ในโลกก่อน ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานแบ่งออกเป็สองประเภทได้แก่ แบบน้ำตาลทรายแดงและแบบน้ำตาลเกล็ด ทว่าตอนนี้มีเพียงน้ำตาลทรายแดง แต่คุณภาพของน้ำตาลก็ไม่ดีนัก
อย่างไรก็ตาม ในโลกก่อน มีอาหารเลิศรสมากมายนับไม่ถ้วน ผู้คนกินจนชินปากแล้ว จึงมีความคาดหวังด้านรสชาติสูง
แคว้นต้าโจวมีอาหารเลิศรสไม่เท่ากับในโลกก่อน ตอนนี้กระทั่งแป้งหมักก็ยังไม่มีเลย แป้งที่แต่ละครอบครัวใช้นึ่งหมั่นโถวจะมีรสออกเปรี้ยว อาหารประเภทแป้งแบบดั้งเดิม เช่น ซาลาเปา ต่อให้เป็อาหารจากภัตตาคารในเมืองเยี่ยนก็ใช้แป้งธรรมดาไม่ใช่แป้งหมัก
เมื่อเป็เช่นนี้หากน้ำตาลที่จะนำไปผสมทำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานไม่บริสุทธิ์ก็ไม่เป็ไร
ส่วนประกอบของขนมไหว้พระจันทร์รสหวานนั้นนอกจากน้ำตาลแล้วก็ประกอบไปด้วย น้ำมันงา แป้ง และงา
น้ำมันงาที่หลี่หรูอี้เลือกใช้ราคาไม่สูงนัก นางผสมน้ำมันพืชลงไปในน้ำมันงาเล็กน้อย ซึ่งนางได้สัดส่วนที่พอเหมาะนี้มาจากการทดลองหลายร้อยครั้งจากชีวิตในโลกก่อน
เริ่มด้วยนำน้ำมันงาและน้ำมันพืชใส่ลงไปในหม้อ กวนจนมีไอร้อนออกมา จากนั้นจึงใส่ส่วนผสมแต่ละอย่างลงไป
นำน้ำตาลทรายแดงและน้ำเทลงไปในหม้อแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน โดยสัดส่วนของน้ำตาลทรายแดงและน้ำจะต้องเท่ากัน หากใส่น้ำตาลทรายแดงมากไปจะหวานจนเลี่ยน หากใส่น้อยไปก็จะไม่หวานพอ
นำแป้งขาวใส่ลงไปในกะละมังไม้แล้วใส่น้ำมันงาและน้ำมันพืชที่ทิ้งไว้จนเย็นแล้วตามลงไป คลุกเคล้าเล็กน้อย ใส่น้ำตาลทรายแดงผสมน้ำตามลงไป ผสมให้เข้ากันจนกลายเป็ก้อนแป้งกลมกล่อม จากนั้นจึงแบ่งแป้งออกเป็ก้อนเล็กหลายๆ ก้อน พักไว้สิบห้านาที โดยแป้งแต่ละก้อนจะมีลักษณะกลมแบน จากนั้นโรยงาลงไปที่แป้งด้านหนึ่ง
ครั้งแรกหลี่หรูอี้ทำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานออกมาทั้งหมดสามสิบแปดชิ้น ทุกชิ้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางสามชุ่น หนาครึ่งเิเ
ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานที่แท้จริงของโลกก่อนจะมีขนาดใหญ่ แต่ละชิ้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสี่ถึงห้าชุ่น หนาประมาณหนึ่งเิเ แต่ตอนนี้หลี่หรูอี้ทำให้เล็กลงเพื่อควบคุมราคาขนมไหว้พระจันทร์รสหวานไม่ให้แพงเกินไป
หลี่หรูอี้ยิ้มให้ทุกคน “ง่ายเพียงนี้เอง ต่อไปก็ใช้เตาที่พวกเราเพิ่งซื้อมาใหม่ย่างแป้ง”
เด็กชายทั้งสี่มองหน้ากัน คิดในใจว่าไม่ง่ายเลยสักนิด
จ้าวซื่อไร้พร์ในด้านการทำครัว เมื่อครู่ดูวิธีทำไปรอบหนึ่งก็ลืมไปหมดแล้ว ได้แต่เดินหน้าแดงท้องโย้ตามบุตรีสุดที่รักไปที่ลานด้านหลัง
หากอยากทำงานก็ต้องเตรียมเครื่องมือให้พร้อมเสียก่อน ต้องมีเตาเท่านั้นจึงจะทำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานให้อร่อยเพียงพอที่จะขายทำเงินได้
ก่อนหน้านี้จ้าวซื่อรู้สึกว่าเตาราคาแพงเกินไป ตอนนี้เห็นบุตรีวางขนมไหว้พระจันทร์รสหวานแต่ละชิ้นลงบนตะแกรงเหนือเตาเพื่อย่าง จึงค่อยรู้สึกว่าคุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไป
