ระหว่างที่รออยู่นางได้ยินพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ถึงเซวียนหยวนเช่อ จึงอดที่จะเงี่ยหูตั้งใจฟังไม่ได้
“น้องชาย เ้าว่าพวกเราอพยพหนีความลำบากมาจากแคว้นหนานเยียนมาถึงแคว้นหนานเยียน ฮ่องเต้แคว้นเป่ยเยียนจะสนใจความเป็ความตายของพวกเราหรือไม่?”
“ใครจะรู้เล่า? ล้วนกล่าวว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยเยียนเป็ฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม รักราษฎรเหมือนบุตรหลาน แต่พวกเรามิใช่ราษฎรของแคว้นเป่ยเยียนเสียหน่อย ย่อมไม่อาจได้รับการดูแลเสมอภาคเท่าเทียมกับราษฎรแคว้นเป่ยเยียน”
“พูดอย่างนี้ก็ถูก แต่หากเขาเป็ฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรมจริงก็ควรจะมีจิตใจกว้างขวางจึงจะถูกต้อง พวกเราต่างฝากความหวังไว้กับเขา ดังนั้นจึงเดินทางมาไกลเป็พันลี้เพื่ออพยพมา เขาคงไม่ถึงขั้นเห็นคนตายก็ไม่ช่วยกระมัง?”
“หากจะโทษก็ต้องโทษฮ่องเต้ทรราชไร้สามารถของแคว้นหนานเยียนของพวกเรา ไม่ใส่ใจในความยากลำบากที่ราษฎรต้องได้รับ คิดแต่จะขูดเืขูดเนื้อเก็บภาษีจากราษฎรเพื่อนำไปเอาอกเอาใจสนมชายาและบูรณะก่อสร้างตำหนักในวัง ก่อสร้างสุสานหลวง เขาเห็นชีวิตราษฎรเช่นพวกเราเป็เหมือนมดตัวหนึ่ง กระทั่งเงินไม่กี่ตำลึงก็ยังให้ไม่ได้!”
“ใครบอกว่าไม่ใช่ล่ะ? อยากให้ไท่จื่อขึ้นครองราชย์เร็วๆ เหลือเกิน หากปล่อยให้ฮ่องเต้ทำให้แคว้นหนานเยียนเสื่อมถอยลงเช่นนี้ พวกเราต้องอดตายจริงๆ”
“...”
เฟิ่งเฉี่ยนเพิ่งจะจับความได้ คนเหล่านี้เป็ชาวบ้านที่อพยพเพื่อเอาชีวิตรอดจากแคว้นหนานเยียน พวกเราไม่มีหนทางรอดในแคว้นของตนแล้ว ได้แต่ฝากความหวังไว้กับฮ่องเต้แคว้นข้างเคียง ปรารถนาให้เขายื่นมือออกมาให้ความช่วยเหลือ ช่วยให้พวกเขาผ่านความยากลำบากนี้ไปได้
ตามที่นางรู้จักนิสัยของเซวียนหยวนเช่อ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาควรจะช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่การกระทำเช่นนี้เป็การรักษาเรื้อรัง ประการแรก ทันทีที่เขาให้การช่วยเหลือชาวบ้านเหล่านี้ ทันทีที่ประตูเมือง ยากจะรับรองได้ว่าชาวบ้านผู้อพยพของแคว้นหนานเยียนจะไหล่บ่าเข้ามาในเมืองมู่หยางมากยิ่งขึ้น ถึงขั้นยังมีชาวบ้านผู้อพยพจากแคว้นอื่นๆ ตามมาได้ และเมื่อได้ยินข่าว ถึงเวลานั้นสถานการณ์เช่นนั้นย่อมยากจะจัดการได้ ประการที่สอง ยากจะรับรองได้ว่าในจำนวนชาวบ้านผู้อพยพเข้ามานี้จะมีไส้ศึกของแคว้นอื่นปะปนมาด้วย ทันทีที่เมืองมู่หยางสูญเสียการควบคุมและเกิดความวุ่นวายขั้นจลาจล หากใช้กำลังทหารเข้าควบคุมย่อมยากจะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์มีผู้าเ็เสียชีวิต หากไม่ใช้กำลังทหารเข้าควบคุม เมืองมู่หยางย่อมยากจะรักษาความสงบและปลอดภัยเอาไว้ได้
เมื่อคืนเซวียนหยวนเช่อตั้งใจจะไปปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางทั้งหลายตลอดทั้งคืน ต่อมาถูกนางขัดขวางเอาไว้ พวกเขา้าปรึกษาหารือว่าควรจะให้ความช่วยเหลือคนเหล่านี้อย่างไรดีกระมัง?
