เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเดินไปถึงทางออก นางหันมองต้นไม้โบราณต้นนั้นอีกแวบหนึ่ง
หรือว่าก่อนหน้านี้นางได้เคยเจอต้นไม้โบราณต้นนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการมาของฉินมู่หนาน
พอคิดได้เช่นนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็รีบสาวเท้าวิ่งจากไป
พอมาถึงกุฏิที่อาจารย์เฟิงเสวียนและท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนสนทนากัน มู่อวิ๋นจิ่นก็มายืนรอด้วยความร้อนใจ
อาจารย์เฟิงเสวียนเห็นท่าทีจึงขมวดคิ้วถามขึ้น “นางหนูจะวิ่งทำไม มีผีไล้ตามมางั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว มีผีไล่ตามศิษย์มาจริงๆ” มู่อวิ๋นจิ่นหายใจอย่างกระหืดกระหอบ
“ห๊ะ เ้านี่พูดอะไรให้จริงจังหน่อย” อาจารย์เฟิงเสวียนถลึงตาใส่ พลางเดินเข้ามาประชิด “ไปได้แล้ว ข้าจะพาเ้าไปแล้ว”
มู่อวิ๋นจิ่นหยุดฝีเท้าลง หันมาถามท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนที่ยืนนิ่ง “ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนไม่ไปด้วยกันหรือเ้าคะ?”
ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนส่ายหน้าไปด้วย ฉีกยิ้มไปด้วย
ดังนั้นมู่อวิ๋นจิ่นได้แต่ยู่ปาก เดินตามหลังอาจารย์เฟิงเสวียนไปที่ห้องลับ
ระหว่างทางอาจารย์เฟิงเสวียนคอยหันมองมู่อวิ๋นจิ่นอยุ่บอยครั้ง “ได้ยินไฮว๋หยวนเล่าว่า เ้าสามารถทำลายค่ายกลของคงซื่อได้ใช่ไหม?”
“ไม่นับว่าทำลายหรอก” มู่อวิ๋นจิ่นก้มหน้า คิดในใจว่ามันเป็เพียงแสงรังสีอินฟราเรด ที่คนโบราณไม่รู้จักเท่านั้นเอง
“หึ นางหนูดูท่าเ้าจะไม่ธรรมดา พอจะมีความฉลาดเฉลียวอยู่บ้าง”
“ก็ธรรมดาสามัญแหละ ศิษย์เป็สตรีที่มีความงามอันดับหนึ่งในอาณาจักรซีหยวนนี่หน่า”
“ดูไม่ออกเลยจริงๆ”
……
มู่อวิ๋นจิ่นพาอาจารย์เฟิงเสวียนเดินเข้ามาในห้องลับ เห็นค่ายกลที่อยู่เบื้องหน้า นางพยายามเหล่ตามองปฏิกิริยาของเขา
พอเห็นท่าทางที่เคร่งขรึมจับจ้องไปที่ค่ายกล และบริเวณโดยรอบของอาจารย์เฟิงเสวียน
มู่อวิ๋นจิ่นกลับอดถามขึ้นมาเสียมิได้ “อาจารย์มองอะไรออกบ้างไหม?”
“มหาเวทย์ผนึกเซียน” อาจารย์เฟิงเสวียนเอ่ยขึ้นมาแ่เบา
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเข้าหากัน สงสัยชื่อวิชานี้หลุดจากปากอาจารย์เฟิงเสวียนคงสามารถช่วยได้ นางจึงถามขึ้นว่า “สามารถใช้ทำลายค่ายกลได้ใช่ไหม?”
