“สัตว์ร้ายอย่างนั้นหรือ! พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่ไหม!”
มีอีกเสียงหนึ่งดังมาจากด้านขวา
“ล้อเ้าเล่น? ข้าจะบอกเ้าให้ มหาปุโรหิตคำนวณได้นานแล้วว่าที่นี่มีสัตว์ร้ายอยู่ ครั้งนี้พวกเราต้องตัดหัวสัตว์ร้ายตัวนี้กลับไปด้วย ไม่เช่นนั้นชีวิตของพวกเราคงจะโดนมหาปุโรหิตปลิดทิ้งอย่างแน่นอน”
ในขณะที่เสียงนั้นดังขึ้น พลันมีชายหนุ่มสวมเกราะสีแดงสามคนเดินเข้ามาพร้อมๆ กัน แต่ละคนถือกระบี่สีแดงหม่นเอาไว้ เกราะและกระบี่ต่างมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ อานุภาพรุนแรงมาก
“นี่!”
เมื่อกล่าวถึงมหาปุโรหิต อีกสองคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พวกเขาพยักหน้าถี่ๆ ราวกับไก่จิกหาอาหาร มิกล้าก้าวล่วงผู้ที่เอ่ยถึง
“วางใจได้ มหาปุโรหิตเคยบอกว่าสัตว์ร้ายตัวนี้ยังอยู่ในระยะตัวอ่อน จับง่ายมาก แต่พวกเ้าต้องช่วยข้า อย่าให้คนอื่นลอบทำร้ายได้”
คนที่เป็ผู้นำมีอายุประมาณสามสิบปี สวมหมวกสีแดงเข้ม ร่างกายสูงใหญ่ ผิวสีน้ำตาลเข้ม ตรงหน้าอกมีอัญมณีสีดำดูโดดเด่นประดับอยู่ มันส่องแสงเป็ประกายตลอดเวลา และเขายังมีพลังแข็งแกร่งที่สุดในสามคนนั้นด้วย
ทั้งสามคนพากันเดินเข้าไปทางปากปล่องูเาไฟอย่างรวดเร็ว จนดูเหมือนไม่ใส่ใจความร้อนแรงของที่นี่เลย
“บังเอิญขนาดนี้เลยหรือ!”
เสิ่นเสวียนและเสิ่นล่างแอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหินก้อนใหญ่ ทั้งสองคนสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ไอพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของทั้งสามคนนั้นแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยที่สุดคือขั้นบรรพบุรุษระดับกลาง โดยเฉพาะพี่ใหญ่ของพวกเขาที่อย่างน้อยน่าจะอยู่ในขั้นบรรพบุรุษระดับสูงหรือไม่ก็ระดับสูงสุดไปแล้ว
หากแค่คนเดียวพวกเขาคงไม่กลัว แต่สามคนยังมิอาจแน่ใจได้ อีกทั้งเกราะและกระบี่ของสามคนนั้นยังเป็ศาสตราวิเศษระดับสูง ถ้าต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ พวกเขาสองคนมิอาจเป็คู่ต่อสู้ได้
“มหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นสามคนนี้น่าจะมาจากเผ่าอนธการ!”
เสิ่นล่างมองสามคนนั้นพลางกล่าวเสียงเบา สิ่งที่เขาใไม่ใช่พลังของสามคนนั้น แต่เป็อำนาจเื้ัของพวกเขา
เผ่าอนธการคืออำนาจมืดที่ลึกลับและน่ากลัวมาก
“เผ่าอนธการคืออะไรหรือ”
“เผ่านี้มีความลึกลับมาก สิ่งที่ข้ารู้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อำนาจของพวกเขากระจายไปทั่วทั้งทวีป เป็เผ่าที่โเี้รุนแรง หากล่วงเกินพวกเขาแล้วโดนล้างเผ่าพันธุ์นับเป็เื่ปกติ” ขณะที่กล่าว แววตาของเสิ่นล่างฉายความหวาดกลัวออกมาอย่างปิดไม่มิด
“เผ่าอนธการ...”