เมื่อต้องใคร่ครวญถึงปัญหารอบด้านเช่นนี้ ช่างเป็เื่ที่ทำให้เขาต้องปวดเศียรจริงๆ ช่วยก็ไม่ได้ ไม่ช่วยก็ไม่ได้!
นางพลันคิดวิธีการบางอย่างขึ้นมาได้ หรืออาจจะช่วยให้เขาคลี่คลายความยุ่งยากในตอนนี้ได้นะ!
“พวกเ้ายังไม่รู้อีกหรือ? ร้านค้าสกุลหลันที่เฉิงตงเปิดคลังแจกเสบียงอาหารแล้ว ขอเพียงเป็ชาวบ้านผู้อพยพจากแคว้นหนานเยียนก็สามารถแสดงหนังสือเพื่อพิสูจน์ว่าเป็ชาวแคว้นหนานเยียนจริงๆ ทุกคนจะได้รับข้าวสารหนึ่งถุง ยังมีเงินหนึ่งก้อน! ข้าไปรับมาแล้ว เหตุใดพวกเ้ายังไม่ไปรับเล่า?” นางเจตนาพูดเสียงดัง
ได้ยินคำพูดของนาง คนทั้งหมดล้วนกระตือรือร้นขึ้นมา
“แม่นาง เป็เื่จริงหรือนี่?”
“ร้านค้าสกุลหลัน? คือสกุลหลันที่เป็หนึ่งในสี่สกุลใหญ่ของสมาคมพ่อค้าวาณิชย์ของแคว้นเป่ยเยียนใช่หรือไม่?”
“สกุลหลันเปิดคลังแจกเสบียงอาหารแล้ว เหตุใดข้าจึงไม่ได้ยินมาก่อน?”
“แม่นาง ได้รับข้าวสารหนึ่งถุงและเงินหนึ่งก้อนจริงๆ หรือ?”
“...”
เฟิ่งเฉี่ยนถูกคนล้อมเข้ามาถามไถ่ในชั่วพริบตา
เฟิ่งเฉี่ยนกล่าวว่า “เป็เื่จริงแน่นอน ข้าจะโกหกพวกเ้าไปเพื่ออะไร? อีกประการหนึ่ง ต่อให้ข้าโกหกพวกเ้า เนื้อบนร่างกายของพวกเ้าจะน้อยลงสักชิ้นหรือไม่? หากพวกเ้ายังไม่เชื่อก็ไปดูพร้อมกับข้า ดูว่าข้าได้โกหกพวกเ้าหรือไม่?”
“ถูกต้อง นางไม่มีเหตุผลที่จะโกหกหลอกลวงพวกเรา!”
“ไปดูสักหน่อยดีหรือไม่!”
“ไป ทุกคนไปพร้อมๆ กัน!”
