ในเมืองหลวงที่ห่างไกลออกไปหลายพันเมตร ณ สถานบำบัดระดับสูงแห่งหนึ่ง
ลูกชายสุดที่รักของตระกูลโจวนั่งอยู่บนรถเข็นคนไข้พยาบาลกำลังเตรียมจะพาเขาไปทำการบำบัดความจริงแล้วกำลังและเืของเขานั้นก็ยังถือว่าดีอยู่แต่สติและจิตใจกลับเต็มไปด้วยความเศร้าโศก หมอกในยามค่ำคืนปกคลุมลงหนาเขาดูราวกับคนแก่ที่ไร้ความหวังในชีวิตคนหนึ่ง
คุณนายโจวผลักประตูเดินเข้ามา เมื่อเห็นภาพบรรยากาศที่เห็นจนชินตาเธอก็พยายามระงับความโกรธแค้นเอาไว้เพียงในใจ ก่อนที่จะส่งยิ้มออกมาแทน “เวยเอ๋อร์ แม่มีข่าวดีจะมาบอก”
“อ้อ” โจวเหย้าเวยหันหน้ามาก่อนที่จะปรากฏอารมณ์ดีขึ้นบนหน้า แต่มันกลับเป็รอยยิ้มแสดงความเย้ยหยัน “ข่าวดีอะไรล่ะ? อย่าบอกนะว่าแม่ไปหายาวิเศษอะไรมาอีกแล้ว...”
สีหน้าของคุณนายโจวนิ่งไป ความจริงก็ไม่แปลกหรอกหากโจวเหย้าเวยจะตอบกลับมาแบบนี้ ในหลายเดือนที่ผ่านมานั้นเธอหาทางหายาวิเศษมามากมาย นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ว่านอกจากพวกมันจะทำให้เหย้าเวยดูอวบอ้วนอุดมสมบูรณ์ขึ้นก็ไม่ได้ทำให้เขากลับมายืนขึ้นอีกครั้งได้เลยดังนั้นจึงอย่าได้พูดถึงเื่ที่จะกลับมาฝึกศาสตร์ใหม่อีกครั้งเถอะ
แต่ว่าครั้งนี้...ครั้งนี้จะต้องไม่เหมือนเดิม! คุณนายโจวรู้สึกมั่นใจขึ้นมากว่าปกติ พยาบาลคนนั้นขอตัวออกไปก่อนทำให้ในห้องนั้นเหลือเพียงแม่ลูกตระกูลโจวทั้งสองคนแต่เธอก็ยังคงระมัดระวังมากอยู่ดี ดูเหมือนว่าความเสื่อมถอยที่เกิดขึ้นในหลายๆเดือนที่ผ่านมา จะทำให้เธอมีความคิดขึ้นมากทีเดียว
“อาจารย์ของลูก ครั้งนี้เขาไปหายาด้วยตัวเอง...” น้ำเสียงของคุณนายโจวนั้นเบาลงเรื่อยๆจนสุดท้ายก็กลายเป็เพียงเสียงกระซิบลงที่ข้างหูแต่ว่าในแววตาที่ไร้ความหวังของโจวเหย้าเวย กลับดูสว่างสุกใสขึ้นเรื่อยๆ
อาจารย์ออกโรงเองแบบนี้แปลว่าครั้งนี้จะต้องได้สมุนไพรยาวิเศษที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ใบหน้าของโจวเหย้าเวยแดงขึ้นเรื่อยๆ รอให้เขาดีขึ้นมาก่อนมันจะต้องเป็เวลาตายของผู้หญิงชาติชั่วคนนั้น
ตาย! จะต้องทำให้เธอได้รับความทรมานจนตายไปให้ได้ไม่อย่างนั้นจะสามารถกำจัดความเกลียดแค้นนี้ไปได้อย่างไร!
หลินลั่วหรานใช่ไหม...ได้ยินมาว่าพัฒนาไปอีกขั้นแล้ว ก็จะได้เอามาบำรุงกายด้วยพอดีโจวเหย้าเวยก้มหน้าลง ก่อนจะส่งเสียงออกมาจากในลำคอแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เสียงหัวเราะที่พวกมนุษย์ควรจะมี
ลูกชายคนเดียวของตระกูลโจวนั้นตอนนี้ก็เป็ราวกับสัตว์ร้ายที่ตกอยู่ในหลุมลึก ไม่มีความหวังที่จะดิ้นรน!
