“องค์ชายสาม เรียบร้อยแล้วเพคะ”
“อืม” จี๋โม่หานรับคำเสียงเงียบ
หลังจากฝังเข็มเสร็จแล้ว นางก็หันตัวกลับมาเก็บเข็มเงินที่เหลือใส่เข้าไปในถุงเข็ม วินาทีที่นางหมุนตัวนั้น มุมปากของจี๋โม่หานก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
ซูิเยว่เก็บของเสร็จแล้วก็ดึงเก้าอี้มานั่งอยู่ที่ริมถัง ทั้งยังหามุมที่ดีมากอีกด้วย “องค์ชายสามเพคะ น้ำโอสถที่แช่นี้ ครึ่งชั่วยามจะเปลี่ยนครั้งหนึ่ง ฝังเข็มเองก็ต้องทำติดต่อกันสามครั้ง อาจจะใช้เวลานานหน่อยนะเพคะ”
“หากเ้ารู้สึกเบื่อล่ะก็ในห้องตำราของเปิ่นหวังมีหนังสืออยู่บนชั้น เ้าหยิบมาอ่านได้ตามใจชอบเลย”
ซูิเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็สนใจขึ้นมา “จริงหรือเพคะ?”
“จริง” น้ำเสียงของจี๋โม่หานแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นก็ดีเลย” ซูิเยว่ยันตัวลุกขึ้น “วางใจเถิด หม่อมฉันไม่ค้นของท่านมั่วซั่วหรอกเพคะ”
นางพูดจบก็เดินไปทางชั้นหนังสือซึ่งถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยมาก แต่หนังสือบนชั้นมีไม่มากนัก ซูิเยว่เลือกหยิบมาเล่มหนึ่งก็พบว่าเป็หนังสือเกี่ยวกับการทหาร
ซูิเยว่มองจี๋โม่หานก่อนครู่หนึ่ง หนังสือพวกนี้คงเป็หนังสือที่เขาอ่านตอนที่ตายังมองเห็นอยู่แน่นอน ตอนนั้นจี๋โม่หานเป็แม่ทัพอายุน้อยที่มีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง
นางวางกลับไปแล้วสุ่มเลือกออกมาอีกเล่มหนึ่ง แต่ก็ยังเป็เื่เกี่ยวกับการต่อสู้ของทหาร ซูิเยว่เปิดหาทั้งชั้นหนังสือรอบหนึ่งถึงได้เจอหนังสือแพทย์เล่มหนึ่ง ในที่สุดก็มีหนึ่งเล่มที่นางเข้าใจ
ซูิเยว่หยิบกลับมานั่งที่เก้าอี้ จากนั้นก็พิงหลังกับเก้าอี้อย่างผ่อนคลายแล้วเริ่มเปิดอ่าน
จี๋โม่หานก็พลันเอ่ยถามขึ้น “หนังสืออะไรหรือ?”
ซูิเยว่ชะงักก่อนจะได้สติกลับมา “อ๋อ หนังสือแพทย์เพคะ”
“อ๋อ คงเป็หนังสือที่วางทิ้งไว้เมื่อนานมาแล้ว เปิ่นหวังลืมไปแล้ว”
ซูิเยว่มองหนังสือในมือแล้วก็มองจี๋โม่หาน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “องค์ชายสามจะฟังหรือไม่เพคะ หม่อมฉันอ่านให้ท่านฟังได้”
จี๋โม่หานหัวเราะออกมาเบาๆ “หนังสือแพทย์เปิ่นหวังไม่เข้าใจมันหรอก”
“หม่อมฉันหมายถึงหนังสือเกี่ยวกับทหารเพคะ”
แต่ก่อนจี๋โม่หานเป็แม่ทัพ ภายในห้องก็ยังเก็บหนังสือเกี่ยวกับทหารเอาไว้มากมาย คนเช่นนี้ปกติแล้วจะมีหัวใจที่ไม่ถูกใครผูกมัดเอาไว้ ไม่พอใจที่จะอยู่อย่างธรรมดา ซูิเยว่คิดไม่ออกเลยว่าจี๋โม่หานที่ตาบอดมานานหลายปีขนาดนี้ใช้ชีวิตที่ผ่านมาได้อย่างไรกัน
หลังจากเอ่ยประโยคนี้ออกมา จี๋โม่หานก็เงียบไปนานโดยที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ซูิเยว่รู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยที่ตนปากไวไปหน่อย ถึงแม้ประโยคนั้นจะไม่มีความหมายอื่น มีเพียงแค่ความหวังดี แต่นี่ไม่ใช่การแทงใจดำอีกฝ่ายหรอกหรือ