ภายใต้การนำของเฟิ่งเฉี่ยน คนทั้งหมดพากันเฮโลมุ่งหน้าไปยังร้านค้าสกุลหลัน
สาเหตุที่เอ่ยถึงร้านค้าสกุลหลันขึ้นมานั้น นางมิได้เจตนาที่จะกลั่นแกล้งครอบครัวของหลันเยว่หรู เป็เพราะในบรรดาคนที่นางรู้จักมักคุ้นในเมืองมู่หยาง นางรู้เพียงว่าสกุลหลันในเมืองมู่หยางถือเป็ครอบครัวของผู้มีอันจะกิน การค้าทำอย่างใหญ่โต ย่อมมีความสามารถรวบรวมข้าวสารมาช่วยเหลือชาวบ้านผู้อพยพเหล่านี้ภายในระยะเวลาสั้น สกุลหลันมีศักยภาพที่จะให้ความช่วยเหลือด้านนี้แน่นอน!
เวลานี้ยังเป็เวลาเช้าอยู่ ร้านค้าสกุลหลันยังไม่ได้เปิดร้าน ประตูใหญ่ยังคงปิดสนิท
ชาวบ้านผู้อพยพทั้งหลายรอไม่ไหวแล้วจึงก้าวขึ้นไปเคาะประตูส่งเสียงร้องะโ ไม่นานนัก หลงจู๊ของร้านค้าสกุลหลันเดินออกมา ทันทีที่เห็นขบวนใหญ่โตเช่นนี้ จึงใจนสะดุ้งโหยง!
มีชาวบ้านผู้อพยพก้าวเข้าไปถามว่า “ได้ยินมาว่าร้านค้าสกุลหลันของพวกท่านเปิดคลังเพื่อแจกจ่ายเสบียงอาหาร ขอเพียงเป็ชาวบ้านอพยพที่มาจากแคว้นหนานเยียน ทุกคนจะได้รับข้าวสารหนึ่งถุงและเงินหนึ่งก้อน เป็เื่จริงหรือไม่?”
หลงจู๊ได้ยินเช่นนั้นถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด เปิดคลังแจกจ่ายเสบียงอาหาร? ล้อเล่นกระมัง? คนมากมายเช่นนี้ล้วนมารับข้าวสารและเงิน ร้านค้าสกุลหลันจะไม่ขาดทุนตายหรือ?
เขาส่ายหน้าประหนึ่งเป็กลองปอกู่หลาง “ไม่มี...”
“เป็เื่จริงแน่นอน!” เฟิ่งเฉี่ยนตัดบทเขาได้ทัน จากนั้นตบลงบนไหล่ของเขา “หลงจู๊ ข้าเป็สหายของคุณหนูหลันเยว่หรู เชิญท่านสนทนากับข้าทางด้านนั้นสักครู่ได้หรือไม่?”
ทันทีที่หลงจู๊ได้ยินชื่อคุณหนูของครอบครัวตน เขามีท่าทีเป็มิตรขึ้นมากทีเดียว “ได้ เชิญทางนี้!”
เฟิ่งเฉี่ยนหมุนกายไปพูดกับชาวบ้านผู้อพยพ “ทุกคนรอสักครู่ รออยู่ที่นี่นี่ ให้ข้าและหลงจู๊ปรึกษากันเล็กน้อย ประเดี๋ยวจะมอบข้าวสารและเงินให้พวกเ้า!”
ชาวบ้านผู้อพยพได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยสีหน้าไม่กระจ่างแจ้ง แต่ดูเหมือนจะไม่มีวิธีการอื่น ได้แต่มองส่งพวกเขาทั้งสองคนก้าวเข้าไปในร้านค้าของสกุลหลัน
หลังจากเข้ามาในร้านค้าแล้ว หลงจู๊มองนางด้วยสายตาประหลาดใจเมื่อถามว่า “แม่นาง นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดคนด้านนอกจึงกล่าวว่า ร้านค้าสกุลหลันของพวกเราจะเปิดคลังแจกจ่ายเสบียงอาหาร? มีเื่เช่นนี้ที่ไหนกัน ตกลงเป็ใครที่กุข่าวลือเื่นี้ขึ้นมา?”
เฟิ่งเฉี่ยนกระแอมกระไอสองสามครั้ง “คนที่สร้างข่าวลือเื่นี้ขึ้นมา ยืนอยู่ตรงหน้าท่าน!”
