จะยอมแพ้ไม่ได้!
หลินลั่วตงขบฟันแน่นกระเป๋าที่แบกอยู่บนหลังหนักเสียจนเขาเกือบจะหายใจต่อไปไม่ไหว
ก่อนหน้านี้ไม่นานฝนก็ตกลงมาจนทำให้สายโซ่ของเขาฮั่วชานนั้นยิ่งลื่นจนจับได้ไม่ถนัดมือแม้ว่าลั่วตงจะมีถุงมือเฉพาะด้านแต่เขาก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถจับโซ่เหล็กพวกนี้ได้อย่างมั่นคงอยู่ดี
เขาเหนื่อยมาก ทุกๆ ย่างก้าวเต็มไปด้วยความหนักอึ้งมือทั้งสองที่อยู่ภายใต้ถุงมือต่างก็บวมขึ้นมา ทุกๆก้าวเดินเต็มไปด้วยความยากลำบาก จนดูราวกับว่าเส้นทางสู่ยอดเขาเส้นนี้จะไม่มีวันจบสิ้นลง
แต่ว่าหลินลั่วหรานนั้น เดินนำอยู่ด้านหน้าโดยไม่ได้รีบร้อนอะไรเธอก้าวเดินด้วยความเบาสบายราวกับก้อนเมฆเบาบาง ระยะห่างประมาณสามก้าวนั้น ทำให้ลั่วตงราวกับกำลังถูกสายเชือกเส้นหนึ่งที่มองไม่เห็นดึงให้ตามไปและไม่พูดว่ายอมแพ้ออกมา
“เด็กน้อย หนักหรือเปล่าที่แบกอยู่น่ะ ให้ป้าช่วยไหม?”
สายฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมา ทำให้นักเดินทางส่วนมากหยุดฝีเท้าของพวกเขาลงและด้วยที่ตอนนี้ใกล้จะถึงยอดเขาแล้วทำให้นักท่องเที่ยวที่อยู่รอบตัวของพวกเขาทั้งสองคนน้อยลงไปเรื่อยๆ เมื่อคิดดูแล้วสองพี่น้องนั้นเดินทางได้ไวมาก แต่ว่ามีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย ภายใต้ความเร็วนี้ทำให้ลั่วตงเริ่มที่จะแสดงอาการไร้กำลังออกมา ใบหน้าเล็กๆ ของเขาซีดเซียวลงจนทำให้เหล่าคุณป้ามากมายต่างก็เป็ห่วงขึ้นมา ตลอดทางที่ผ่านมานี้มี “พี่สาว” ห้าคนและ “คุณป้า” สามคนแล้ว ที่เข้ามาเสนอช่วยลั่วตงแบกกระเป๋า
และแน่นอนว่าในระหว่างที่มีคนอยากจะเข้ามาช่วยลั่วตงคนที่เป็พี่สาวอย่างหลินลั่วหรานก็ถูกเหยียดหยามไปไม่รู้กี่ครั้ง
เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานหันหน้ากลับมามองเพื่อที่จะดูว่าเขาสามารถที่จะเดินต่อไปได้ไหมลั่วตงก็รู้สึกว่าความทะเยอทะยานของเด็กชายเืร้อนพุ่งขึ้นมาจากปลายเท้าฝีเท้าที่หนักอึ้งก็ได้รับพลังเพิ่มขึ้นมา ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นกว่าก่อนหน้าเขาทนมาได้นานขนาดนี้แล้ว ตอนนี้ยอดเขาก็อยู่อีกไม่ไกลแล้วจะมายอมแพ้ตอนนี้ได้อย่างไร?
“ขอบคุณคุณป้ามากครับ...แต่ผมแบกได้ครับ!”
