“อะไรกัน? เหตุใดพวกเ้าถึงเงียบเช่นนี้เล่า?” ซวนหยวนจวิ้นถามหนิงเซียง
“เ้าไม่ใช่คนแรกที่ออกจากป่าไผ่” หนิงเซียงกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน นางหวังอย่างมากว่าคนแรกที่ออกจากป่าไผ่จะเป็ซวนหยวนจวิ้น แต่กลับไม่เป็เช่นนั้น ซวนหยวนจวิ้นออกมาเป็คนที่สอง ทั้งยังใช้เวลาไปสามวันเต็ม ๆ
“นอกจากข้าแล้วจะมีใครได้อีก?”
ซวนหยวนจวิ้นได้ยินเช่นนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีจนดูไม่ได้ ก่อนเอ่ยถามหนิงเซียงเช่นนั้น
“เป็เขา เขาคือคนแรกที่ออกจากป่าไผ่”
หนิงเซียงชี้นิ้วไปยังเย่เฟิงกับหลันเซียงที่อยู่ไกลออกไปในสถานที่เงียบ ๆ ซวนหยวนจวิ้นหันไปมองตามนิ้วเรียวของหนิงเซียง เมื่อเขาเห็นหน้าเย่เฟิงชัด ๆ ก็เผยสีหน้าสับสนอย่างอธิบายไม่ได้
“ได้ยังไง? จะเป็เขาไปได้ยังไง?” ซวนหยวนจวิ้นกล่าว เขาไม่คาดคิดว่าคนแรกที่ออกจากป่าไผ่จะเป็เย่เฟิง นี่ทำให้เขากัดฟันกรอด พร้อมใบหน้าซีดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวกับหนิงเซียงว่า “เทพธิดาหนิงเซียง เ้าต้องเข้าใจผิดแน่ ๆ เขาก็แค่สวะขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 เขาจะออกจากป่าไผ่เป็คนแรกได้เยี่ยงไร?”
“ข้าจะโกหกเ้าไปไย? คนผู้นี้ออกจากป่าไผ่เป็คนแรกจริง ๆ เ้ายอมรับความจริงเสียเถอะ!”
หนิงเซียงได้ยินคำพูดไร้สาระของซวนหยวนจวิ้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายไม่พอใจ
“บัดซบ!”
ซวนหยวนจวิ้นเผยหน้าเขียวพลางกำหมัดแน่นจนมีเสียงกระดูกดังลั่น เขาคืออัจฉริยะมากฝีมือ แต่จะขายหน้าเพราะสวะขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 คนเดียวได้อย่างไรเล่า
แน่นอนว่าเย่เฟิงรับรู้ได้ถึงสายตาขุ่นเคืองของซวนหยวนจวิ้น แต่เขากลับไม่สนใจอีกฝ่าย
“สวะ ข้าว่าเ้าต้องใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องถึงคว้าที่หนึ่งมาได้ ใช่หรือไม่?” ซวนหยวนจวิ้นกล่าวด้วยความไม่ยอม พร้อมกับเดินไปที่ข้างหน้าเย่เฟิง
“กบในกะลา!” เย่เฟิงกล่าวพลางชำเลืองมองซวนหยวนจวิ้นด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะไม่สนใจอีกฝ่ายอีก
เมื่อซวนหยวนจวิ้นเห็นเย่เฟิงเมินเขาก็เผยสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา ความอัปยศครั้งนี้ราวกับจู่โจมเข้ามาด้วยความเงียบงัน
อีกสองวันต่อมา มีคนออกจากป่าไผ่ ซึ่งทุกคนได้รับาเ็ไม่น้อย ทว่าคนที่ผ่านป่าไผ่นั้นมีน้อยมาก สุดท้ายแล้วคนที่ผ่านด่านแรกมีเพียง 30 คน ส่วนคนที่เหลือก็ตกรอบไป บางคนนั้นไม่ตกตายในป่าไผ่ก็ถอนตัวออกจากป่าไผ่ั้แ่แรก เย่เฟิงจึงกลายเป็ที่หนึ่ง และทิ้งอัจฉริยะทุกคนรวมถึงซวนหยวนจวิ้นไว้ข้างหลัง
เมื่อด่านแรกสิ้นสุดลง ไม่นานหนิงเซียง และเทพธิดาเทียนเซียงหลินคนอื่น ๆ ก็พาทุกคนไปยังยอดเขาแห่งหนึ่ง
ยอดเขาแห่งนี้โผล่ออกมาจากพื้นดิน มีความสูงชันผิดปกติซึ่งสูงกว่าหมื่นจั้ง ตัวูเายังถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ดูแล้วช่างน่าลึกลับเป็อย่างมาก ที่นี่ห้อมล้อมไปด้วยป่าไผ่ที่กว้างใหญ่ถึงหมื่นลี้ โดยมียอดเขาแห่งนี้เป็ศูนย์กลางของป่าไผ่ เป็จุดที่สูงที่สุด หากยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาก็จะมองเห็นความกว้างใหญ่ไพศาลของป่าไผ่
นอกจากนี้ยังมีน้ำตกไหลลงมาระหว่างเขา ประหนึ่งทางช้างเผือกจากเก้าชั้นฟ้าที่พลุ่งพล่านไม่หยุดหย่อน แม้อยู่ห่างจากยอดเขาระยะหนึ่ง แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงความเกรงขามและความสวยงดงามจากยอดเขาได้
“ที่นี่ก็คือยอดเขาเทียนเซียงที่อยู่ในเทียนเซียงหลิน บันไดบนยอดเขาเทียนเซียงมีทั้งหมด 99,999 ขั้น มีชื่อว่าบันไดเทียนเซียง การทดสอบของด่านที่สองคือการขึ้นบันไดเทียนเซียงแห่งนี้ หากผู้ใดขึ้นบันไดทั้ง 99,999 ขั้นได้ภายในสามวันก็จะถือว่าผ่านด่าน” หนิงเซียงกล่าวพร้อมชี้ไปยังยอดเขาเทียนเซียงที่อยู่ข้างหน้า
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตาเป็ประกาย จากนั้นคนผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “ขึ้นบันได 99,999 ขั้น ไยต้องใช้เวลาสามวันเล่า? แค่หนึ่งวันก็พอแล้ว!”
ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น คนนั้นก็มุ่งหน้าไปยังยอดเขาเทียนเซียงเป็คนแรก ในความคิดของเขา การขึ้นบันไดยอดเขาไม่ใช่เื่ยาก เวลาสามวันอย่าว่าแต่บันได 99,999 ขั้น ต่อให้มีเก้าแสนขั้น มันก็ไม่ใช่เื่ยากสำหรับเขา ซึ่งไม่ได้มีแค่เขาที่คิดเช่นนี้ แต่หลาย ๆ คนต่างก็คิดเช่นเดียวกัน ราวกับไม่เห็นบันไดนี้อยู่ในสายตา
“แม้บันได 99,999 ขั้นดูไม่เยอะ แต่บันไดนี้กลับสร้างขึ้นจากค่ายกล และหลอมรวมไปด้วยพลังฟ้าดินที่ทรงพลานุภาพ หากผู้ใดไม่เข้าใจในพลังฟ้าดิน เช่นนั้นก็ยากที่จะขึ้นบันไดนี้ได้” เย่เฟิงคิดในใจขณะมองบันไดที่ปรากฏปรากฏขึ้นเลือนราง
“อ้าก!”
ตอนนั้นเองมีเสียงกรีดร้องดังมาจากบันไดเทียนเซียง ทำให้ผู้คนหันไปมอง ก่อนจะเห็นชายคนก่อนหน้านี้ที่อ้างว่าตนสามารถขึ้นบันได 99,999 ขั้นได้ง่ายดายภายในหนึ่งวันกำลังหมอบคลานอยู่บนบันไดด้วยใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ และอาเจียนเป็เืออกมาไม่หยุด
คนนั้นกำลังแบกรับพลังฟ้าดินอันมหาศาลราวกับหินก้อนมหึมาก็ไม่ปาน ทำให้ร่างคนนั้นแนบชิดกับบันไดจนมิอาจขยับตัว
“นี่...”
ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็รูม่านตาหดแคบลง และอดใจเต้นระรัวไม่ได้ ทั้งยังทำให้คนเ่าั้ที่เกือบจะถึงบันไดต่างต้องหยุดชะงักฝีเท้าทันควัน
“สวะ ด้วยตบะของเ้า ข้าก็อยากดูว่าเ้าจะขึ้นบันไดนี้ได้ยังไง?”
ซวนหยวนจวิ้นเดินมาข้างหน้า ก่อนกล่าวเช่นนั้นกับเย่เฟิงด้วยท่าทีได้ใจ จากนั้นเขาเดินไปยังบันไดเทียนเซียง
“ซวนหยวนจวิ้นเก่งกาจตามคาด แม้บันไดนี้จะแปลกพิลึก แต่เขาคงขึ้นบันไดได้ง่าย ๆ” คนผู้หนึ่งกล่าวขณะมองซวนหยวนจวิ้นด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา ในความคิดของพวกเขา ซวนหยวนจวิ้นคืออัจฉริยะอันดับที่หนึ่งซึ่งไม่มีผู้ใดทัดเทียม
“ศิษย์พี่ คุณชายซวนหยวนต้องผ่านด่านนี้เป็แน่ ส่วนคนนั้นที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ก็อาจทนได้ไม่นาน” หญิงสาวเทียนเซียงหลินผู้หนึ่งกล่าวกับหนิงเซียง พร้อมดวงตาฉายแววริษยา ซึ่งการที่หนิงเซียงได้รับความสำคัญจากอัจฉริยะอย่างซวนหยวนจวิ้นทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉาจริง ๆ
หนิงเซียงกะพริบตาปริบ ๆ พร้อมเผยสีหน้าได้ใจ ราวกับชื่นชอบความรู้สึกของการถูกผู้คนเลื่อมใสศรัทธา
“ในป่าไผ่ ไม่รู้ว่าเ้าร่ายคาถาอะไรใส่พวกข้า แต่อีกเดี๋ยวข้าต้องเอาคืนเ้าให้สาสม!”