หลงจู๊ตะลึงงัน จากนั้นตั้งสติได้ “เป็เ้า?”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขามองนางด้วยสายตาโกรธขึ้ง “แม่นาง สกุลหลันของพวกเราไม่มีความแค้นอันใดกับท่าน เหตุใดท่านต้องทำร้ายสกุลหลันของพวกเราด้วย?”
เฟิ่งเฉี่ยนแบมือออก “หลงจู๊ ท่านอย่าเพิ่งใจร้อนสิ! ฟังข้าพูดให้จบก่อน!”
“ข้าดูแล้วเ้าไม่ได้เป็สหายของคุณหนูของพวกเรา ชัดเจนเหลือเกินว่าเ้ามาก่อเื่!” หลงจู๊ไม่ยอมฟัง เขาชี้นิ้วไปที่ประตูพร้อมกับตวาดว่า “เ้าออกไปเดี๋ยวนี้! ร้านค้าสกุลหลันของพวกเราไม่ต้อนรับเ้า!”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะเบาๆ ไม่เพียงแต่ไม่จากไป แต่กลับหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“ข้าไปก็ได้ แต่ข้างนอกมีชาวบ้านผู้อพยพมากมายเช่นนั้น ไม่รู้ว่าหลงจู๊คิดจะจัดการอย่างไร?”
เมื่อคิดถึงชาวบ้านผู้อพยพเ่าั้ สีหน้าของหลงจู๊เผือดขาวลงอีก “เ้า...เ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เฟิ่งเฉี่ยนพูดช้าๆ “อย่าใจร้อน! ข้ามิใช่กำลังช่วยเ้าแก้ปัญหาหรอกหรือ?”
หลงจู๊โกรธจนต้องหัวเราะ ทั้งๆ ที่เ้าเป็คนพาคนเหล่านี้มา ตอนนี้เ้ากลับพูดว่าเ้ากำลังช่วยคิดหาวิธีแก้ไข นี่เป็ครั้งแรกที่เขาพบเจอคนหน้าหนาเช่นนี้ แต่เขาพบเห็นคนมากมาก และเป็คนมีไหวพริบ เห็นท่าทางไม่อนาทรร้อนใจของนางแล้ว ชัดเจนว่าได้เตรียมการมาล่วงหน้า ลองฟังนางดูสักหน่อยก็ไม่กระไร
“เช่นนั้นเชิญแม่นางชี้แนะ” เขายิ้มแต่ปาก
เฟิ่งเฉี่ยนพลันโบกมือขึ้นมา ในมือปรากฏหีบใบหนึ่งในชั่วพริบตา นางวางหีบใบนั้นลงบนโต๊ะ นางตบลงบนหีบพร้อมกับกล่าวว่า “ในนี้มีทองคำจำนวนหนึ่งพันตำลึง เ้านำพวกมันไปแลกเป็เงินและข้าวสาร แบ่งปันให้กับชาวบ้านผู้อพยพที่มาจากแคว้นหนานเยีน ทุกคนต้องได้รับข้าวสารหนึ่งถุงและเงินหนึ่งก้อน!”
“ทองคำหนึ่งพันตำลึง!” หลงจู๊เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เฟิ่งเฉี่ยนเห็นเขาไม่เชื่อ จึงเปิดหีบออก ทองคำเปล่งประกายปรากฏขึ้นแก่คลองจักษุทันที หลงจู๊ตาพร่า เขามีสีหน้ายิ้มแย้มทันที “ได้ๆ ไม่มีปัญหา! แม่นาง ท่านยังมีอะไรจะกำชับอีกหรือไม่?”
เฟิ่งเฉี่ยนเสริมอีกประโยคหนึ่ง “จำไว้ หากมีคนมาถาม ให้บอกว่าเป็องค์หญิงแห่งแคว้นหนานเยียน ซึ่งก็คือหลานเฟยเหนียงเหนียงแห่งแคว้นเป่ยเยียน ให้พวกเ้าทำเช่นนี้!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้