สิ้นประโยคท้าทายของหลิงเฟิง ทันใดนั้นทั่วทั้งลานฝึกก็พลันเงียบสงบ
หลินเฟิงเป็ฝ่ายท้าประลองหลินหยุน?
แม้แต่หลินไห่ก็ยังตกตะลึง เขามองไปที่บุตรชายด้วยสายตาประหลาดใจ ผู้าุโที่ลุกออกจากที่นั่งและเตรียมจะจากไปก็รีบกลับมานั่งลงตามเดิม แล้วมองไปที่หลินเฟิงอย่างสนอกสนใจ
ส่วนหลินเฮ่าหลันแสยะยิ้มอย่างเ็า ความโกรธในใจของเขาเริ่มลงลด คิดไม่ถึงเลยว่าเ้าขยะจะเป็ฝ่ายท้าประลองกับบุตรชายของเขาเสียเอง
“หลินหยุน รับคำท้ามันซะ” หลินเฮ่าหลันมองไปที่หลินหยุนด้วยสายตามีเลศนัย
หลินหยุนจ้องมองหลินเฟิงอย่างไม่พอใจ เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังได้รับความอดสูอยู่ในตอนนี้ ในบรรดาลูกหลานของตระกูลหลิน พร์ของเขาอาจจะถือว่าธรรมดา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลินเฟิง เขาสามารถทำตัวหยิ่งผยองแค่ไหนก็ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่เห็นหลินเฟิงเขาจึงมีความสุขที่ได้เยาะเย้ย แต่ตอนนี้การที่หลินเฟิงซึ่งเป็ไอ้ขยะของรุ่นกำลังท้าประลองกับเขา มันทำให้หลินหยุนรู้สึกเสียหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถ้าเ้าสามารถรับมือข้าได้สามกระบวนท่า ข้าจะหยุดมือ” หลินหยุนกล่าวขณะที่เดินออกมา เขาจะใช้กระบวนท่าที่เหี้ยมโหดที่สุดในการเอาชนะหลินเฟิง เพื่อให้มันรู้ว่าตัวเองต่ำต้อยขนาดไหน
“ถ้าเ้ารับหมัดของข้าได้ ถือว่าข้าแพ้” หลินเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดอย่างไม่แยแส น้ำเสียงนี้ทำให้สีหน้าของหลินหยุนมืดมนทันที มันเหมือนกับว่าแม้แต่หนึ่งหมัดของหลินเฟิง เขาก็คงรับไม่ไหว
ทุกคนต่างพากันตกตะลึง พวกเขามองไปที่หลินเฟิงอย่างหมดคำพูด สมองของเ้าเด็กนี่คงได้รับความเสียหายถึง 80% แน่ๆ ถึงได้พูดจาบ้าบอเช่นนี้
“คำพูดที่ออกมาจากขยะอย่างเ้า ต่อให้ดูดีแค่ไหน แต่สุดท้ายมันเป็ได้แค่ขยะ คำพูดโอ้อวดแบบนี้ มีเพียงขยะอย่างเ้าเท่านั้นที่ทำได้” หลินหยุนพูดเยาะเย้ย
หลินเฟิงหัวเราะ ข้าเนี่ยนะพูดโอ้อวด? ดูเหมือนว่าเขาจะพูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้นเอง
“ข้าจะลงมือแล้วนะ” หลินเฟิงไม่สนใจคำพูดไร้สาระของอีกฝ่าย หลังจากที่พูดจบ เขาก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วค่อยๆ ปล่อยหมัดไปทางหลินหยุน
“หมัดเดียว?” แววตาของหลินหยุนส่องประกายเหี้ยมโหด เขาไม่คิดหลบการโจมตีนี้ แต่กลับยกกำปั้นของตนเองขึ้นมา เพื่อ้าให้หลินเฟิงรับรู้ถึงช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขา
ทันใดนั้นอากาศก็พลันสั่นะเืเลือนลั่น ระลอกคลื่นที่ทรงพลังปรากฏอยู่บนหมัดของหลินเฟิง เสียงหวีดหวิวของหมัดที่ทรงอานุภาพดังกึกก้อง ทุกคนเห็นเพียงคลื่นหมัดที่บ้าคลั่งพุ่งไปยังหลินหยุน
คลื่น์เก้ากระแทก!
ทันใดนั้นสีหน้าของหลินหยุนพลันเปลี่ยนไป เพราะเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่แข็งแกร่งมาก แต่ตอนนี้สายเกินไปที่จะล่าถอย หมัดของทั้งคู่เข้าปะทะกันอย่างจัง
หลินหยุนรู้สึกถึงระลอกคลื่นที่รุนแรงผ่านหมัดที่ชกบนร่างเขา คลื่นใหม่จะแข็งแกร่งกว่าคลื่นเก่าที่ผ่านเข้าสู่ร่างกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“พรูด!”
