เจี่ยงเซียวผงะไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็หรี่ตาลงก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเ็า “เ้าว่าอย่างไรนะ?”
“ข้าบอกให้เ้าไสหัวมานี่ ให้ข้าได้ดูเสียหน่อย ข้าอยากจะเห็นนักว่าบัณฑิตเก่าอย่างเ้าจะสามารถหยุดข้าได้สักกี่กระบวนท่า”
มู่เฟิงกล่าวอย่างเ็า
“นี่เ้ากำลังจะท้าสู้กับข้าอย่างนั้นรึ? ฮ่าๆ เ้าจะท้าสู้กับข้า พวกเ้าได้ยินหรือไม่ เ้าคนผู้นี้คิดจะท้าสู้กับข้า”
หลังได้ฟังคำพูดของมู่เฟิง เจี่ยงเซียวก็รู้สึกขบขันเป็อย่างยิ่ง
“เ้าเด็กนั่นคิดจะสู้กับเจี่ยวเซียว เมื่อไม่นานมานี้เ้าหมอนั่นเพิ่งจะบรรลุระดับหนิงกังได้สำเร็จ บัณฑิตใหม่อย่างเ้าเด็กนั่นไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ของเจี่ยงเซียวได้หรอก”
“ถูกต้อง แม้ว่าเ้าหมอนั่นจะล้มเหลวในการทำภารกิจชั้นหนึ่งถึงสองครั้งจนถูกมองว่าเป็ตัวตลก แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่บัณฑิตใหม่จะสามารถรับมือได้”
“หึๆ ที่ผ่านมาเขาโดนดูถูกมาตลอด เวลานี้จึงหาเื่บัณฑิตใหม่ให้ตัวเองดูมีเกียรติขึ้นมาหน่อยสินะ”
ผู้คนรอบข้างต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ มีบางคนมองออกถึงเหตุผลที่เจี่ยงเซียวจงใจหาเื่พวกมู่เฟิง เนื่องจากในอดีตเขาเคยทำภารกิจชั้นหนึ่งล้มเหลวถึงสองครั้ง เื่นี้ทำให้เขากลายเป็ที่ขบขันของผู้คน ดังนั้นเมื่อเห็นว่ามีบัณฑิตใหม่รับทำภารกิจชั้นหนึ่งที่เขาไม่เคยทำได้สำเร็จ เขาก็รู้สึกอับอายขึ้นมาราวกับถูกจี้ปมในใจ เขาจึงจงใจหาเื่พวกมู่เฟิงเพื่อเป็การระบายความขุ่นเคือง
“เ้าหนุ่ม เ้าแน่ใจหรือว่าจะท้าสู้กับข้า?”
เจี่ยงเซียวเหลือบมองมู่เฟิงราวกับกำลังมองดูคนโง่
“เ้ามันก็เป็แค่เศษสวะที่ไม่รู้จักยอมรับความสำเร็จของผู้อื่น การท้าสู้กับเ้ามีเื่อะไรให้น่าแปลกใจงั้นหรือ? เ้าคิดว่าชื่อของเ้าถูกจัดให้อยู่ในรายชื่ออันดับยอดฝีมือหรืออย่างไร?”
มู่เฟิงยิ้มเยาะ ก่อนจะกล่าวคำพูดเชือดเฉือนราวกับคมมีดออกมา
“ดี จากคำพูดนี้ของเ้า ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้ตีเ้าจนฟันหัก ข้าก็ไม่ใช่เจี่ยงเซียวแล้ว”
สีหน้าของเจี่ยงเซียวพลันมืดครึ้มลงทันที จากนั้นเขาก็เดินตามมู่เฟิงและไป๋จื่อเยว่ออกไปด้วยกัน
กลุ่มคนที่เข้ามารับภารกิจภายในโถงต่างก็รีบตามออกไปดูด้วยความตื่นเต้น
หลังจากเดินออกมาจากวิหารรับภารกิจแล้ว พวกเขาก็เลือกพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านนอกเป็ลานประลอง
คนทั้งสองหันหน้าเข้าหากันโดยมีระยะห่างราวสิบเมตร
เจี่ยงเซียวเริ่มขยับร่างกายเพื่อเป็การยืดกล้ามเนื้อ ระหว่างนั้นเขาก็กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “เ้าหนุ่ม วันนี้ข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้เ้าเอง ว่าอะไรเรียกว่าการเคารพศิษย์พี่”
“คนอย่างเ้ามีอะไรให้น่าเคารพกัน?”