เสิ่นเสวียนกล่าวกับตนเอง ในใจคิดว่าน่าจะเหมือนกับลัทธิมารบางส่วนในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร
เขาไม่เหมือนกับเสิ่นล่าง เพราะเขาล่วงเกินลัทธิเหล่านี้อยู่เสมอในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ่ระยะเวลาพันปีเขาทำลายลัทธิมารไปแล้วมากกว่ายี่สิบลัทธิ
สำหรับสามคนนี้ หากไม่ต้องเผชิญหน้ากันก็ดี หรือต่อให้ต้องเผชิญหน้าก็ได้ผลลัพธ์เดียวกัน
“พวกเราตามไปกันเถอะ ไปดูว่าสัตว์ร้ายคืออะไร”
“เอ่อ...ก็ได้” เสิ่นล่างลังเลเล็กน้อยแต่ก็เห็นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าใครก็มีจิตใจอยากรู้อยากเห็น ไม่เว้นแม้แต่เขา
สามคนนั้นเดินนำหน้าไปจนถึงยอดปากปล่องูเาไฟ ที่นี่ร้อนราวกับอยู่ในกาน้ำที่ตั้งบนเตาไฟจนไอน้ำเดือดพลุ่ง คนทั่วไปมิอาจใช้ชีวิตอยู่ได้
แต่พวกเขาเหมือนไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ทันทีที่คลื่นความร้อนน่ากลัวเ่าั้ััโดนเกราะสีแดงที่สวมบนร่างก็จะโดนดูดเข้าไปทั้งหมด
เสิ่นเสวียนและเสิ่นล่างเก็บซ่อนไอพลังของตนเอาไว้ พยายามรักษาระยะห่าง โชคดีที่พลังฟ้าดินของที่นี่หนาแน่นมาก จึงทำให้สามคนนั้นไม่ทันสังเกตเห็น
สำหรับพวกเขาแล้ว สามคนนี้คืออันตรายร้ายแรง เกรงว่าหากสามคนนี้สังเกตเห็นว่าพวกเขามาเก็บหลินจือโมรา จะต้องเกิดการปะทะกันอย่างแน่นอน
“ผู้เฒ่าล่าง ท่านจัดการได้ถึงสองคนหรือไม่” เสิ่นเสวียนกล่าวกับเสิ่นล่างเสียงเบา
“สองคนอย่างนั้นหรือ ไม่ได้หรอก”
เสิ่นล่างส่ายหัวทันที ปฏิเสธความคิดอยากเข้าปะทะของเสิ่นเสวียนไป
“ไม่เป็ไร รอไปก่อน”
เสิ่นเสวียนหัวเราะแห้งๆ แล้วซ่อนตัวอยู่กับเสิ่นล่าง เฝ้าดูเงียบๆ ต่อไป
สามคนนั้นยืนอยู่ที่ปากปล่องูเาไฟ แค่ยืนมองอยู่ตรงนั้นไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย จนเวลาล่วงเลยไปแล้วหนึ่งชั่วยาม
“พี่ใหญ่ ทำไมถึงไม่มีอะไรเลยเล่า”
“ข้าก็ไม่รู้ มหาปุโรหิตไม่มีทางผิดพลาด รออีกหน่อย”
“พี่ใหญ่ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเรามา”
ประโยคสุดท้าย คนที่ั้แ่ต้นยังไม่ได้กล่าวอะไรเลยสักคำหันไปกล่าวกับพี่ใหญ่
“ไร้สาระ ครั้งนี้มหาปุโรหิตเตรียมการอย่างลับๆ ให้พวกเรา ก่อนออกเดินทางพวกเรายังไม่รู้เื่เลย คนอื่นจะรู้ได้อย่างไร รอไปเงียบๆ เถอะ”
แล้วทั้งสามคนก็ยืนดูลาวาที่อยู่ในปากปล่องูเาไฟ พลางรออยู่อย่างเงียบเชียบ
ครึ่งชั่วยามผ่านไป…
หนึ่งชั่วยามผ่านไป…
ทุกอย่างเงียบสงบมาก ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย
ทว่าทั้งสามคนกลับมีเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า แม้เกราะบนร่างพวกเขาสามารถต้านทานความร้อนแรงของที่นี่ได้ แต่พอเวลาผ่านไปอานุภาพก็คงลดลง กระทั่งพี่ใหญ่คนนั้นยังแคลงใจว่าสิ่งที่มหาปุโรหิตกล่าวมานั้นเป็เื่จริงหรือไม่
ห่างไปไม่ไกล เสิ่นเสวียนและเสิ่นล่างเปียกโชกไปทั้งร่าง ชุดของพวกเขามีควันสีขาวพวยพุ่งออกมาแล้ว ราวกับพร้อมที่จะลุกเป็ไฟได้ทุกเมื่อ
แม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่ใกล้ปากปล่องูเาไฟเหมือนกับสามคนนั้น แต่ก็ไม่ได้อยู่ห่างมากนัก ความร้อนที่ยิ่งกว่าอยู่กลางทะเลทรายยามเที่ยงวันกำลังแผดเผาไม่หยุดพัก รวมกับที่รออยู่ที่นี่เกือบสามชั่วยามแล้ว ทำให้พวกเขาแทบจะทนไม่ไหว
“มาเถอะ กินยาสักหน่อย นี่คือยาเรียกลมปราณ”
เสิ่นล่างเอายาเรียกลมปราณออกมาจากแหวนมิติสองเม็ดแล้วส่งให้เสิ่นสวียนหนึ่งเม็ด เสิ่นเสวียนรับมาแล้วกินเข้าไปทันทีโดยไม่ลังเล อย่างไรก็ตาม ยาเรียกลมปราณนี้ทำได้เพียงเรียกลมปราณเท่านั้น มิอาจต้านทานไอความร้อนได้