“มู่เอ๋อร์……”
เสียงที่แหบแห้งระคนอย่างเศร้าสร้อย ดังขึ้นอย่างน่าสยองขวัญจากห้องลับ พอได้ยินมู่อวิ๋นจิ่นรีบหันมองอาจารย์เฟิงเสวียนทันที
“เฟิงเสวียน เ้าก็มาด้วยงั้นหรือ?” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
“จากกันครั้งนั้นเป็เวลายี่สิบปีแล้ว เ้ายังจำข้าได้อยู่ไหม?” อาจารย์เฟิงเสวียนพูดอย่างห่อเหี่ยวใจ
จากนั้นได้ยินเสียงด้านในห้องลับ หัวเราะเสียงต่ำ “อย่างน้อยเ้ากับข้าเคยพานพบกันมาครั้งหนึ่ง ข้าจะลืมเ้าได้อย่างไร เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า เ้าจะมาที่นี่ได้”
“บุตรชายของเ้าคิดหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเ้าออกมา แต่ข้ากลับเห็นว่าเ้าอยู่ที่นี่สุขสบายดี” อาจารย์เฟิงเสวียนสัพยอก
มู่อวิ๋นจิ่นที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยืนฟังทั้งสองสนทนาอยู่เงียบเชียบ
“สุขสบายที่ไหนเล่า เพียงแต่ติดอยู่ที่นี่มาหลายปี จิตใจของข้าเหลือเพียงความเคว้งคว้างโดดเดี่ยว จนััถึงความสุขได้เลย” หรงเฟยเอ่ยอย่างอาดูร
“แล้วเหตุใดเ้าต้องให้วิชาตำหนักหวงอวี่ ซึ่งเป็ความลับสุดยอดของเ้า ให้กับนางหนูนี่ด้วย?” อาจารย์เฟิงเสวียนถามเสียงแข็ง
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักไปชั่วขณะ นางพยายามปกปิดทุกอย่างด้วยความแเีที่สุดแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะถูกอาจารย์เฟิงเสวียนมองทะลุปรุโปร่ง
“มู่เอ๋อร์มิใช่สตรีธรรมดาทั่วไป ข้าคิดว่าเ้าก็ทราบเื่นี้ดี” หรงเฟยอธิบาย
“ชิชะ ที่จริงนางเป็สตรีธรรมดาทั่วไป แต่ถูกเ้าถ่ายทอดวิชาตำหนักหวงอวี่ให้ จึงกลายเป็สตรีที่ไม่ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว”
“หรงหว่านเยวี่ย เ้าคิดดีแล้วเหรอ ตอนนี้ข้าช่วยเ้าปกปิดมาระยะหนึ่ง หากฉู่ลี่สามารถทำลายค่ายกลได้ เ้าจะปกปิดไม่มิดอย่างแน่นอน!”
หรงเฟยถอดถอนใจ “เหิงเสวียน จิตใจของเ้าผดุงคุณธรรม แต่เ้าดูสารรูปในตอนนี้สิ ตกอับยากแค้น ใช้ชีวิตเป็อย่างไร”
“เ้าดูอย่างชิวเย่สิ บัดนี้ได้ตั้งสำนักขึ้นมาเอง ได้รับความเคารพจากผู้คน ชื่อเสียงระบือไปทั่วใต้หล้า”
“ใจของเ้ายอมรับเื่นี้ได้จริงๆ ใช่ไหม?”
……
หลังจากที่เดินออกจากห้องลับ สีหน้าอาจารย์เฟิงเสวียนดูจ๋อยไปถนัดตา ร่างกายแผ่ซ่านความโกรธเคือง
มู่อวิ๋นจิ่นไปประชิดตัว ใคร่อยากถามในสิ่งที่ทั้งคู่สนทนากัน ด้วยความกระหายใคร่รู้ความเป็มาเป็ไป
“นางหนู” อาจารย์เฟิงเสวียนหยุดเดิน
“ทำไมหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นเงยหน้ามอง
อาจารย์เฟิงเสวียนจ้องตาไม่กระพริบ “ข้าเป็คนที่ผดุงคุณธรรม หรือว่าความคิดเช่นนี้ผิดไปแล้ว?”