มู่เฟิงตอกกลับทันที
“รอให้ร่างของเ้านอนหมอบอยู่บนพื้นก่อนเถอะ ถึงเวลานั้นข้าจะดูว่าเ้าจะยังปากดีได้อยู่อีกไหม?”
เจี่ยงเซียวกล่าวด้วยสีหน้าดูไม่ได้
“เฮ้ เจี่ยงเซียว รับมือกับเด็กใหม่แบบนี้ เ้าคิดจะใช้สักกี่กระบวนท่ากัน?”
“ฮ่าๆ จริงด้วย ถ้าเ้าไม่สามารถจัดการเ้าเด็กนี่ได้ภายในสิบกระบวนท่า ข้าว่าเวลาหกปีที่ผ่านมาของเ้าคงจะเปล่าประโยชน์แล้ว”
ผู้คนโดยรอบต่างก็โห่ร้องอย่างสนุกสนาน
“กี่กระบวนท่างั้นรึ? หึ จัดการเ้าเด็กนี่ แค่กระบวนท่าเดียวก็เกินพอแล้ว”
เจี่ยงเซียวพ่นลมหายใจออกมาอย่างเ็า พลังกังชี่สีแดงถูกปลดปล่อยออกมาห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ จากนั้นเขาก็หลอมรวมพลังกังชี่เข้ากับพลังปราณให้กลายเป็พลังปราณเพลิง
เมื่อพิจารณาจากกลิ่นอาบพลังที่แผ่ออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งบรรลุระดับหนิงกังได้ไม่นาน
ตู้ม...!
เจี่ยงเซียวกระทืบฝ่าเท้าลงบนพื้นอย่างดุดัน ทันใดนั้นพลังปราณของเขาก็พลันปะทุขึ้น คลื่นพลังกวาดซัดออกไปบริเวณโดยรอบเป็รัศมีวงกลม จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งทะยานเข้าหามู่เฟิงด้วยความเร็วราวกับลูกศรพร้อมกับการปล่อยหมัดอันหนักหน่วงออกมา เพียงหมัดนี้แหวกผ่านอากาศ ชั้นบรรยากาศก็สั่นะเืขึ้นมาทันที
“หมัดเปลวเพลิง!”
หมัดที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสีแดงพุ่งทะลวงไปทางมู่เฟิงอย่างดุดัน แน่นอนว่าอานุภาพพลังของหมัดนี้เป็สิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้
แม้ปากของเจี่ยงเซียวจะพูดจาดูแคลนมู่เฟิง แต่เขาก็ลงมืออย่างไร้ความปรานี เขา้าที่จะเอาชนะมู่เฟิงด้วยหมัดนี้
‘อัสนีบาตย่ำแปดทิศ!’
มู่เฟิงแผดเสียงคำรามภายในใจ ฉับพลันนั้นแหล่งกำเนิดพลังสายฟ้าทั้งสามสายก็พลันปะทุขึ้น พลังสายฟ้าอันทรงพลังหลั่งไหลเข้าสู่เส้นลมปราณของมู่เฟิงและหลอมรวมเข้ากับพลังปราณของเขา
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
เมื่อเขาย่างเท้าสามก้าวต่อกัน พลังของมู่เฟิงก็เพิ่มพูนขึ้นเป็สามเท่าในเวลาชั่วพริบตา จากนั้นเขาก็ปล่อยหมัดออกไปอย่างดุดัน ทันใดนั้นพลังปราณเพลิงภายในร่างของเขาหลั่งไหลไปรวมที่หมัดเป็จุดเดียว
“ะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยา หมัดเพลิง!”
