สำหรับอันเหนียงแล้วสาวน้อยตรงหน้า ไม่ต่างอะไรไปจาก ลูกแกะไร้เดียงสา ที่เดินเข้ามาในถ้ำหมาป่าด้วยตนเองนางมั่นใจในชั้นเชิงความชั่วร้ายของตนยิ่งนักบนโต๊ะคืออาหารคาวหวานมากมายทุกจานล้วนเจือปนด้วย ผงบุปผาแห่งนิทรายาอันร้ายกาจที่ทำให้ผู้ดื่มกินเข้าสู่ห้วงฝันลึกล้ำหมดสติ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกรีดร้องของตัวเอง
อันเหนียงและลูกชายของนางกินยาแก้ไปล่วงหน้าแล้วต่อให้กินอาหารตรงหน้าสักเพียงใด ก็ไม่มีวันได้รับผลกระทบคืนนี้…สาวน้อยตรงหน้านางจะกลายเป็เหยื่อและนางจะช่วยทำให้ ความฝันของบุตรชายกลายเป็จริงเสวียนหนิงยกตะเกียบขึ้น ตักอาหารเข้าปากอย่างสงบแล้วกล่าวชมด้วยน้ำเสียงนุ่มเรียบ
“ท่านป้า ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า…ฝีมือทำอาหารของท่านจะดีถึงเพียงนี้”
อันเหนียงเพียงยกยิ้มบางๆก่อนจะตักอาหารเข้าปากเล็กน้อยอย่างเป็พิธีข้างกายนางอันฉือ กลับยิ้มกว้างตาเป็มันด้วยความตื่นเต้นและพูดออกมาอย่างไร้การยับยั้ง
“เ้ากินเยอะๆ นะ…ฮิๆ…เ้าจะได้เป็ของฉือไวๆ!”
คำพูดนั้นทำเอาอันเหนียงแทบอยากตีมือบุตรชายแต่ก็เก็บอาการไว้อย่างไรเสีย หากหญิงสาวกินอาหารเข้าไปแล้วไม่นานก็จะดิ้นไม่หลุดอยู่ดีเสวียนหนิงยังคงสงบค่อยๆ วางตะเกียบลงแล้วทำทีว่าสายตาพร่าเลือนลมหายใจสะดุดร่างเอนโอนราวกับหมดเรี่ยวแรง “นี่…มันเกิดอะไรขึ้น…”
เสียงของนางแ่เบาก่อนที่ร่างจะทรุดลงฟุบกับโต๊ะผมดำสยายคลุมแก้มบางอันเหนียงยกยิ้มมุมปากรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมด้วยความพึงพอใจอันฉือตบมือ เปาะแปะ อย่างไร้ความยับยั้งดวงตาของเขาเบิกกว้างเป็ประกายวิปลาสเมื่อเห็นเสวียนหนิงฟุบลงกับโต๊ะอย่างหมดสติ
“ท่านแม่! ฮิๆ… ในที่สุดข้าก็จะได้นางแล้วใช่ไหม?” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความหื่นกระหายคล้ายสัตว์ร้ายที่ได้กลิ่นเหยื่ออันโอชะสายตาโลมเลียไร้ซึ่งความเป็มนุษย์อันเหนียง ผู้เป็แม่ มองลูกชายด้วยสายตาเอ็นดูผิดที่ผิดทาง“ลูกแม่…ร่างของนางก็เหมือนสินค้าที่มีตำหนิเท่านั้น”
นางเอ่ยเสียงนุ่ม “หากเ้าพอใจจนเบื่อเมื่อไหร่ ก็แค่เขี่ยทิ้งเสีย แม่จะหาสตรีที่ดีกว่าให้เ้าเอง”
แต่เ้าอ้วนกลับส่ายหัวพลางน้ำลายไหลเลอะปาก “ไม่เอา ไม่เอา! ลูกรักนาง…นางจะเป็ของเล่นที่ลูกไม่เคยเบื่อ…ฮิๆ”เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ร่างของเสวียนหนิง “ท่านแม่ ออกไปสิ ออกไป! ลูกจะเล่นกับนาง!”
อันเหนียงแม้จะไม่พอใจ แต่ก็ยอมถอยนางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนหมุนตัวเดินไปทางประตู
ทว่า…ก่อนที่นางจะจับกลอนประตู ปัง! เสียงกรีดร้อง ดังสะท้อนทั่วบ้านตามด้วยเสียง กระดูกหักดังกร๊อบ! “อ๊ากกกกกกก!!!”