มู่อวิ๋นจิ่นงวยงงด้วยไม่เข้าใจความหมายที่อาจารย์เฟิงเสวียน้าสื่อ จึงส่ายหน้าไปมา “จิตใจที่ผดุงคุณธรรมนั้นไม่ผิดหรอก จะผิดก็เพราะคนอื่นไม่คิดผดุงคุณธรรมเหมือนกันต่างหาก”
“เื่ราวของหรงเฟย มีความลับอะไรแอบแฝงอีกหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นหรี่ตาลงเค้นถามขึ้น เนื่องจากบนสนทนาของทั้งคู่นั้น ธิดาหงส์คงมิใช่ฐานะที่ได้มาอย่างง่ายดายเป็แน่
“เื่นี้นางหนูอย่างเ้ายังไม่จำเป็ต้องรู้ มันไม่มีประโยชน์กับเ้าแม้แต่น้อย” อาจารย์เฟิงเสวียนหันหน้าไปทางอื่น
มู่อวิ๋นจิ่นมองอาจารย์เฟิงเสวียนด้วยสายตาแข็งทื่อ “แต่เื่นี้เกี่ยวพันไปถึงฉู่ลี่ ข้ามีสิทธิ์ที่จะรู้ได้”
“เชอะ วันนี้เ้าช่างน่ารำคาญเสียจริงเชียว!” อาจารย์เฟิงเสวียนไม่เต็มใจตอบคำถาม จึงเดินออกจากวัดสุ่ยอวิ๋นไป
“ให้เวลาข้าได้ครุ่นคิดก่อนเถอะ ฝ่าาจองจำหรงเฟย นอกจากนางมีฐานะเป็ธิดาหงส์แล้ว ยังมีเื่ใดที่นางยังไม่ทราบอีก?”
มู่อวิ๋นจิ่นนิ่งไปชั่วขณะ และเอ่ยทีละคำๆ อย่างเชื่องช้า “ห้องลับและค่ายกล เป็ฝีมือของหรงเฟยทั้งหมด”
“เ้า……” แววตาาของอาจารย์เฟิงเสวียนลอกแลกและลนลาน พร้อมหันมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความใ
“ข้าเดาถูกแล้ว?” มู่อวิ๋นจิ่นฉีกยิ้มมุมปากให้กับสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอาจารย์เฟิงเสวียน
อาจารย์เฟิงเสวียนชี้หน้ามู่อวิ๋นจิ่นต่อว่าออกมา “เื่ของผู้ใหญ่รุ่นก่อน เ้าไม่ต้องเข้ามายุ่งย่าม!!!”
“แต่หรงเฟยถ่ายทอดวิชาตำหนักหวงอวี่ให้ข้าแล้ว ในตอนนี้ข้าถูกดึงเข้ามาร่วมโดยไม่ทันตั้งตัว ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพอเดาได้ว่าพวกท่านต้องมีเื่อื่นที่ยังปิดบังอยู่ นี่เป็สิ่งที่ข้าใคร่รู้ยิ่งนัก ข้าไม่อยากเป็คนโง่ที่ถูกจูงจมูกไปไหนต่อไหนตามอำเภอใจของใครๆ” หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นได้รับวิชาตำหนักหวงอวี่ ก็เกิดเื่วุ่นวายเยอะแยะพุ่งมาที่นาง บัดนี้นางรู้แล้วว่าหรงเฟยมีบางอย่างที่ยังปกปิดอยู่ จะให้นางทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้คงมิเป็ไปไม่ได้
อาจารย์เฟิงเสวียนเห็นว่ามิอาจสู้ฝีปากของมู่อวิ๋นจิ่นได้อีกต่อไป จึงลากนางเข้ามาใกล้ๆ กระซิบอย่างแ่เบา “เ้าเคยได้ยินเื่ที่ว่าในใต้หล้ามีป้าอยู่แผ่นหนึ่ง ชื่อว่าประกาศิตเทพเวหาบ้างไหม?”
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้าพลาางปฏิเสธ แต่พอได้ยินชื่อ “ประกาศิตเทพเวหา” ใจของนางกับเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าเ้าไม่เคยเห็นก็ไม่ใช่เื่แปลก หลายปีมานี้ พวกเราได้ยินว่ามีแผ่นป้ายประกาศิตเทพเวหาอยู่ ทว่ายังไม่มีผู้ใดเคยได้พบมันมาก่อน!”