“เ้าปรุงยากายาเย็นเยือกน้ำแข็งอัคคีขึ้นมาเพื่อใช้กับสถานที่แห่งนี้ใช่ไหม”
เสิ่นล่างคิดไปถึงยาที่เสิ่นเสวียนปรุงขึ้น
“อืม แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”
“อย่างไรก็ตาม ข้าต้องเตือนเ้าก่อน พวกเราสองคนเข้าปะทะกับพวกเขาสามคนต้องพ่ายแพ้แน่นอน หรือถึงแม้เอาชนะได้แล้วอีกฝ่ายหนีไปคนหนึ่ง ตระกูลเสิ่นจะต้องพินาศอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าไม่ได้ขู่ให้กลัว ดังนั้นจะต้องระมัดระวังให้มาก”
เสิ่นล่างกล่าวเตือนเสิ่นเสวียนอีกครั้ง อีกฝ่ายยังหนุ่มแน่นมีอารมณ์ร้อน แต่เขาไม่ได้ตัวคนเดียว ยังมีครอบครัวใหญ่รอเขาอยู่ ตระกูลเสิ่นมิอาจรับไหว
“ผู้เฒ่าล่าง ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ท่านเลย! ข้าจำได้ว่าตอนที่ท่านยังหนุ่ม ท่านมีชื่อเสียงคล้ายกับชื่อของท่านมาก”
“เฮอะ หากไม่ใช่เพราะตระกูล เ้าคิดว่าข้าจะสนใจเื่เหล่านี้หรือ” เสิ่นล่างกล่าวเสียงเย็น ทั้งชีวิตของเขามีแต่ความเย่อหยิ่งซึ่งติดตัวเขามาั้แ่เกิด
“เช่นนั้นหากพวกเราเปลี่ยนแปลงฐานะล่ะ อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังไม่เคยเจอพวกเรามาก่อนด้วย”
ขณะที่กล่าว เสิ่นเสวียนเรียกเอายาระดับสองที่ปรุงไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจากแหวนมิติหลายเม็ด ยานี้เพียงแค่แปรเปลี่ยนไอพลังบนร่างกายเท่านั้น ไม่ส่งผลกระทบต่ออย่างอื่น
“นี่คือยาแปรผัน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราปิดบังใบหน้าแล้วท่านจะเข้าใจ”
เสิ่นเสวียนแสดงสีหน้าชั่วร้ายออกมา พลางกะพริบตาปริบๆ ให้เสิ่นล่าง
“เ้าร้ายเหมือนกันนี่!”
เสิ่นล่างเข้าใจที่เสิ่นเสวียนพูดจึงพยักหน้าในทันที
แล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม
ทั้งสามคนที่ยืนอยู่ตรงปากปล่องูเาไฟไม่มีแรงเหมือนตอนแรกเริ่มแล้ว ตอนนี้พวกเขาสงสัยอย่างถึงที่สุดว่ามหาปุโรหิตกำลังล้อพวกเขาเล่น แต่พวกเขาก็ไม่กล้ากล่าวออกมา ทำได้เพียงรออยู่ที่นี่ต่อไป
“พี่ใหญ่ ทำอย่างไรดี”
“รอต่อไป จะทำอะไรได้”
พี่ใหญ่ผู้นั้นปรายตามองผู้พูดเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะเกราะอนธการปกคลุมร่างอยู่ พวกเขาคงแห้งตายอยู่ที่นี่ไปนานแล้ว
“มหาปุโรหิตไม่ได้หลอกพวกเราหรอก รอต่อไปเถอะ” พี่ใหญ่กล่าวปลอบใจตนเอง
“พี่ใหญ่! ท่านดู! ดูนั่น!”
ทันใดนั้นเอง หนึ่งในนั้นชี้ไปยังลาวาเบื้องล่างด้วยสีหน้าตื่นใ
“หืม?”
เขามองลงไปด้านล่าง ลาวาที่เคลื่อนตัวหนืดๆ อยู่เ่าั้พลันเดือดพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง แล้วมันก็ปะทุออกมาในพริบตา
ไม่ว่าสิ่งใด หากได้ััลาวานี้ย่อมกลายเป็ผุยผงจนหมดสิ้น
ขณะเดียวกัน สามคนนั้นกระทืบเท้าลงกับพื้น ทำให้ร่างของพวกเขาพุ่งสูงไปบนท้องฟ้าพร้อมกันเพื่อหลบหลีกลาวาที่พุ่งออกมา ถ้าโดนลาวาเหล่านี้เข้าหากไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โต
“อันตรายจริงๆ!”
พี่ใหญ่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เหตุใดูเาไฟที่สงบนิ่งอยู่ถึงปะทุออกมาได้!
ฉับพลันสีหน้าของพี่ใหญ่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหันไปมองด้านหลัง
“เสร็จกัน ถูกจับได้เสียแล้ว...”
เสิ่นเสวียนและเสิ่นล่างลอยอยู่กลางอากาศ สีหน้าของพวกเขาดูเก้อเขินเล็กน้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้