เตาหนึ่งเตาย่างได้ครั้งละสิบห้าชิ้น ใช้เตาสี่เตาพร้อมกัน หนึ่งครั้งก็ย่างได้ถึงหกสิบชิ้น
เมื่อเป็เช่นนี้จึงเบาแรงคนมากกว่าการทำแป้งย่างใส่ไข่และแป้งย่างต้นหอมเสียอีก
วันนี้ทำเป็ครั้งแรก หลี่หรูอี้ใช้เตาสามเตาเพื่อทดลองกำลังไฟ นางนำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานทั้งหมดสามสิบแปดชิ้นวางลงไปบนถาดย่างทั้งหมด จากนั้นจึงให้พวกพี่ชายไปนำฟืนจากห้องครัวมาจุดไฟในเตา
พี่ชายทั้งสี่วิ่งวุ่นไปมา วิ่งไปครั้งหนึ่งก็แบกฟืนมาหอบใหญ่ ไม่นานไฟในเตาทั้งสามก็ถูกจุดเรียบร้อย
หลี่หรูอี้กล่าวขึ้นว่า “ต้องให้ความสำคัญกับไฟและเวลา หากใช้ไฟแรงหรือย่างนานเกินไปจะทำให้ขนมไหว้พระจันทร์แห้งกรอบ”
ไม่นานก็มีกลิ่นหอมของน้ำมัน งา และน้ำตาล โชยออกมาจากเตา กลิ่นหอมเข้มข้นช่างยั่วน้ำลายผู้คนยิ่งนัก
จ้าวซื่อกำลังตั้งครรภ์จึงมีความอยากอาหารมากกว่าคนทั่วไป เมื่อได้กลิ่นหอมก็คล้ายกับมีเสียงเร่งเร้าดังออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจว่า ให้นางหยิบขนมไหว้พระจันทร์รสหวานในเตาออกมากินให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย
“หอมจริงๆ!”
“กลิ่นน้ำมันงาหอมกว่าเมื่อครู่นี้อีก”
“ขนมไหว้พระจันทร์หอมขนาดนี้จะต้องอร่อยมากแน่”
หลี่ฝูคังมองไปยังขนมไหว้พระจันทร์รสหวานบนถาดย่างในเตาที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกมา เขารีบกลืนน้ำลายในปากอึกใหญ่ก่อนจะถามขึ้นว่า “น้องห้า ต้องย่างอีกนานแค่ไหนจึงจะกินได้หรือ”
“อีกครู่หนึ่งเ้าค่ะ อาหารอร่อยๆ ต้องรอเสียหน่อย อย่าได้รีบร้อน” หลี่หรูอี้ก็ถูกกลิ่นหอมจากแป้งยั่วน้ำลายเช่นเดียวกับทุกคน
ไม่มีใครต่อต้านความน่ากินของขนมไหว้พระจันทร์รสหวานได้ ต่อให้เป็คนที่จู้จี้จุกจิกที่สุดก็ยังต้องซื้อขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่เป็จำนวนมากแน่
หลี่เจี้ยนอันที่เงียบมาตลอดอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “น้องห้า ยังไม่เสร็จอีกหรือ”
“ใกล้เสร็จแล้วเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้มีประสบการณ์มาก เพียงได้กลิ่นก็รู้ทันทีว่าขนมไหว้พระจันทร์รสหวานสุกแล้วหรือไม่ ไม่นานนักนางก็พูดขึ้นว่า “รีบไปหาผ้าสะอาดสักหลายผืนมาไว้ใช้จับแป้งเร็วเข้า”
เด็กชายทั้งสี่วิ่งวุ่นไปหาผ้าอย่างรีบร้อน จากนั้นจึงนำมาห่อมือไว้ให้ดี
หลี่หรูอี้สั่งการออกไป เด็กชายทั้งสี่จึงใช้ที่คีบคีบเอาถ่านออกมาจากก้นเตา จากนั้นจึงนำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานบนถาดย่างหน้าเตาออกมาแล้ววางลงในกะละมังไม้
จ้าวซื่อทนไม่ไหวเพราะรออยู่นานแล้ว นางรีบเดินเข้าไปหยิบขนมออกมาจากกะละมังหนึ่งชิ้น โอ้ย! นางร้องออกมาดังลั่น มือถูกลวกเสียแล้ว
หลี่หรูอี้รีบเดินเข้ามาจับมือของจ้าวซื่อ ตรวจดูอย่างละเอียดก่อนยกขึ้นมาเป่าเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ยังดีที่ไม่โดนลวกจนพอง”
จ้าวซื่อกล่าวอย่างเขินอาย “เ้าเด็กสองคนในครรภ์นี่จะต้องเป็เด็กตะกละแน่ๆ”
หลี่เจี้ยนอันพูดยิ้มๆ “ท่านแม่ ตอนนี้ท่านคนเดียวเหมือนสามคน ต้องกินขนมไหว้พระจันทร์รสหวานให้มากหน่อยนะขอรับ”
“อร่อยจนแทบจะกลืนลิ้นเลย!”