เสียงสำลักดังขึ้นมาพร้อมร่างของหลินหยุนที่กระเด็นออกไป ทำให้สายตาของทุกคนในที่นี้ชะงักค้าง ฉากนี้เหมือนกับการประลองระหว่างหลินไห่กับหลินป้าต้าวก่อนหน้านี้ไม่มีผิด! หลินหยุนไม่สามารถต้านทานพลังของอีกฝ่ายได้ เพียงแค่หมัดเดียว ร่างของเขาก็กระเด็นออกไปไกล
หลินเฮ่าหลันลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ มองไปยังหลินหยุนที่นอนกองอยู่บนพื้นอย่างตกตะลึง
“ทำไม ทำไมถึงเป็แบบนี้ไปได้…” หลินหยุนตาค้างด้วยความตะลึงลาน เขาไม่สามารถยอมรับความจริงอันแสนโหดร้ายนี้ไปได้
เมื่อทุกคนได้ยินเสียงของหลินหยุน ทันใดนั้นพวกเขาก็นึกถึงคำพูดของหลินเฟิงก่อนหน้านี้ขึ้นมา ‘เ้าเรียกข้าว่าไอ้ขยะทุกคำ ข้าอยากถามว่า ถ้าหากวันหนึ่งเ้าค้นพบว่าตัวเองแย่ยิ่งกว่าข้า เ้าจะหาทางออกให้ตัวเองได้อย่างไร?’ ข้อเท็จจริงตรงหน้าสามารถพิสูจน์วาจาโอหังของเด็กหนุ่มคนนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“นี่คือนายน้อยขยะของตระกูลหลินงั้นเหรอ?” เมื่อมองไปที่หลินเฟิง ในใจของทุกคนก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา การที่สามารถชกหลินหยุนจนกระเด็นได้ในหมัดเดียวนั้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีพลังมากกว่าหกพันจินขึ้นไป
“เ้าเอาแต่เรียกข้าว่าไอ้ขยะๆ ไม่ขาดปาก แต่ตอนนี้แค่หมัดของข้าเพียงหมัดเดียว เ้าก็ยังรับไม่ได้เลย ถ้าอย่างนั้นเ้าคืออะไรล่ะ?” หลินเฟิงมองหลินหยุนด้วยสายตาดุร้ายขณะที่พูดเยาะเย้ย
“ส่วนเ้า ในฐานะที่เป็ผู้ใหญ่ แต่กลับพูดไอ้ขยะสองคำนี้จนติดปาก แล้วตอนนี้บุตรชายของเ้าก็พ่ายแพ้ให้แก่ข้าด้วยหมัดเดียว ถ้าเ้าว่าข้าเป็ขยะ แสดงว่าเ้าก็ด่าบุตรชายของเ้าว่าเป็ขยะเช่นกันงั้นสิ”
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองหลินเฮ่าหลันขณะพูด
“แค่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 6 ก็กล้ามาวางท่าที่นี่แล้วหรือ?” หลังจากที่หลินเฮ่าหลันถูกคนรุ่นลูกชี้นิ้วด่า สีหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียดขึ้นมา
“ข้าไม่ได้วางท่า ข้าเพียงแค่ส่งคำพูดพวกนี้กลับคืนให้พวกท่านสองพ่อลูกเท่านั้น” หลินเฟิงไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ เขาหมุนตัวเดินจากมาพร้อมทิ้งท้ายว่า “ชอบที่จะดูถูกคน คนอื่นก็จะดูถูกเ้า!”
“ชอบที่จะดูถูกคน คนอื่นก็จะดูถูกเ้า!” หลินไห่ทวนประโยคนั้นอยู่เบาๆ ในดวงตาปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา บุตรชายของเขาได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ถึงขนาดพูดคำปรัชญาแบบนี้ออกมาได้
…
หลินเฟิงกลับไปที่ห้องของเขาที่อยู่ในลานและเริ่มบ่มเพาะอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะเอาชนะหลินหยุนที่อยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 5 ได้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกภูมิใจ หลินเหิง ผู้ที่เคยทำร้ายเขาก่อนหน้านี้และโยนเขาออกมาจากนิกาย มีพร์กว่าหลินหยุนมาก และยังเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 ยังมีบุตรสาวของหลินป้าต้าว ที่มีพร์มากกว่าหลินหยุนหลายเท่า โดยเฉพาะหลินเชียน บุตรสาวของหลินป้าต้าว ที่มีข่าวลืออีกว่านางบรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ได้แล้ว
อีกสามเดือนจะมีการประชุมประจำปีเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นเด็กๆ ตระกูลหลินที่ฝึกฝนอยู่ในนิกายต่างๆ จะกลับมา ถ้าเขาไม่รีบบ่มเพาะพลังเพิ่ม ครั้งหน้าคนที่ต้องอับอายอาจจะเป็เขา หลินเฟิงก็เป็ได้
