมีรูปร่างผอม ทว่ากลับดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ผู้จัดการใหญ่อู่ได้ยินว่าเขาคือลุงของเซี่ยเสี่ยวหลาน แววตาก็ทอประกายอย่างยินดี ท่าทางคงเป็เถ้าแก่จากทางใต้สินะ!
ใครๆ ต่างรู้ดีว่า เถ้าแก่ทางใต้นั้นทั้งร่ำรวยและโง่เขลา ใส่สร้อยทองเต็มตัวแต่ชอบซื้อภาชนะทองแดงไร้ค่า เช่นนั้นเขาก็คงจะตะล่อมให้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลได้เหมือนกันสินะ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้