บนโลกใบนี้ สิ่งที่น่ากลัวกว่าสัตว์ร้ายก็คือสัตว์ร้ายในตอนที่ได้รับาเ็
ถ้าไม่ได้ตายอยู่ในหลุมแห่งนี้ มันก็จะต้องออกฆ่าคนอย่างบ้าคลั่งและกัดคอของศัตรูให้ฉีกขาด!
แล้วแบบนั้น โจวเหย้าเวย คือแบบไหนกันนะ?
ในขณะเดียวกันกับตอนที่โจวเหย้าเวยกำลังปฏิญาณสาบานกับตัวเองอยู่นั้นในบ้านตระกูลหลินก็กำลังคึกคักกันยกใหญ่
ไม่รู้ว่าบอร์ดแลกเปลี่ยนบนฟอรั่มนั้นมีบริษัทการขนส่งโดยเฉพาะหรือเปล่าแต่หลังจากที่เมื่อวานเธอได้สั่งหม้อปรุงยาไป วันนี้มันก็ถูกส่งมาถึงแล้วเื่การติดต่อแลกเปลี่ยนในบอร์ดแบบนั้น ไม่ได้จำเป็จะต้องปกปิดอะไรหลินลั่วหรานจึงเปิดกล่องพัสดุออก พร้อมทั้งทุกคนที่เข้ามาล้อมรอบมุงดู
ตัวของหม้อปรุงยาเป็สีบลอนด์สวยหูทั้งสองถูกทำออกมาเป็ลวดลายสัตว์ประหลาด มันคือสัตว์เทพที่ตะกละชนิดหนึ่งไม่มีใครที่แย่งอาหารได้เก่งเท่ามัน ดังนั้นเมื่อเอามาใช้ประดับหม้อปรุงยาแล้วก็เพื่อเป็การขอพรให้เพิ่มระดับอัตราความสำเร็จในการทำยาแต่ละครั้งนั่นเอง
ตัวหม้อนั้นดูเล็กกว่าที่เห็นในรูปภาพเล็กน้อย และนอกจากตัวหม้อแล้วก็ยังมีกระดาษเอสี่ที่พิมพ์วิธีใช้เอาไว้ส่งมาพร้อมกันอีกด้วยหลินลั่วหรานกวาดตามอง ก่อนที่จะบันทึกมันลงในหัวแล้วจัดการเผาให้กระดาษใบนั้นกลายเป็ผุยผงไป
เธอร่ายเวทออกมา ก่อนที่จะลองส่งพลังใส่เข้าไปในตัวหม้อ ฝาหม้อส่งเสียง “ปึงๆ” ออกมาจนสุดท้ายมันก็ถูกหลินลั่วหรานเปิดออก ซูอี้เหรินแอบขยับตัวห่างออกมาเล็กน้อยในขณะที่หลีซีเอ๋อร์เกือบจะเอาหน้าจุ่มลงไปในตัวหม้อ ด้านในของมันไม่ได้เป็เหมือนกับหม้อธรรมดาๆทั่วไป แต่กลับแบ่งเป็ช่องเล็กๆ ที่ติดอยู่กับด้านข้างของตัวหม้อและมีหลุมเรียงอยู่กับแท่นกลมตรงกลาง
อีกทั้งยังมีโครงสร้างที่ซับซ้อนจนไม่อาจจะเห็นได้ชัดในการกวาดตาเพียงครั้งเดียวแต่หลินลั่วหรานก็พอจะมองออกว่า พวกช่องเล็กๆ เ่าั้เอาไว้ใส่พวกสมุนไพรหลุมตรงนั้นก็ต้องเอาไว้ใส่น้ำสมุนไพร เพื่อให้ไหลไปยังถาดกลมตรงกลางในตอนที่กำลังอัดแน่นให้กลายเป็เม็ดยา ด้านในนั้นยังมีขั้นตอนอีกมากมายแม้ว่าหม้อปรุงยานี้จะดีมาก แต่ก็เห็นได้ชัดว่า้าคนปรุงยาที่มีความมั่นใจในแต่ละขั้นตอนมากทีเดียว
หลินลั่วหรานได้แต่คิดถึงเื่ราวในนิยาย พร้อมทั้งประสบการณ์ในการทำ “ยาผิวหยก” ด้วยวิธีการของคนธรรมดาไปในครั้งที่แล้วบางทีทั้งสองอาจจะต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยก็ได้ แต่ว่ายิ่งมีระดับลึกลงไปเท่าไรความรู้สึกยากจะเข้าใจของเม็ดยา ก็น่าจะไม่ต่างกันมากนัก