หลินลั่วตงสะบัดหยาดเหงื่อบนเรือนผมของเขาไปมาโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าใบหน้าดื้อรั้นนั้น ทำให้เหล่าคุณป้าที่เต็มไปด้วยความรักของคนเป็แม่ต่างก็ไม่อาจจะต่อต้านได้
หลินลั่วหรานที่เดินนำอยู่ที่ด้านหน้า แอบเผยรอยยิ้มขึ้นมา
พูดคุยกับคนบนรถไฟ ไปซื้อข้าวด้วยตัวเองแบ่งปันองุ่นให้กับนักท่องเที่ยว พูดคำว่าขอบคุณออกมาด้วยความสุภาพ... หลินลั่วตงที่เธอพบในตอนแรก แม้แต่พูดสักคำเขาก็ยังไม่พูดในตอนที่เพิ่งออกเดินทางมากับเธอ เขาก็ยังเป็เพียงเด็กที่ขี้อายคนหนึ่งที่แท้ก็มีเพียงสถานการณ์ที่สวยงามเท่านั้นที่จะเป็ยารักษาและช่วยในการเปิดใจของคนได้ดีที่สุด
น้องชายของเธอพัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ ดีจริงๆ
“ใกล้จะถึงแล้ว สู้ๆ” หลินลั่วหรานหันหน้ากลับมาพูดกับเขาก่อนที่มันจะทำให้เด็กชายลืมความเ็ปที่บริเวณฝ่ามือไปในทันที
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าวหลินลั่วตงลืมไปแล้วว่าเขาเดินมานานแค่ไหน เมื่อมองไปยังยอดเขาที่ไร้ซึ่งผู้คนตอนนี้ก็เพิ่งจะเป็เวลาตีสามเท่านั้น เขาและพี่สาวได้เดินตามคนที่เดินขึ้นมาก่อนหน้าทันแล้วและกลายเป็กลุ่มนักเดินทางกลุ่มแรกที่เดินขึ้นมาถึงยอดเขาแห่งนี้
ยอดเขาฮั่วชานเป็สถานที่ที่เหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ขึ้นมากความจริงสามารถพักบนยอดเขาได้เช่นกัน แต่ว่าราคาของที่พักนั้นสูงเสียจนน่าใ ดังนั้นนักท่องเที่ยวส่วนมากจึงเลือกที่จะพักอยู่ที่ตีนเขาหลังจากนั้นก็ทำเหมือนกับพวกหลินลั่วหราน ด้วยการขึ้นเขามาั้แ่ยามดึกเมื่อถึง่ตีสามตีสี่ พวกเขาก็จะเดินขึ้นมาถึงยอดเขาพอดีและสามารถที่จะชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ทัน
แต่ว่าในวันนี้ระหว่างทางมีฝนตกลงมาประมาณชั่วโมงกว่าทำให้ผู้คนส่วนมากหยุดการเดินทางลง เนื่องจากเส้นทางลื่นเกินไปและด้วยความต่างของฝีเท้า ทำให้พวกหลินลั่วหรานกลายเป็คนกลุ่มแรกที่ขึ้นมาถึงบนยอดเขาแห่งนี้
บนยอดเขานั้นมีนักท่องเที่ยวอยู่น้อยมาก นี่มันช่างดีเสียจริง
หลินลั่วหรานเลือกสถานที่ดีๆก่อนที่จะนำเต็นท์ออกมาจากกระเป๋าที่หลินลั่วตงแบกขึ้นมาเธอปูเสื่อและกางเต็นท์ออก ก่อนที่จะวางชุดน้ำชาลงบนยอดเขาที่มีความสูงกว่าพันเมตร
ใบชาที่เธอใช้คือใบชาจากแม่พันธุ์ต้าหงเผ้าเธอได้รับมันมาจากคนที่ถูกชะตากับลั่วตงมากอย่างมู่เหล่าหรือแม้แต่อุปกรณ์การชงชาทั้งหมดนี้ต่างก็เป็ของที่เขาให้มา
หลินลั่วหรานไม่ได้ต้มชาเลยในทันที เธอกับลั่วตงนั้นั้แ่ลงมาจากรถไฟก็ยังไม่ได้ทานอาหารให้อิ่มเลยสักมื้อแถมยังเดินขึ้นมาบนยอดเขาแห่งนี้ด้วยความยากลำบาก ดังนั้นก็คงจะ้าเพิ่มพลังขึ้นเสียหน่อย
โต๊ะพับเล็กถูกซื้อมาจากร้านขายของแต่ว่ามันถูกเก็บเอาไว้ในพื้นที่ลึกลับของหลินลั่วหรานครั้งนี้เธอไม่ได้บอกให้หลินลั่วตงลงมือทำอะไรอีกในพื้นที่ลึกลับยังมีปลาแซลมอนที่ได้มาจากนอร์เวย์เหลืออยู่และมันก็ไม่ได้เน่าเสียไปตามเวลา แต่กลับดูเหมือนกับเพิ่งจับขึ้นมาจากทะเลมันส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของวัตถุดิบราคาแพงออกมา
แม้ว่าจะมีคนจำนวนน้อย แต่ที่นี่ยังคงเป็พื้นที่สาธารณะด้วยนิสัยที่ไม่้าเป็ที่ต้องสายตาของใครหลินลั่วหรานจึงเลือกที่จะใช้มีดหั่นแซลมอนออกมาเป็ชิ้นๆ โดยไม่ได้ใช้เวทมนตร์แต่อย่างใด
องุ่น แอปเปิ้ล ลูกท้อ ถูกนำออกมาวางซ้อนกันหากจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็อาหารมื้อหลักก็ดูเหมือนว่าจะน้อยไปหรือเปล่า?