หลิวหยางนั้นผ่านด่านแรกมาได้อย่างหวุดหวิด แต่เขากลับไม่รู้ว่าที่หนึ่งของด่านแรกก็คือเย่เฟิง
เมื่อหลิวหยางฉุกคิดถึงความอัปยศที่ได้รับในด่านแรกก็โมโหขึ้นมา เขาต้องทำให้เย่เฟิงชดใช้ด้วยราคาแสนเ็ป
“ดูท่าในด่านแรกข้าจะยังสอนบทเรียนไม่มากพอ ถึงกล้าทำตัวอวดดีเช่นนี้ต่อหน้าข้า ข้าล่ะนับถือในความกล้าหาญของเ้าเสียจริง!”
เย่เฟิงกล่าวขณะมองร่างกายส่วนล่างของหลิวหยาง ทำให้หลิวหยางรีบเอามือข้างหนึ่งไปปิดส่วนบั้นท้ายของตนเองอย่างอดไม่ได้ จากนั้นเห็นหลิวหยางเผยสีหน้าเจ็บใจ ก่อนหน้านี้ในค่ายกลปริศนาป่าไผ่ เขาถูกพี่น้องในสำนักตนทำมิดีมิร้ายที่ทวารหนักของตน เขารู้สึกเ็ปใจเป็อย่างมาก
“ฮ่า ๆ ๆ!”
เย่เฟิงเห็นท่าทีของหลิวหยางก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่จากนั้นเขาเดินไปยังบันไดเทียนเซียง ฉากนี้ทำให้หลิวหยางกัดฟันกรอด เขาอยากะโเพื่อกล่าวอะไรบางอย่าง แต่เขายังรู้สึกเจ็บที่ทวารหนัก จึงทำได้เพียงยืนโมโหอยู่เช่นนั้น
“สวบ!”
ตอนที่เย่เฟิงไปถึงบันไดเทียนเซียง ผู้ขึ้นบันไดทั้ง 30 คนก็มาถึงบันไดเทียนเซียงกันหมดแล้ว จากนั้นเห็นซวนหยวนจวิ้นก้าวเท้าก่อนจะไปเยือนยังบันไดขั้นที่หนึ่ง
“วูบ!”
ซวนหยวนจวิ้นนั้นยังไม่ทันยืนได้อย่างมั่นคง ผู้คนก็เห็นแรงกดดันจากฟากฟ้าที่กลายเป็หินก้อนมหึมาเข้ากดทับซวนหยวนจวิ้นในพริบตา
นี่ทำให้ซวนหยวนจวิ้นยืนตัวตรงไม่ได้ กระทั่งมีเสียงกระดูกดังลั่น แต่เขากัดฟันอดทน แล้วปลดปล่อยพลังปราณพร้อมแผดเสียงะโ ก่อนเขาจะยืนตัวตรง
“แกร่งมาก!”
ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ตะลึงงัน ซวนหยวนจวิ้นสมกับเป็อัจฉริยะสายตรงแห่งสำนักซวนหยวน ครั้งแรกที่เหยียบบันไดก็ยืนตัวตรงได้สบาย ๆ โดยไม่ถูกแรงกดดันจากพลังฟ้าดินพันธนาการ
“สวบ ๆ ๆ!”
ผู้คนยังไม่ทันหายใก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็ซวนหยวนจวิ้น ครั้งนี้เขาก้าวเท้าสามครั้งติด ทุกย่างก้าวล้วนมั่นคง
นอกจากนี้รอบตัวซวนหยวนจวิ้นยังรายล้อมไปด้วยพลังอันแกร่งกล้า พร้อมส่องแสงระยิบระยับประหนึ่งแสงเซียนคุ้มกายก็ไม่ปาน เมื่อแรงกดดันมาเยือนก็ถูกแสงนั้นสกัดกั้น จึงไม่ส่งผลกระทบต่อซวนหยวนจวิ้น
“ร้ายกาจมาก นี่สิอัจฉริยะที่แท้จริง ซวนหยวนจวิ้นเก่งกาจมาก แม้เผชิญหน้ากับแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ เขาก็ไม่เป็ไร ดูท่าที่หนึ่งของด่านนี้คงตกเป็ของเขาเสียแล้ว!”
ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ใจนหัวใจเต้นแรงอีกครั้ง พวกเขาไม่เคยพบเจออัจฉริยะที่ร้ายกาจเพียงนี้มาก่อน เทียบกับซวนหยวนจวิ้น อัจฉริยะอย่างพวกเขาก็เทียบไม่ติดแม้แต่นิดเดียว
ดวงตาของหนิงเซียงเป็ประกายขณะมองซวนหยวนจวิ้น พร้อมในใจเกิดความผันผวนเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ คุณชายซวนหยวนเก่งกาจมากจริง ๆ ด้วยความเร็วของเขาในตอนนี้ เขาอาจทำลายสถิติผู้ขึ้นบันไดเร็วที่สุดในรอบ 500 ปีของเทียนเซียงหลินก็เป็ได้” หญิงสาวเทียนเซียงหลินผู้หนึ่งกล่าวเช่นนั้นกับหนิงเซียง