เมื่อมู่เฟิงปล่อยหมัดออกไป หมัดที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสีแดงและมีสายฟ้าห่อหุ้มเอาไว้อีกชั้นก็พุ่งกวาดออกไปข้างหน้าในทันที
เพียงหมัดนี้ทะลวงผ่านอากาศ ชั้นบรรยากาศโดยรอบก็ถูกแผดเผาไปด้วย นอกจากนี้ยังมีเสียงฟ้าคำรามดังขึ้น
เปรี้ยง...!
เมื่อหมัดทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรุน ในรัศมีสิบเมตรนี้ก็ปรากฏคลื่นพลังร้อนระอุกวาดซัดออกไปทันที
“ทำลายมันเสีย!”
หมัดนั้นของมู่เฟิงพุ่งเข้าไปทำลายหมัดของเจี่ยงเซียวโดยตรง จากนั้นก็พุ่งเข้าไปกระแทกร่างของเจี่ยวเซียวที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเกราะพลังกังชี่ต่ออย่างรุนแรง
“เป็ไปได้อย่างไร!”
เมื่อเห็นหมัดนั้นพุ่งเข้ามา ดวงตาของเจี่ยงเซียวก็เบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ และเกราะพลังกังชี่ของเขาก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว
“อ๊าก…!”
เจี่ยงเซียวหวีดเสียงร้องออกมาทันที แรงของหมัดนี้กระแทกร่างของเขาจนปลิวออกไปไกล ก่อนจะกลิ้งไปตามพื้นอีกหลายตลบ ทั่วทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยสายฟ้าจนร่างกายชักกระตุก นอกจากนี้บริเวณแผ่นอกยังมีรอยไหม้เกรียมจนกลายเป็สีดำสนิท
มู่เฟิงดึงกำปั้นของเขากลับมา พร้อมกับพลังภายในร่างที่ลดฮวบ
ส่วนผู้คนรอบข้างต่างก็จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็บัณฑิตเก่าหรือเหล่าผู้ดูแลล้วนใกับผลลัพธ์นี้
“ไม่ ไม่จริงน่า สามารถเอาชนะเจี่ยงเซียวได้ด้วยหมัดเดียว นี่มัน...”
“มารดามันเถอะ ข้าไม่ได้ตาลายใช่หรือไม่ เ้าเด็กนั่นสามารถเอาชนะเจี่ยงเซียวได้ในหมัดเดียว!”
“แม้ว่าเจี่ยงเซียวจะแย่เพียงใด แต่วรยุทธ์ของเขาก็อยู่ในระดับหนิงกัง เ้าเด็กนี่แม้แต่พลังชีวิตก็ยังไม่สามารถใช้ออกมาได้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะสามารถเอาชนะเจี่ยงเซียวได้!”
เวลานี้ใบหน้าของเหล่าผู้ชมก็ราวกับมีคำว่า ‘มึนงง’ เขียนอยู่บนนั้น
“หึ ยังมีใครหน้าไหนกล้ามาว่าพวกเราไม่ได้ทำภารกิจเองอีกหรือไม่?”
ไป๋จื่อเยว่กวาดตามองไปยังเหล่าบัณฑิตที่อยู่โดยรอบ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ทุกคนต่างก็รู้สึกเลิ่กลั่กแต่กลับไม่มีใครกล้าตอบ
มู่เฟิงสาวเท้าเดินเข้าไปทางเจี่ยงเซียวอย่างใจเย็น
ทันใดนั้นเจี่ยงเซียวก็กระอักเืออกมา ก่อนจะเบิกตากว้างมองมู่เฟิง
“เ้า เ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร เ้าใช้วิธีการชั่วร้ายใดกันแน่?”