“รออยู่ตรงนี้นะ แป๊บหนึ่ง”
เมื่อลั่วตงพยักหน้าตอบรับก็พบว่าหลินลั่วหรานนั้นได้ะโขึ้นไปบนต้นสนใหญ่บนหัวของพวกเขาเสียแล้วไม่นานนักเธอก็กลับลงมา ในมือของเธอถือไข่นกลงมาหลายฟองมันยังคงไปประดับไปด้วยหยาดน้ำค้างของยามค่ำคืน
กระทะนี้ก็เป็กระทะที่ซื้อมาใหม่ หลินลั่วหรานค่อยๆแอบใช้เวทในการทอดไข่ขึ้นมาลับหลังคน แสงสีทองประกายอยู่บนยอดเขามืดสลัวจึงไม่ทำให้ใครสังเกตเห็นแต่กลิ่นหอมนั้นกลับยั่วยวนคนไปทั่ว
อาหารเช้าครบถ้วนมื้อหนึ่งถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อย โดยไร้ซึ่งสุ้มเสียงบนยอดเขาแห่งนี้ในบริเวณขอบฟ้าห่างไกลก็เริ่มมีแสงอ่อนๆ ขึ้นมาแล้ว
ดูเหมือนว่าพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว
ลั่วตงรู้สึกว่า บนบ่าของเขานั้นบวมขึ้นมา เมื่อถอดถุงมือออกก็พบว่าบนฝ่ามือของเขามีร่องรอยพุพองอยู่แต่เขาก็แอบอดทนเอาไว้ โดยที่ไม่ได้บอกกับหลินลั่วหราน
ในตอนนั้นเมื่อเห็นว่าผู้เป็พี่สาวกำลังเตรียมอาหารอยู่บนยอดเขาเหล่านักท่องเที่ยวที่อยู่โดยรอบต่างก็ซุบซิบกันขึ้นมาในขณะที่ลั่วตงนั้นกลับรู้สึกขึ้นมาว่า ความลำบากก่อนหน้านั้นทำให้ความหวานปรากฏขึ้นในตอนนี้
“พี่สาว...”
หลินลั่วหรานส่งไข่ม้วนมาให้เขาก่อนจะส่งเสียงบอกพร้อมกับชี้ไปยังขอบฟ้า “ดูนู่น!”
ดูนู่น...ดูอะไรเหรอ?
ดูขอบฟ้าที่เหมือนกับมีรอยฉีกขาดขึ้นมาเป็รู ก้อนเมฆล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าสีครามเข้มเส้นแสงประกายขึ้นมา ก่อนที่ปลายแสงจะสาดส่องออกมาจากชั้นเมฆ ทีละเล็กทีละน้อยยิ่งผ่านไปนานเท่าไร แสงก็ยิ่งสว่างขึ้นมากเท่านั้นและกลายเป็สีแดงที่ร้อนแรงชวนแสบตาขึ้นมา หลินลั่วตงหรี่ดวงตาของเขาลงเขามั่นใจว่าตัวเองไม่เคยเห็นแสงอรุณที่สวยงามขนาดนี้มาก่อน
เมื่อชั้นเมฆเ่าั้ขยับออกเพียงเล็กน้อยแสงตะวันก็ปรากฏขึ้นมาบนชั้นเมฆ ก่อนที่จะเปล่งประกายแสงตะวันวับวาว!