เธอเก็บหม้อปรุงยาไปก่อนที่จะนึกถึงเื่ที่ไปสมัครเข้าเรียนแทนลั่วตงขึ้นมาได้แน่นอนว่าพ่อกับแม่ไม่ได้แย้งอะไร ในสายตาของคนแก่นั้นการได้รับการศึกษาคือการปรากฏตัวเข้าสู่สังคมที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นในตอนแรกพวกเขาคงจะไม่พยายามส่งในหลินลั่วหรานเรียนปริญญาทั้งๆที่ที่บ้านไม่ได้มีความพร้อมอะไร
เมื่อคิดไปถึงเื่การเข้าเรียนของลั่วตงหลินลั่วหรานก็นึกไปถึงความทะเยอทะยานที่เกิดขึ้นตอนอยู่ที่ราชวังใต้ดินขึ้นมาแม้ว่าเื่นี้จะไม่ได้ใหญ่โตมากมายอะไรขนาดนั้นแต่ว่าการตั้งใจศึกษาตัวอักษรโบราณ ก็เป็สิ่งที่ควรจะทำ
การเรียนรู้นั้นไร้ขีดจำกัด ถ้าไม่มีการเก็บกักตุนความรู้ใดๆ เอาไว้แล้วจะสามารถเดินเข้าไปสู่เส้นทางที่ดีกว่าในการฝึกศาสตร์ได้อย่างไร? หลินลั่วหรานถอนหายใจออกมา จะเข้าไปยืมหนังสือในตัวเมืองมาศึกษาหรือว่าจะไปหาอาจารย์สักคน มาช่วยสอนทางนี้โดยตรงเลยดี?
ระดับของหม้อปรุงยาและอาวุธเวทนั้น เรียงระดับสลับกันโดยสิ้นเชิงมันจะเริ่มั้แ่ระดับหนึ่งไปถึงระดับเก้า ยิ่งระดับสูงเท่าไรคุณภาพก็จะดีขึ้นมากเท่านั้นดังนั้นหม้อปรุงยาระดับเก้า ก็คือระดับที่ดีที่สุดซึ่งมันสามารถใช้ทำยาที่ลูกศิษย์สำนักศาสตร์ยาต่างก็เฝ้าฝันหาอย่าง “ยานวทอง” ที่เป็ยาที่สามารถทำให้กลายเป็เทพได้ในเม็ดเดียวตามตำนาน
ความจริงแล้วศาสตร์ยานั้นได้หายสาบสูญไปนานแล้วเครื่องมือที่ใช้ทำยาก็กระจายไปทั่วทุกที่การที่หลินลั่วหรานสามารถได้รับหม้อปรุงยาระดับสองมานั้น ก็ถือว่าโชคดีมากแล้วแต่ว่าเธอนั้นเลยเก็บดาบระดับห้ามาได้ในตอนแรก อย่าง “เจาเสวี่ย” ระดับสายตาของเธอถูกเลี้ยงดูมาให้มองของระดับสูงๆจึงทำให้เกิดความไม่ค่อยพอใจขึ้นมา
หลินลั่วหรานจัดการสูตรยาทั้งหลายในหัวให้เรียบร้อยยาที่เหมาะแก่การใช้ในทุกๆ วัน สำหรับนักฝึกศาสตร์ระดับฝึกลมปราณนั้นมีอยู่สองชนิด คือ “ยาบำรุงพลัง” และ “ยารวบรวมพลัง” อันแรกนั้นเป็ยาระดับหนึ่งขั้นต่ำส่วนอันที่สองนั้นเป็ระดับหนึ่งขั้นสูงมันคือของที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในโลกแห่งการฝึกศาสตร์ในสมัยก่อนและยาในระดับหนึ่งขั้นกลาง ก็มีอยู่อีกอย่างคือ “ยาไกลเขา” แต่ในสายตาของคนที่มีผักวิเศษอยู่ในมือแบบหลินลั่วหรานมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการกินอาหารธรรมดาที่จะมีตะกอนสิ่งแปลกปลอมตกค้างในร่างกายเลยใช้สมุนไพรวิเศษเพื่อการทำยามาแทนการกินข้าวแบบนั้น มันน่าจะได้ไม่คุ้มเสียเท่าไรดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจมันั้แ่แรก