นางครุ่นคิดแล้วเปลี่ยนวิธีการถ่ายทอดความคิด “หม่อมฉันแค่กลัวว่าท่านจะเบื่อเท่านั้นเพคะ”
“ไม่เป็ไร” จี๋โม่หานนิ่งสงบ น้ำเสียงก็ไม่มีแววตำหนินาง “เปิ่นหวังชินแล้ว ที่จริงแล้วเวลาที่อยู่เงียบๆ นั้นเยอะมาก ข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ดี”
ซูิเยว่ถูกประโยคว่าชินแล้วของจี๋โม่หานทำให้รู้สึกเ็ปอย่างน่าประหลาด ชินแล้ว เขาเคยชินกับความมืดและความเงียบมาหลายปี อีกทั้งยังมีความเหงาคอยตามติดเป็เหงาตามตัวหรือ
ซูิเยว่จำที่หลิงชวนเคยพูดไว้ได้ ปกติแล้วในจวนมักจะเงียบมากเป็ปกติ ดังนั้นจี๋โม่หานจึงใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้มาเป็สิบปี ถึงใบหน้าของเขาจะเรียบเฉย แต่ในใจคงสิ้นหวังหรือเคยชินแล้วสินะ?
ซูิเยว่ขมวดคิ้วแน่น รู้สึกทุกข์ใจอย่างยากที่จะบรรยายออกมา สงสารหรือ เห็นใจหรือ? นางเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
จี๋โม่หานไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวของซูิเยว่ แถมเสียงเปลี่ยนหน้าหนังสือเองก็เงียบไปแล้ว ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็น แต่ความรู้สึกอื่นๆ ของเขากลับไวมากเป็พิเศษ
“อ๋อ ไม่ ไม่มีอะไรเพคะ” ซูิเยว่ได้สติกลับมาก็รีบเปิดหน้าหนังสือในมืออย่างร้อนรน
จี๋โม่หานได้ยินเสียงรีบร้อนของนางก็ยกยิ้มเล็กน้อย “เ้ากำลังเห็นใจเปิ่นหวังหรือ?”
มือที่เปลี่ยนหน้ากระดาษของซูิเยว่หยุดไปเนิ่นนาน นางพับหนังสือแล้ววางไว้ด้านข้าง นางไม่ได้ตอบคำถามของจี๋โม่หาน แต่เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตามองไปยังดวงตาที่ปิดสนิทของจี๋โม่หานอย่างแน่วแน่
“ท่านวางใจเถิด ถึงตอนนี้หม่อมฉันจะยังไม่รู้ว่าจุดยืนของท่านอยู่ตรงไหน แต่หม่อมฉันจะพยายามรักษาดวงตาของท่านให้ดีที่สุด ถึงแม้จะมีความมั่นใจแค่หกส่วน แต่หม่อมฉันรู้ว่ามีคนคนหนึ่งที่รักษาดวงตาของท่านให้หายได้แน่ ถ้าหากหม่อมฉันไม่สามารถรักษาได้ หม่อมฉันจะพาท่านไปหาเขา”
ซูิเยว่เองก็ไม่รู้ว่าจู่ๆ ตัวเองเป็บ้าอะไรขึ้นมา หลังจากกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นอกจากตามหาองค์ชายห้ากับจ้าวอวี้ถิงเพื่อแก้แค้นแล้ว นี่คงเป็เื่ที่สองที่ทำให้นางมีความเชื่อมั่นขนาดนี้
นางพูดอย่างจริงจังจนจบ จากนั้นก็พิงเข้ากับเก้าอี้อย่างเป็ธรรมชาติแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอีกครั้ง การเคลื่อนไหวใช้เวลาเพียงแค่การถอนหายใจเดียวเท่านั้น
สีหน้าของจี๋โม่หานปรากฏอาการใค้างไปชั่ววูบหนึ่ง แต่เพียงครู่เดียวก็เก็บซ่อนลงไป เนิ่นนานเขาถึงจะเอ่ยเสียงเรียบออกมา น้ำเสียงแฝงไปด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดเ้าถึงอยากช่วยข้าเช่นนี้ เ้าไม่กลัวว่าข้าจะเป็คนร้ายมาฆ่าเ้าหรือ?”