หลินลั่วตงเบิกตาออกกว้าง ดวงตาของเขาพร่าเลือนไปหมด
และในตอนนั้นเองก็มีลมพัดมาพอดี ก้อนเมฆกระจายออกไปต้นสนบนยอดเขาขยับเคลื่อนไหว ทุกสิ่งค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปภายใต้แสงวันใหม่ทุกครั้งที่กะพริบตาต่างก็ทำให้พบกับภาพทิวทัศน์ที่แปลกใหม่ออกไปเสมอ
ลั่วตงหรี่สายตาลงภายใต้แสงอาทิตย์ก่อนที่จะได้ยินหลินลั่วหรานที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นว่า
“หากอยากจะดูพระอาทิตย์ขึ้น ก็จะต้องเดินทางผ่านค่ำคืนที่ฝนตกอย่างเหนื่อยล้าขึ้นมาการที่จะมีอาหารเช้ามื้ออร่อยได้ ก็ต้องอาศัยการแบกข้าวของเสียเหน็ดเหนื่อยของเธอ...ดังนั้นในชีวิตของคนเรา ส่วนมากต่างก็ต้องผ่านความขมขื่นมาก่อนถึงจะได้รับรู้ถึงความหอมหวาน และความหอมหวานนั้นก็จะควรค่าแก่การระลึกถึงสิ่งที่เธอเคยผ่านมาในอดีต ก็มีคนที่เคยมีประสบการณ์เช่นนั้นเหมือนกันแต่ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้โชคดีเท่ากับเธอ ลั่วตงถ้าหากว่าครั้งหนึ่งชีวิตเคยรังแกเธอ ถ้าแบบนั้นหลังจากนี้ก็ดูเหมือนว่ามันจะชดใช้ให้กับเธอแล้ว...”
แม้ว่าทั้งหมดนี้ผ่านการเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้วแต่ว่าหลินลั่วหรานก็รู้สึกว่าในตอนนี้เธอก็ยังดูงุ่มง่ามอยู่ดีสุดท้ายแล้วเธอก็ยังเป็คนที่ไม่พูดดีกว่าพูดอยู่ดีสินะ
ลั่วตงในวัยสิบสองปี ความจริงแล้วนอกจากนิสัยขี้อายและเก็บตัวของเขา เขาก็มีความสามารถมากกว่าเด็กที่มีอายุเท่ากันทั่วไปหลินลั่วหรานรู้สึกว่าคำพูดของเธอนั้นดูมึนงงและไม่ชัดเจนแต่เขากลับเข้าใจสิ่งที่เธอ้าจะสื่อออกมาได้อย่างชัดเจน
ความยากลำบากและความทรมานในตอนเด็กๆไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเขานั้นต้องพบเจอกับอะไรมาบ้างด้วยดักแด้ที่เขาสร้างขึ้นเพื่อซ่อนตัวเองเอาไว้ ทำให้หากเขาไม่พูดก็ไม่มีใครพูดถึงเื่ที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะถูกบ้านหลินรับมาเลี้ยง
มันคือรอยแผลเป็และวันนี้มันก็ถูกวิธีการต้มกบด้วยน้ำร้อนของหลินลั่วหลานจี้มันออกมาแต่สิ่งที่ผิดไปจากที่ลั่วตงคาดไว้ก็คือ เขาไม่ได้รู้สึกเ็ป แต่มันเป็เพียงแค่ความรู้สึกเปรี้ยวๆก็เท่านั้นเอง
ดังนั้นไม่นานนักหลินลั่วหรานก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของลั่วตงดังขึ้นมาเธอหันหน้าไปหาก่อนจะพบว่าในดวงตาของเขาเปล่งประกายสดใสรับกับแสงรุ่งอรุณราวกับหยาดน้ำ
นี่คือสีสันที่เพิ่งจะถูกหยาดน้ำตาชำระล้างไปมันช่างเป็คริสตัลที่เปล่งประกายสดใสที่สุดบนโลกใบนี้
ลั่วตงจะสามารถเปลี่ยนไปได้ไหมนะ? หลินลั่วหรานนั้นคอยแต่เฝ้าตั้งตารอทุกสิ่งทุกอย่างนี้ต่างก็เป็สิ่งที่เธอพยายามที่สุดแล้ว
แสงตะวันยามเช้าสาดส่องผ่านลงมาจากกิ่งก้านของต้นสนแสงตะวันสาดส่องลงมายังใบหน้าของเธอทำให้ใบหน้าด้านข้างของเธอนั้นถูกประดับไปด้วยแสงสีทองอบอุ่นและให้ความรู้สึกราวกับเทพ์ที่อยู่ภายใต้ต้นสนโบราณบนยอดเขาสูงชันแห่งนี้แม้ว่าเธอจะสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่ทั่วทั้งตัวของเธอกลับให้ความรู้สึกราวกับเป็เทพสาวที่โบยบินลงมาจากสรวง์
เหล่านักท่องเที่ยวเพียงน้อยนิดต่างก็ถูกสาวงามภายใต้ต้นสนเรียกสายตาให้หันไปมอง
เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งพูดโต้แย้งกันมาตลอดทางเดินขึ้นมาบนยอดเขาคนที่นำมานั้น แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะดูอ่อนโยน แต่ในคำพูดกับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่ามันไม่เป็ไร มันก็แค่ฝนตกไม่นานก็หยุดแล้ว...ดูตอนนี้พวกเราแม้แต่พระอาทิตย์ขึ้นยังไม่ได้ดูเลย”
คนพูดก็คือคนที่คอยรักษาท่าทางให้ดูดีอยู่เสมออย่างจางชูิแต่คนที่จี้จุดขึ้นมา ก็คือผู้ร่วมห้องพักเดียวกันกับเซี่ยปิงเหยียน
“ฉันว่านะ ่นี้นายหลงใหลเทพสาวนั่นเกินไปหรือเปล่า จิตใจก็เลยไม่ค่อยสงบถ้าไม่ใช่เพราะนายบอกว่าฝนตกแล้วทางจะลื่น จนพวกเราต้องหยุดพักไปอีกชั่วโมงพวกเราก็คงจะไม่พลาดการชมพระอาทิตย์ขึ้นบนเขาหรอก น่าเสียดายจริงๆบางทีชีวิตนี้อาจจะไม่ได้ดูเป็ครั้งที่สองแล้วก็ได้!”