ส่วนเื่ของยาระดับพื้นฐานนั้น จากระดับของมันแล้วความจริงก็ถือว่าเป็ยาระดับสี่ หลินลั่วหรานจึงไม่กล้าที่จะทำมันั้แ่เริ่ม
เพราะว่าจากอัตราการเป็ยาของหม้อปรุงแล้วถ้าหากใช้หม้อระดับสองในการทำยาระดับหนึ่ง สมมุติว่าในยามปกติแล้วนักปรุงยาจะทำยาออกมาได้มีอัตราสามในสิบ การใช้หม้อระดับสองทำยาระดับหนึ่งก็จะสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จขึ้นมาได้กว่ายี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ดังนั้นหากว่าหลินลั่วหรานใช้หม้อปรุงยาระดับสอง ทำยาระดับสองอัตราการสำเร็จอยู่ที่ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ถ้าเธอใช้ทำยาระดับหนึ่งอัตราความสำเร็จก็จะขึ้นมาอยู่ที่ราวๆ สามสิบสองเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม หากว่าจะทำยาที่ระดับสูงกว่าขึ้นไปอัตราความสำเร็จก็จะต่ำลงยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์เช่นกันถ้าเธอจะลองใช้หม้อปรุงระดับสองในการทำยาระดับสี่ อัตราความสำเร็จก็แทบจะไม่ถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือ เพียงแค่มือสั่นเล็กน้อยก็อาจจะทำให้ยาทั้งหม้อเสียเปล่าไปเลยก็ได้ อัตราความสำเร็จเพียงสิบห้าเปอร์เซ็นต์นั้นจะต้องเสียสมุนไพรไปมากเท่าไร ถึงจะได้ยาระดับพื้นฐานมาสักเม็ดหนึ่ง?
หลินลั่วหรานใช้ความสามารถในการเป็เด็กสายศิลป์คำนวณคิดคำนวณออกมารอบหนึ่ง ก่อนจะได้ข้อสรุปว่า การที่เธอจะใช้หม้อระดับสองในการทำยาโดยไม่ให้เสียสมุนไพรโดยสิ้นเปลืองนั้น สิ่งที่น่าจะทำได้ดีที่สุดก็คือการทำยาระดับหนึ่งขั้นต่ำอย่าง “ยาบำรุงพลัง” ...และนี่ก็ทำให้หลินลั่วหรานต้องถอนหายใจออกมา ยาบำรุงพลังนี่สำหรับคนที่ฝึกมาในระดับนี้อย่างเธอแล้ว ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการกินเม็ดถั่วไม่ได้จำเป็ต้องใช้เลยสักนิด!
ในขณะที่หลินลั่วหรานกำลังคิดอยู่ว่าจะเริ่มลงมือทำ “ยาบำรุงพลัง” ตอนไหนดีอยู่นั้นใครคนหนึ่งก็กำลังลงมาจากรถแท็กซี่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นพร้อมทั้งบอกกับคนเฝ้าประตูว่าเป็แขกของคฤหาสน์หมายเลข 7
ในวัดเขาชิงเฉิงที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ นักปราชญ์ชราฮุยจู๋กำลังสั่งสอนเ้าสำนักเสี่ยวอันอยู่ก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ใบหน้าผอมแห้งของเขา จึงปรากฏความหนักแน่นขึ้น
ในบ้านตระกูลหลินนั้น ยังคงเต็มไปด้วยความคึกคัก โดยไม่ได้รู้เลยว่า “ปรมาจารย์” ที่แสนจะอันตรายคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