“อร่อยกว่าขนมไหว้พระจันทร์ที่ขายตามแผงลอยในตำบลเป็สิบเท่าเชียว”
“น้องห้าเก่งจริงๆ ที่ทำขนมไหว้พระจันทร์อร่อยๆ แบบนี้ออกมาได้”
“น้องห้า เ้าก็กินให้มากหน่อยเถิด”
หลี่หรูอี้เห็นแต่ละคนกินขนมกันอย่างเอร็ดอร่อยจนลืมอิ่ม ก็เกรงว่าพวกเขาจะจุก จึงกล่าวเตือนด้วยรอยยิ้ม “ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานมีน้ำมันมาก ต้องจำกัดปริมาณการกินนะเ้าคะ”
ไม่ทันไรขนมไหว้พระจันทร์สามสิบแปดชิ้นก็หมดอย่างรวดเร็ว หลี่หรูอี้กินไปเพียงสามชิ้น คนอื่นในครอบครัวกินกันไปรวมสามสิบห้าชิ้น
บนใบหน้าของทุกคนประดับไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ อิ่มจนไม่ต้องกินอาหารเย็นแล้ว
เมื่อครู่หลี่ฝูคังคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ตอนนี้จึงถือโอกาสพูดขึ้นว่า “น้องห้า ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ของพวกเราอร่อยมาก ข้าคิดว่าขายชิ้นละสี่ทองแดงก็ได้”
หลี่ิ่หานส่ายหัวก่อนกล่าวว่า “สี่ทองแดงน้อยเกินไป ข้าว่าขายชิ้นละห้าทองแดงก็ได้”
หลี่อิงฮว๋าพูดเสียงดัง “พี่รอง น้องสี่ น้ำมันงาราคาแพง แล้วยังต้องใช้น้ำตาลที่ราคาแพงเหมือนกันอีก อย่างน้อยก็ต้องหกทองแดง”
หลี่เจี้ยนอันที่สงบปากสงบคำมาโดยตลอดพูดขึ้นบ้าง “ชิ้นละหกทองแดงแพงเกินไป คงไม่มีคนซื้อหรอกกระมัง”
หลี่หรูอี้ถามขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านจำได้หรือไม่ว่าปีที่แล้วขนมไหว้พระจันทร์ที่ร้านขนมในตำบลจินจีและอำเภอฉางผิงขายกันชิ้นละเท่าไร”
จ้าวซื่อกินจนอิ่มแล้ว ตอนนี้กำลังเดินเล่นอยู่ที่ลานด้านหลังบ้าน นางยิ้มและตอบว่า “ในตำบลขายชิ้นละสามทองแดง ขนาดใหญ่เท่าครึ่งฝ่ามือ ในอำเภอใหญ่กว่าเล็กน้อย ขายชิ้นละห้าทองแดง ปีที่แล้วบ้านเราซื้อขนมไหว้พระจันทร์จากตำบลมากินที่บ้านสามชิ้น”
“ข้าตัดสินใจแล้วว่า ขนมไหว้พระจันทร์ตระกูลหลี่จะขายชิ้นละสิบทองแดง” หลี่หรูอี้เห็นพี่ชายทั้งสี่มีท่าทีตกตะลึง ก็กล่าวต่อไปว่า “อีกสามวันพวกเราจะลองขายดูก่อน โดยให้จ่ายเงินและจองล่วงหน้า”
หลี่ิ่หานพูดเสียงอ่อย “แพงเกินไปหรือไม่”
หลี่เจี้ยนอันขมวดคิ้วถาม “น้องห้า ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานของพวกเราไม่มีไส้ ขายราคาแพงเพียงนี้จะมีคนซื้อหรือ”
“พวกเราทดลองขายกันก่อนก็ได้ หากไม่มีคนซื้อค่อยลดราคา” ราคาที่หลี่อิงฮว๋าเสนอเมื่อครู่นี้คือ ชิ้นละหกทองแดง ถูกกว่าหลี่หรูอี้สี่ทองแดง อย่าดูถูกเงินเพียงสี่ทองแดงเชียว มันสามารถซื้อแป้งหยาบราคาส่งได้ถึงสองชั่ง และราคาเท่ากับผักสี่ชั่ง
“ข้าเห็นด้วยกับราคาชิ้นละสิบทองแดงที่น้องห้าบอก” ไม่ว่ายามใดหลี่ฝูคังก็มักสนับสนุนหลี่หรูอี้อย่างไม่มีเงื่อนไข
“ผู้อื่นต้องถามแน่นอนว่า เหตุใดราคาจึงแพงเช่นนี้ พวกท่านก็บอกไปเพียงคำเดียวว่า ขนมไหว้พระจันทร์นี้มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน!”
เพียงพริบตาก็ผ่านไปสามวันแล้ว ยามเช้าอากาศสดใส มีควันไฟลอยขึ้นสูง
หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังรีบบรรจุแป้งย่างต้นหอมร้อยชิ้นและขนมไหว้พระจันทร์รสหวานอีกยี่สิบชิ้นขึ้นเกวียน ออกเดินทางจากหมู่บ้านหลี่มุ่งหน้าไปยังตำบลจินจี
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้