ข้านำงูกลีบดอกมัดติดกับกิ่งไม้แล้วย่างบนกองไฟเพิ่มรสชาติด้วยเกลือเล็กน้อย ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีพริกไทยกับยี่หร่าไม่อย่างนั้นคงสมบูรณ์แบบกว่านี้
ปู้เสวียนยินนั่งลงข้างๆเสื้อคลุมตัวยาวปกคลุมท่าทางที่มีเสน่ห์นั้นไว้แววตาเป็ประกายมองดูข้าที่กำลังวุ่นอยู่กับเนื้องู “เสี่ยวเชวียนเ้าไปเรียนทำอาหารมาจากไหน?”
“ที่ถนนแห่งความตายไง...บางครั้งข้าก็ต้องล่าสัตว์มาทำกินเองบางครั้งก็ต้องทนหิวติดต่อกันสามวันสามคืน ไม่อยากพูดเลยว่าลำบากแค่ไหน…”ข้าพูดไปพลางพลิกงูย่างไม่ให้ไหม้
ปู้เสวียนยินได้ยินแล้วพูดอย่างเหม่อลอย“ตอนนั้นข้ายุ่งจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลยพอมา่หลังข้าเคยไปที่เขตเหนือครั้งหนึ่งแต่ก็หาเ้าไม่พบ...แต่หลังจากนี้ข้าสัญญาว่าจะไม่ให้เ้าลำบากแบบนั้นอีกเป็อันขาด”
“อันที่จริงก็ไม่ลำบากอะไรหรอก” ข้าหันไปมองนางแล้วพูดต่อ“ทุกอย่างล้วนให้ประสบการณ์แก่ข้า ชีวิตที่เต็มไปด้วยความขมขื่นแต่ก็ยังสุขได้ฉะนั้นข้าไม่มีวันเสียใจภายหลังหรอก ส่วนท่านก็ไม่ต้องโทษตัวเอง”
นางยกยิ้มแล้วชื่นชม“นี่เป็จิตใจที่ผู้กล้าทุกคนควรจะมีจริงๆ”
“ท่านพี่พาข้ามาที่หุบเขาหลิงหยุนนี้ตั้งสองวันแบบนี้เรียกว่าเที่ยวได้ไหมนะ?”
“คงอย่างนั้นมั้ง แต่ก็ไม่เชิงซะทีเดียว” ภายใต้แสงเหลืองนวลจากดวงจันทร์นางช่างสดใสสวยงามราวกับเทพธิดาเสียจริง “ถ้าเป็ไปได้ข้าอยากจะใช้ชีวิตแบบนี้จัง”
“แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”
ข้าถามกลับ“ตอนนี้ข้าก็อยู่เคียงข้างท่าน ท่านพี่ก็อยู่เคียงข้างข้า เพียงแค่ท่านบอกข้าก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อท่านทันที”
“จริงเหรอ?”
นางอมยิ้มสีหน้าอิ่มเอม“พี่สาวคนนี้สำคัญกับเ้าขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว ท่านและท่านพ่อเป็คนในครอบครัวของข้านี่นา”
“ฮึ นับว่าเ้ายังรู้บุญคุณอยู่บ้าง” นางดูเศร้าลงเล็กน้อยก่อนจะพูดเบาๆ“ข้าเกรงว่าความสงบจะอยู่ได้อีกไม่นาน เมื่อเร็วๆนี้ข้าได้ข่าวจากต่างแดนเื่พ่อค้าหายตัวไปข้าสงสัยว่าสิ่งที่ซ่อนเร้นในความมืดเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง ถึงตอนนั้นแม้แต่เทพศาสตราวุธอย่างข้าคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกส่งไปในา”
“ต่างแดน...”
ข้านิ่งเงียบพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ“ใช่ พวกมันเริ่มอาละวาดมากขึ้นเรื่อยๆข้าเชื่อว่าาบนแผ่นดินหลงหลิงคงจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า”
ปู้เสวียนยินมองข้าด้วยดวงตาคู่สวย“ฉะนั้น เสี่ยวเชวียนเ้าต้องรีบโต และยืนหยัดได้ด้วยตัวเองเพราะข้าไม่สามารถปกป้องเ้าได้ตลอด เ้าต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองต้องแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อหยัดยืนอยู่บนแผ่นดินหลงหลิงอย่างภาคภูมิใจไม่ว่าใครหน้าไหนก็รังแกเ้าไม่ได้”
ข้าพยักหน้ารับ“ท่านพี่ ข้าต้องทำได้แน่ เพราะข้าพยายามมาโดยตลอด...”