ความจริงแล้วในใจของซูิเยว่ตอนนี้กำลังยุ่งเหยิง ถึงแม้จะมีสีหน้ามั่นคงมากก็ตาม
หลังจากพูดออกมาอย่างไม่ลังเลเมื่อครู่จบแล้วก็กลับไปนั่งพิงกับเก้าอี้ นางรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ถึงมือจะถือหนังสืออยู่ แต่ความจริงแล้วสมาธิไม่ได้อยู่ที่หนังสือเลย ถึงอ่านไปก็ไม่เข้าหัวแม้แต่น้อย
ได้ยินคำพูดของจี๋โม่หาน หัวใจที่เต้นแรงถึงได้สงบลง
ซูิเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพ่นออกมา นางจัดระเบียบความคิดของตัวเองให้ดีก่อนจะพูดออกมา “หากองค์ชายสามอยากจะฆ่าหม่อมฉันจริง เช่นนั้นก็คงไม่ช่วยหม่อมฉันหรอกเพคะ”
จี๋โม่หานไม่พูดอะไรออกมา ในตอนที่ซูิเยว่คิดว่าเขาคงไม่ตอบกลับแล้ว จี๋โม่หานก็เอ่ยปากพูดออกมาโดยการโยนคำถามหนึ่งออกมา “คืนวันนั้นเหตุใดเ้าถึงได้ไปปรากฏตัวที่จวนผู้ตรวจการ?”
ซูิเยว่ชะงักไปแล้วมองจี๋โม่หานอย่างใ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ เขาถึงได้ถามคำถามนี้ออกมา นางไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้กลับไปอย่างไร จุดยืนของจี๋โม่หานในตอนนี้ยังไม่ชัดเจน เป็มิตรหรือศัตรูก็ยังไม่รู้แน่ชัด
ซูิเยว่ครุ่นคิดก่อนจะถามกลับ “เช่นนั้นทำไมคืนนั้นจู่ๆ คนขององค์ชายสามถึงได้ไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่นด้วยเพคะ?”
จี๋โม่หานหัวเราะเสียงเบา “ช่างเถิด เช่นนั้นก็ต้องรอให้คุณหนูซูเชื่อใจข้าก่อน พวกเราถึงค่อยแลกเปลี่ยนความซื่อสัตย์กันดีหรือไม่?”
ซูิเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า “เพคะ”
จี๋โม่หานถามอีกครั้ง “เช่นนั้นคุณหนูซูรู้หรือไม่ว่าคืนนั้นคนที่มาล้อมทำร้ายคุณหนูที่จวนสกุลซูเป็คนที่ใครส่งมา?”
ซูิเยว่ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจี๋โม่หานถึงได้มีคำถามมากมายขนาดนี้ คนมาฆ่านางในคืนนั้นนางก็รู้อยู่แล้วว่าเป็คนของใคร แต่นางพูดออกมาไม่ได้ หรือจะให้บอกว่าญาติของเ้าเห็นข้าขวางหูขวางตาก็เลยจะฆ่าข้าเช่นนี้หรือ
พอคิดเช่นนี้ ซูิเยว่ก็ส่ายหน้าแสร้งทำเป็ไม่รู้ นางใช้น้ำเสียงใสซื่อพูดออกมา “ไม่รู้เพคะ ปกติแล้วหม่อมฉันก็อยู่แต่ในจวน อีกทั้งไม่ได้ไปมาหาสู่กับใครด้วย หม่อมฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าใคร้าจะฆ่าหม่อมฉัน”
จี๋โม่หานเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดว่าคำพูดนี้ของซูิเยว่นั้นน่าเชื่อถือแค่ไหน สุดท้ายก็พยักหน้าน้อยๆ
ในตอนที่ซูิเยว่คิดว่าจี๋โม่หานจะไม่ถามอะไรอีก ใครจะไปรู้ว่าเขาจะเอ่ยปากถามออกมาอีก “คุณหนูซูคิดว่าองค์ชายห้าเป็คนอย่างไร?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้