“อย่างนั้นอาจารย์จะเอ่ยถึงประกาศิตเทพเวหาไปทำไม?” มู่อวิ๋นจิ่นสงสัยใคร่รู้
อาจารย์เฟิงเสวียนฉีกยิ้มเล็กน้อย ก่อนหุบลงทันใด “เล่ากันว่า หากพบป้ายประกาศิตเทพเวหา จะสามารถเรียกรวมิญญาที่ตายไปแล้ว มาเรียกใช้งานได้ตาม้า และจะกลายเป็ผู้มีอำนาจในใต้หล้าแห่งนี้ที่สุด”
“มันมีฤทธิ์มากขนาดนั้นเชียว? พวกท่านคงมิได้อ่านนิยายเทพเซียนจนเพ้อเจ้อออกมาใช่ไหม?” มู่อวิ๋นจิ่นคิดว่าเื่นี้เป็ไปไม่ได้
“เมื่อครู่ข้าเปิดคัมภีร์ที่คงซื่อทิ้งไว้ ในคัมภีร์เล่มนั้นได้เอ่ยว่าก่อนที่เขาเสียชีวิต ได้พบแผ่นป้ายประกาศิตเทพเวหา จากนั้นมันเรืองแสงขาวโพลนไปทั่ว หายวับไปต่อหน้าต่อตา”
“คัมภีร์เกี่ยวกับป้ายประกาศิตเทพเวหา เขาได้เขียนขึ้นก่อนสิ้นใจในคืนนั้น”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังแล้วขนลุกซู๋ไปทั้งตัว “แล้วป้ายประกาศิตเทพเวหาเกี่ยวอะไรกับหรงเฟยด้วย?”
“เกี่ยวข้องแน่นอน” อาจารย์เฟิงเสวียนกระซิบข้างหูอีกครั้ง
ชั่วพริบตาเดียว สีหน้าของมู่อวิ๋นจิ่นซีดขาว ดวงตาเบิกโพลง อ้าปากค้างขึ้นด้วยความใ
หลังจากนั้นพักใหญ่ มู่อวิ๋นจิ่นพยายามรวบรวมสติไตร่ตรองถึงสิ่งที่อาจารย์เฟิงเสวียนเล่า “ตอนนี้ฉินมู่เยว่เป็เทพธิดาหงส์ เื่นี้สำหรับตระกูลฉิน ถือว่าเป็กำลังสำคัญให้ตระกูล”
“เ้าว่าอะไรนะ? นางเป็ธิดาหงส์?” อาจารย์เฟิงเสวียนอ้าปากตาค้าง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่นบอก
มู่อวิ๋นจิ่นเบะปากหันมองด้วยสายตาแน่นิ่ง “ฉินไท่เฟยเป็คนเล่าเอง ว่าเคยเป็รอยรูปหงส์ปรากฏที่หลังของฉินมู่เยว่ ซึ่งเหมือนกับที่มีบนหลังของหรงเฟย”
“ฉู่ลี่คงทราบเื่นี้ดีกว่าใคร”
……
การมาที่วัดสุ่ยอวิ๋นในครั้งนี้ มู่อวิ๋นจิ่นไม่แน่ใจว่านางได้กำไรหรือขาดทุนกันแน่ การได้รู้เื่สำคัญมากมายรวดเดียว ทำให้สมองของนางยุ่งเหยิงกันไปหมด
เริ่มจากเื่ที่ฉินมู่หนานกับเ้าของร่างเดิมมู่อวิ๋นจิ่นมีความปฏิพัทธ์ต่อกัน ตามด้วยเื่ของหรงเฟย จากนั้นเป็ของฉู่ลี่……
เห้อ! ช่างเถอะ! ไม่อยากคิดให้ปวดหัวแล้ว!