“อืม ข้าเชื่อในตัวเ้า”
นางยิ้มขึ้นเล็กน้อยสีหน้าดูเหนื่อยล้าก่อนจะหลับตาแล้วพิงกำแพงหิน
ข้านั่งลงใกล้ๆดึงเสื้อคลุมลงมาปิดหน้าท้องที่โผล่ออกมา
ผ่านไปได้ไม่นานเนื้องูก็สุกส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย
ข้าดึงที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมาแล่เนื้องูเป็ชิ้นบางๆลิ้มรสชาติที่หวานนุ่มจนแน่ใจ ก่อนจะตัดแบ่งให้พี่เสวียนยิน “ท่านพี่มาลองชิมเร็วว่ามันอร่อยหรือเปล่า!”
ปู้เสวียนยินลืมตาแล้วยื่นมือรับ“ว้าว หอมมาก ไหนข้าลองชิมหน่อยสิ”
หลังจากกัดไปหนึ่งคำแล้วลิ้มลองรสชาติอยู่นาน จากนั้นนางจึงพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวนี่ถ้าไม่ขาดเครื่องปรุงไปนิดหน่อยคงจะเทียบฝีมือกับพ่อครัวร้านอาหารนอกสำนักได้เลยล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ต้องกินเยอะๆ นะ”
“อือ เ้าด้วย”
งูกลีบดอกเกือบห้ากิโลเพียงพอที่จะทำให้พวกเราอิ่มแต่พี่เสวียนยินกลับกินไปแค่นิดเดียวเท่านั้น ข้าจึงต้องจัดการส่วนที่เหลือจนหมดหลังจากกินอิ่มและดื่มน้ำที่ได้จากลำธาร ข้าถึงได้ัักับความสุขที่สุดในชีวิต
ข้าออกไปเก็บฟืนและกลับมาก่อไฟในถ้ำ
สัตว์ิญญาพวกนี้กลัวไฟไม่ว่าจะเป็สัตว์ิญญาระดับหกหรือมากกว่านั้นดังนั้นจะต้องก่อไฟเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เข้ามาใกล้ หรือทำร้ายขณะหลับได้ทักษะข้อนี้ถือเป็พื้นฐานในการเอาชีวิตรอดในป่า
...
ท่อนไม้ชื้นในกองไฟส่งเสียงระเหยของน้ำออกมาพี่เสวียนยินและข้าที่ผ่านการเดินทางอย่างหนักจนเหนื่อยล้านั่งลงบนใบไม้แห้งพลางพิงก้อนหินแล้วผล็อยหลับไป
ป่าในฤดูใบไม้ร่วงนั้นอากาศเย็นเยือกลมเย็นพัดผ่านถ้ำทำให้สั่นสะท้านไปทั้งตัว ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องกระทบ
ข้านอนลงข้างๆพี่เสวียนยิน แต่จู่ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นในใจจนนอนไม่หลับ
นางปรือตามองข้าอย่างเป็ห่วง“เป็อะไร ต้องกอดถึงจะนอนหลับเหรอ?”
ใจข้าเต้นตึกตัก“ได้เหรอ?”
“มาสิ”
ข้าเหยียดแขนออกอ้ารับพี่เสวียนยินเข้าแนบอกทั้งสองคนกระชับลำตัวเข้าหากันเพื่อสร้างความอบอุ่น ใบหน้าของนางซบที่ลำคอของข้าลมหายใจเข้าออกที่อบอุ่นเป่ารดลงบนผิวอย่างแ่เบา จู่ๆความรู้สึกบางอย่างก็ไหลแล่นเข้ามา
ช่างเป็ค่ำคืนแห่งนิทราอันแสนหวานทว่าเมื่อตื่นขึ้นกลับพบว่าตัวเองนอนอยู่บนทุ่งหญ้าส่วนปู้เสวียนยินกำลังตักน้ำแร่ก่อนจะยื่นให้“ข้าถือโอกาสยามพระอาทิตย์ขึ้นไปหายาสมุนไพรที่อยู่บริเวณรอบๆ มาเพิ่มให้เ้าจะได้ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตมาที่นี่อีก”
ข้าถูจมูกแล้วพูดไปว่า“ทั้งที่ไม่ใช่พี่แท้ๆ แต่ทำไมจึงรู้ว่าถ้ากลับมาแล้วจะถูกทำร้ายล่ะ!”