เจี่ยงเซียวพยายามใช้มือพยุงร่างของตนเองให้ถอยห่างออกไปอย่างต่อเนื่อง สายตาหวาดผวาของเขากำลังมองมู่เฟิง
“วิธีการชั่วร้าย? ทักษะวิชาของตัวเองไม่ดีเท่าคนอื่น แต่กลับมาใส่ความว่าข้าใช้วิธีการชั่วร้ายอย่างนั้นรึ? ช่างน่าขัน คนเช่นเ้าชีวิตนี้คงยากที่จะประสบความสำเร็จ”
มู่เฟิงก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะยืนมือออกไปคว้าคอเจี่ยงเซียวและยกร่างของอีกฝ่ายขึ้น
“จงมอบคะแนนของเ้าออกมาเสีย!”
ดวงตาสีโลหิตวาวโรจน์ของมู่เฟิงจ้องเจี่ยงเซียวเขม็ง
เท้าของเจี่ยงเซียวแกว่งไปมากลางอากาศ สองมือพยายามดิ้นรนไม่หยุด เมื่อเห็นสายตาอันเย็นะเืของมู่เฟิงเขาก็ยิ่งตื่นตระหนก ความกลัวเริ่มปรากฏชัดในดวงตาของเขา
ดวงตาของมู่เฟิงในเวลานี้ดูเ็า โเี้และกระหายเื เขาจ้องมองฝ่ายตรงข้ามราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
ความเย็นะเืเสียดแทงลึกไปถึงกระดูกของเจี่ยงเซียว เขามีความรู้สึกว่าหากเขายังไม่ยอมมอบคะแนนออกไปอีก เด็กหนุ่มผู้นี้อาจจะเพิกเฉยต่อกฎของสำนักศึกษาและลงมือสังหารเขา
“ขะ ข้าให้เ้า ข้าให้...”
ยามนี้ใบหน้าของเจี่ยงเซียวกำลังแดงก่ำ เขาพยายามกล่าวออกมาด้วยความยากลำบาก
ในที่สุดมู่เฟิงก็ปล่อยมือ เขาโยนร่างของอีกฝ่ายลงบนพื้น
เจี่ยงเซียวรีบนำบัตรผลึกสีน้ำเงินออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนำบัตรไปเชื่อมต่อกับบัตรของมู่เฟิง และส่งมอบคะแนนสามพันคะแนนให้กับเด็กหนุ่ม
หลังจากได้รับคะแนน ดวงตาสีโลหิตของมู่เฟิงก็ชำเลืองมองไปยังผู้คนโดยรอบ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “อย่าได้คิดจะมาอวดเบ่งความเป็ศิษย์พี่กับข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้พวกเ้าได้สูญเสียครั้งใหญ่แน่”
เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็พากันตกตะลึง และมีบางคนะโตอกกลับด้วยความเกรี้ยวกราด “เ้าหนุ่มเ้าอย่าได้บ้าให้มันมากนัก หากเ้ามีความสามารถก็ไปที่แท่นสังเวียนโลหิตเลยสิ”
“ถูกต้อง การเอาชนะเจี่ยงเซียวได้นั้นไม่นับว่ามีค่าอะไรเลย ถ้าเ้ามีความสามารถก็ไปยังแท่นสังเวียนโลหิตด้วยกันกับเหล่าจือแล้วต่อสู้กันสักสองกระบวนท่า”
มู่เฟิงยิ้มมุมปากก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “แท่นสังเวียนโลหิต เอาสิข้าไป แต่ข้าหวังว่าเมื่อข้าไปที่นั่นแล้ว เ้าจะจำสิ่งที่เ้าเพิ่งพูดไปได้”
หลังจากกล่าวจบมู่เฟิงก็เดินจากไปพร้อมกับไป๋จื่อเยว่ โดยไม่แม้แต่จะหันไปมองเจี่ยงเซียว
บนท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไป มีเงาร่างของคนสองคนยืนอยู่กลางอากาศ พวกเขากำลังมองสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้