การบ่มเพาะไร้ที่สิ้นสุด เวลาในการบ่มเพาะมักจะผ่านไปเร็วเสมอ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินแล้ว ต่อให้ไม่กินอะไรเป็เวลาสิบวันก็ไม่ใช่ปัญหา เดิมทีหยวนชี่ฟ้าดินก็เป็พลังที่บริสุทธิ์ที่สุดอยู่แล้ว
สิบวันล่วงผ่านไป ในที่สุดหลินเฟิงก็ออกจากห้องของตัวเอง เขาถอนหายใจออกมา ่เวลาสิบวันที่ผ่านมา เขาบ่มเพาะจนมาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 6 แล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็สามารถบรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7
หลินเฟิงไปที่ห้องของท่านพ่อ
“เสี่ยวเฟิง เ้าบ่มเพาะที่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ ทำไมต้องกลับไปที่นิกายอีก?” เมื่อหลินไห่ได้ยินหลินเฟิงบอกว่าจะกลับไปที่นิกายก็เกิดความกังวลใจขึ้นมา เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้หลินไห่ยังพะวักพะวนใจจนไม่อาจปล่อยวางได้
“ท่านพ่อ บางเื่มันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าข้าหลบอยู่แต่ในบ้านและฝึกฝน ท่านพ่อก็จะต้องคอยปกป้องข้า แล้วข้าจะเติบโตขึ้นเพื่อกลายเป็ผู้ที่แข็งแกร่งได้อย่างไร” แววตาของหลินเฟิงแสดงถึงความแน่วแน่ อีกอย่างพลังของนิกายมีมากกว่าตระกูลหลินหลายเท่า ที่นั่นมีเคล็ดวิชาที่ทรงพลังและการแข่งขันที่ดุเดือด มีแค่ที่นิกายเท่านั้นที่เขาจะสามารถพัฒนาได้เร็วขึ้น
เมื่อเห็นถึงความดื้อรั้นในสายตาของหลินเฟิง หลินไห่ได้แต่ถอนหายใจ ลูกข้าโตขึ้นแล้วจริงๆ ใช่แล้ว หากหลินเฟิงอยู่แต่ในบ้านก็จะได้รับการปกป้องจากเขา ซึ่งเป็พฤติกรรมที่ขี้ขลาด และมันเป็ไปไม่ได้เลยที่เขาจะกลายเป็ผู้ที่แข็งแกร่ง เพียงแต่ในมุมมองของคนเป็พ่อเป็แม่ ย่อมไม่อาจตัดใจได้
“ในเมื่อเ้ายืนยันจะกลับไปที่นิกาย ในฐานะบิดา ข้าจะไม่ห้ามเ้า แต่อย่างไรก็ตามเ้าต้องระมัดระวังตัวด้วย” หลินไห่พูดขณะที่เขาพยักหน้าอย่างประนีประนอม
“ท่านพ่อวางใจเถอะ ข้าจะฝึกฝนให้หนักขึ้น และทำให้พวกเขาอยู่ใต้เท้าเราให้จงได้” คำพูดของหลินเฟิงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ด้วยจิติญญาแห่งความมืดทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาเร็วกว่าคนทั่วไปหลายเท่า ความสามารถในการเข้าใจก็แข็งแกร่งขึ้น เมื่อรวมกับจิตใจที่แน่วแน่แล้วเขาเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ด้อยไปกว่าเด็กที่เรียกว่าอัจฉริยะอย่างแน่นอน
หลินเฟิงไม่ได้นำสิ่งของไปมากมายนัก มีเพียงแค่ม้าลี้ ถุงเสบียง และเงินบางส่วน
“ท่านพ่อ ข้าไปแล้วนะ” นอกเมืองหยางโจว หลินเฟิงมองบิดาของตนขณะที่กล่าวอำลา
“อืม ระวังตัวด้วยนะ” หลินไห่พยักหน้า ก่อนที่หลินเฟิงกระทุ้งม้าให้เดินทาง พริบตาเดียวม้าพันลี้ก็กลายเป็ลำแสงสีขาวพุ่งออกไป ไม่นานลำแสงสีขาวที่นอกเมืองหยางโจวก็หายไปจากสายตา
บนดินแดนที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด หลินเฟิงควบม้าวิ่งไประหว่าง์และโลก ทันใดนั้นความภาคภูมิใจก็พรั่งพรูออกมา และความทะเยอทะยานก็บังเกิดในใจของเขา
ในโลกก่อน หลินเฟิงชอบดูหนังกำลังภายใน ที่พวกจอมยุทธ์จะขี่ม้าและขับร้อง ถือดาบร่อนเร่ไปทั่วยุทธจักร คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้เขาจะมีโอกาสได้ทำมัน หนึ่งคนหนึ่งม้าท่องใต้หล้าอย่างอิสระ
ร่ำสุราเคล้าเพลงเศร้า ใช้ชีวิตอย่างตามใจ!
วีรบุรุษถือดาบทะยานไปในใต้หล้า เหยียบย่างท้องฟ้าสีเือย่างภาคภูมิ!
ในโลกนี้โชคชะตาของเขาไม่ธรรมดา ในโลกนี้เขาถูกลิขิตมาให้สง่าผ่าเผย!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้