เสียงร้องของอันฉือโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือดอันเหนียงสะดุ้งเฮือก รีบหันกลับไปทันที
“อันฉือ! เกิดอะไรขึ้นกับเ้า!?”
ภาพที่นางเห็นทำให้หัวใจแทบหยุดเต้นลูกชายของนางแขนอันอ้วนท้วนกลับถูกบิดจนผิดรูปเหมือนดินเหนียวที่ถูกหักกลางเขานอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้น น้ำลายไหลยืด ผสมกับเสียงร้องไม่เป็ภาษาและเหนือร่างของเขา…เสวียนหนิงกำลังยืนอยู่ นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อยสายตาคมกริบไม่มีความไร้เดียงสา มีเพียงความเ็าและความน่าสะพรึงที่นางสวมใส่เสมือนอาภรณ์เดิมของตนเสียงของนางดังกังวานและเย็นเยียบจนทำให้หัวใจคนฟังสั่นไหว
“พวกเ้านี่…ดูสนุกกันใหญ่เลยนะที่กำลังเหยียบย่ำชีวิตของผู้อื่นเช่นนี้”
สีหน้าของอันเหนียงบิดเบี้ยวด้วยความใและหวาดผวา ความมั่นใจที่เคยมีพลันพังทลายลงในพริบตาภายในหัวของนางเต็มไปด้วยความสับสน
“นี่เ้า…ฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร…?” น้ำเสียงสั่นเครือ “มันคือ ผงบุปผาแห่งนิทรา นะ! ใครกินก็ต้องหลับไม่รู้สึกตัว!”
เสวียนหนิงเพียงยิ้มบางๆ สำหรับอดีตมือสังหารผู้ผ่านพิษมายาวนานยานอนหลับระดับพื้นๆ เช่นนี้ย่อมไม่อาจทำอะไรนางได้อยู่แล้วเบื้องล่างอันฉือยังคงร้องครวญครางร่างพลิกไปมาอย่างน่าสมเพช“แม่จ๋า…ช่วยลูกด้วย…ลูกเจ็บ…เจ็บเหลือเกิน…”
เสวียนหนิงปรายตามองก่อนนางจะหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วใช้มันกดเข้าที่ต้นคอของอันฉือในจุดที่ทำให้เสียงของเขาขาดหายไปในทันทีร่างของเขายังขยับได้ แต่ไม่อาจร้องออกมาได้อีก
“ค่อยสบายหูขึ้นหน่อย” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงพึงพอใจเล็กน้อยราวกับเพิ่งกำจัดเสียงรบกวนที่น่ารำคาญออกไปเท่านั้น
“นางสารเลว! เ้า—เ้าได้ทำอะไรลูกของข้า!”อันเหนียงกรีดร้องด้วยความแค้นและสิ้นหวังเสวียนหนิงหันมามองนางช้าๆสายตาไร้ความรู้สึกใดๆ
“เด็กคนนั้น…ก็เป็เพียงเงาของคนที่ไร้สติปัญญาจะตัดสินชะตาตนเองได้” น้ำเสียงเรียบนิ่ง“และเ้าก็เป็ผู้ผลักเขาให้เป็แบบนี้เองมิใช่หรือ”
ก่อนที่อันเหนียงจะเอ่ยคำด่าทอ เสวียนหนิงก็ใช้ตะเกียบเคาะเข้าจุดสำคัญตรงหน้าผากของนางร่างหญิงชราทรุดลงทันทีอย่างไร้เรี่ยวแรงลมหายใจสิ้นสุด ไม่ต่างจากลูกชายของนาง
“ข้าส่งพวกเ้าสองแม่ลูกไปให้ถึงนรก…” นางพึมพำเสียงแ่ “เพื่อจะได้ไม่ทำร้ายผู้คนอีก”
เสวียนหนิงเดินออกจากเรือน หยิบคบไฟที่วางอยู่ข้างกำแพง และโยนกลับเข้าไปโดยไม่ลังเลไฟลุกพรึ่บขึ้นทันที ลามตามผนังไม้แห้งแสงเพลิงสะท้อนบนใบหน้าของนางที่ยังคงเรียบนิ่งไร้อารมณ์นางหมุนตัวเดินหายไปในความมืดดุจเงาไร้ตัวตนและเรือนของอันเหนียงก็ถูกกลืนหายไปในทะเลเพลิงภายในคืนนั้นแม้เปลวไฟจะลุกสว่างไปครึ่งหมู่บ้านแต่กลับไม่มีผู้ใดตั้งคำถามไม่มีผู้ใดเอะใจแม้แต่น้อยเพราะทุกคนล้วนคิดง่ายๆ ว่าอันฉือ…คงก่อเื่อีกตามเคย