“อย่างนั้นการเรียนวิชาทำลายค่ายกลและขับจิติญญาดอกบัวดำ คงไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้วสิท่า?” มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นลูบอก หันไปถามอาจารย์เฟิงเสวียน
“ทุกอย่างแล้วแต่การตัดสินใจของเ้าเลย นางหนู”
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นรถม้าจอดลงหน้าจวนแล้ว ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวไปมา ั้แ่เช้ายันมืด ทำไมไม่มีเื่ใดให้นางได้สบายใจบ้างเลย
มู่อวิ๋นจิ่นรีบสาวเท้าเดินไปที่เรือนลี่เฉวียนอย่างรีบร้อน พอมาถึงกลับเห็นฉู่ลี่นั่งจิบชาอ่านหนังสืออย่างสบายอุรา
พอเห็นหน้าฉู่ลี่ ในหัวของนางมีเื่ที่อาจารย์เฟิงเสวียนเล่าเมื่อครู่ผุดขึ้นมาตลอด สีหน้าไม่เป็ธรรมชาติเหมือนปกติ นางยกมือทักทายฉู่ลี่อย่างลวกๆ
ฉู่ลี่เห็นนางวันนี้ไม่ค่อยเป็สุขเท่าไหร่ แต่เขากลับมีความสุขขึ้นมา “วันนี้เ้าไม่มีความสุขเหรอ?”
“ห๊ะ?” เดิมทีมู่อวิ๋นจิ่นอยากเดินเข้าไปที่ห้องพักผ่อน แต่พอเห็นฉู่ลี่เอ่ยขึ้นจึงหยุดลง “ทำไมข้าจะไม่มีความสุข วันนี้ไปอยู่ที่วัดสุ่ยอวิ๋นทั้งวัน รู้สึกเหนื่อยเท่านั้นเอง”
ฉู่ลี่ได้ยินได้ฟัง ยกมือขึ้นไปรินน้ำชาให้มู่อวิ๋นจิ่น “นั่งลงจิบชาก่อนเถอะ”
มู่อวิ๋นจิ่นยอมนั่งแต่โดยดี เห็นเบื้องหน้าเป็น้ำชาร้อนๆ ในใจกลับมีความสุขนิดๆ นึกไม่ถึงว่าฉู่ลี่จะรินน้ำชาให้
ช่างเป็เื่ที่หาได้ยากเหลือเกิน!!!
“ทานมันลงไป” ฉู่ลี่หยิบกล่องเล็กออกมาจากอ้อมอก เปิดออกดูเป็ยาสีขาวเม็ดหนึ่ง
“นี่คืออะไร?” มู่อวิ๋นจิ่นยกยาสีขาวเม็ดกลิ้งไปในมือ
“เป็ยาที่สามารถขับิญญาดอกบัวดำในร่างกายเ้าได้” ฉู่ลี่อธิบาย
มู่อวิ๋นจิ่นแอบชะงักไปชั่วขณะ เงยหน้ามองฉู่ลี่ด้วยความสงสัย “ยาขับิญญาดอกบัว? แต่ข้ายังเรียนวิชาทำลายไม่สำเร็จเลย?”
“ไม่ต้องแล้ว วิธีทำลายค่ายกล เปิ่นหวงจื่อจะคิดหาวิธีอื่นเอง” ฉู่ลี่ใช้วิชาทำให้อีกฝ่ายไม่เห็นตาดำบนใบหน้าเขา
มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา หรือว่าฉู่ลี่จะรู้ความจริงเกี่ยวกับค่ายกลนี้ ดังนั้นไม่อยากให้นางร่ำเรียนวิชาอีกต่อไปแล้ว?
มู่อวิ๋นจิ่นลดสายตาลง เม้มริมฝีปาก คิดเสียว่าในเมื่อฉู่ลี่ไม่พูดออกมาโดยตรง นางก็จะไม่เป็คนเอ่ยออกมาก่อน และขอเลือกทำตามที่ฉู่ลี่้าก็แล้วกัน
ดังนั้นนางจึงอ้าปากโยนขาวเข้าไป ยกน้ำชาขึ้นดื่ม กลืนเม็ดยาลงไป