ลูกสมุนของจางชูิคนหนึ่งหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมา “เผยหยวน ถามจริง รูปภาพนั้นน่ะใช้คอมพิวเตอร์วาดหรือว่ามีคนร่วมมือถ่ายกับนาย แล้วก็ค่อยแต่งเอาเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ อย่าไปล้อเผยหยวนเขาสิ”
แม้จะบอกว่าไม่ให้ล้อ แต่พวกเขากลับหัวเราะเยาะออกมาจนเซี่ยปิงเหยียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้งคนคนนี้ทำไมถึงได้ดื้อด้านขนาดนี้ แต่ว่าใครบอกให้เขาโกหกล่ะ? เดิมทีก็ไม่ได้มีค่าพอที่จะต้องเห็นใจอยู่แล้วใช่ไหม...ก่อนที่อยู่ๆ เธอก็พบว่าสายตาของเผยหยวนนั้น ดูเหมือนว่าจะมองข้ามผ่านตัวของพวกเขาไปอีกฝั่งหนึ่ง
เซี่ยปิงเหยียนมองตามสายตาของเขาไป ก่อนจะพบว่านั่นบริเวณตรงนั้นคือส่วนโขดหินที่สูงขึ้นไปจากยอดเขาและดูเหมือนว่าจะเป็สถานที่ที่ใช้ในการดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดีที่สุดมันมีต้นสนเขียวชอุ่มโบราณคอยให้ร่มเงา ภายใต้ร่มเงาของมันก็มีเต็นท์ถูกกางเอาไว้แสงยามรุ่งอรุณสาดส่องลงมา และมันฉายไปยังร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ใต้ร่มไม้
แม้ว่าจะไม่ได้สวมชุดโบราณ จะไม่มีอินทรีทองแต่ว่าใบหน้าด้านข้างและลำคอระหงนั้น มันช่างดูเหมือนกับคนที่อยู่ในรูปภาพคนนั้น...ไม่มีผิดเพี้ยน
เซี่ยปิงเหยียนหรี่สายตาของตัวเองลงทุกคนต่างก็มองไปตามทางสายตาของเธอ ก่อนจะได้พบกับคนที่มีท่าทางเรากับเทพสาวคนนั้น
เอ๋ ดูคุ้นจัง!
แต่ว่าคนที่ได้รับการดูถูกถากถางมาตลอดทางอย่างเผยหยวนนั้นเขากลับรู้สึกว่าขอบตาของเขาชาขึ้นมาและในวินาทีนั้นนักศึกษาที่รับงานเป็ไกด์ในระหว่าง่หยุดปิดภาคเรียนหรือคนที่พูดจาไหลลื่นในสายตาของเซี่ยปิงเหยียนก็กลับนึกถึงบทกวีโบราณของอะเลคซันดร์ พุชกินขึ้นมาได้
ถ้าหากว่าชีวิตนั้นรังแกคุณ
คุณก็ไม่ควรจะเศร้าโศก และก็ไม่ต้องโกรธเคืองอะไร
ใน่เวลาที่ไม่พอใจ ก็ให้บังคับตัวเองไว้
เชื่อเถอะว่าวันที่มีความสุขจะต้องมาถึงในสักวัน