“ฮึ ข้าเดาน่ะ”
ข้าดื่มน้ำดับกระหายแล้วอุ่นเนื้องูสำหรับมื้อเช้าจากนั้นจึงออกเดินทางเพื่อค้นหาสมุนไพรต่อ ในชั้นที่สี่ของหุบเขามีสัตว์ลึกลับอาละวาดเต็มไปหมดที่นี่เป็สถานที่ต้องห้ามสำหรับมนุษย์เพราะเมื่อคืนพี่เสวียนยินได้ถอนรากถอนโคนงูพวกนั้น จึงไม่มีสัตว์ิญญามารบกวนอีกข้ามุ่งตรงไปด้านหน้าและใช้ตาทิพย์มองหาพลังของยาสมุนไพรอย่างละเอียดเช่นเดียวกับพี่เสวียนยินที่ช่วยออกตามหาอีกแรง
“ตรงนั้น...” นางชี้ไปยังจุดหนึ่ง ซึ่งรกทึบไปด้วยเถาวัลย์สูงประมาณสิบเมตร
ยิ่งข้าเดินเข้าไปใกล้หัวใจก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้นพลังตาทิพย์จับกลิ่นอายของพลังที่แข็งแกร่งภายใต้ต้นนั้นได้ด้านล่างของต้นมีใบไม้ใบหนา แต่เมื่อดึงใบออกไป แสงสีทองจางๆ ก็ปรากฏอยู่ด้านล่างนั่นคือโสมโลหิต! เหง้าสีทองอร่ามแสดงว่าต้องมีอายุนานหลายปี
“ว้าว...” ข้าดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่
ปู้เสวียนยินยิ้มบาง“ขุดระวังๆ หน่อยล่ะ อย่าให้หักเชียว ไม่อย่างนั้นพลังวิญาณจะจางหายไปหมด”
“อื้ม”
ข้าใช้กริชขุดลงในโคลนอย่างระมัดระวังโคลนพวกนี้ถูกปกคลุมด้วยพลังอ่อนๆ หรือแม้แต่บริเวณรอบๆของโสมโลหิตก็ยังมีพลังที่น่าใ
ไม่นานโสมโลหิตขนาดเท่าฝ่ามือที่รูปร่างคล้ายคนก็อยู่ในมือ
พี่เสวียนยินฉีกยิ้ม“ดูๆ แล้วน่าจะอายุราวสามร้อยปีมิน่าล่ะถึงไม่มีคนเคยเห็น...ที่แท้ซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้นี่เอง พวกเรานี่โชคดีจริงๆ...”
“ใช่ๆ!”
ข้าถือโสมโลหิตอย่างเบามือและนำไปเก็บไว้ในถุงผ้า
ข้าเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ใหญ่เหนือหัวเดาได้ว่าเถาวัลย์พวกนี้น่าจะอยู่ที่นี่อย่างน้อยสองพันปีหากใช้ห้าคนโอบคงไม่ถึงรอบ แม้แสงแดดจะเล็ดลอดลงไม่ได้ทว่าใบไม้กลับเขียวชอุ่มอย่างสมบูรณ์ “ตำราหญ้าิญญาบันทึกไว้ว่า ต้นไม้โบราณที่ดำรงอยู่มานานกว่าพันปีิญญาและสารอาหารที่ปกคลุมตามลำต้นนั้นเพียงพอที่จะก่อให้เกิดยาิญญาที่มีฤทธิ์มหาศาลพวกเราขึ้นไปดูข้างบนกันเถอะว่ามีไหม?”
“อื้ม!”
ปู้เสวียนยินจับแขนของข้าแล้วพาทะยานขึ้นไปกว่าสิบเมตรก่อนจะค่อยๆ ร่อนลงตรงลำต้นหนา เมื่อมองลงไปด้านล่างกิ่งของต้นไม้เก่าแก่ได้แผ่กว้างออกกว่าหนึ่งเมตรและ้ายังมีมูลนก ฝุ่น และอื่นๆ อีกมากมายรวมถึงบางอย่างที่มีสีแดงเพลิงขดตัวอยู่เหนือกิ่งไม้ใหญ่ด้วย!
จู่ๆหัวใจของข้าก็เต้นเร็วขึ้นมา พลางจับมือของปู้เสวียนยินไว้แน่น“ท่านพี่ท่านเห็นไหม มันมีอยู่จริงๆ ด้วย นั่น...งาิญญาวิหค!”
“อืม เข้าไปดูกัน”
พวกเราร่อนลงใกล้กับงาิญญาวิหคแขนของมันยาวเหมือนขนนกฟีนิกซ์ที่สีแดงดุจเปลวเพลิงทำให้ััได้ถึงพลังิญญาอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์งาิญญาวิหคนี้มีอายุราวแปดร้อยปี หลายปี ซึ่งไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อนและคงมีผู้ฝึกฝนไม่กี่คนที่ฝ่าฟันมาได้ถึงจุดนี้
“งาิญญาวิหคหาพบได้ยากมากแม้แต่เมืองหลินเสี่ยเฉิงที่มีชื่อเสียงก็ยังไม่มีขายในตลาด เ้าเด็กน้อยโชคของเ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ...” เสวียนยินพูดด้วยพวงแก้มสีแดงระเรื่อ
ข้าพยักหน้า“คงเพราะมีท่านพี่อยู่ ข้าเลยโชคดีขนาดนี้!”
นางอมยิ้มแสดงท่าทางดีใจ
ข้านำรากของงาิญญาวิหคออกมาอย่างระมัดระวังและพับใส่ลงในกระเป๋า ทันใดนั้นจึงรับรู้ได้ถึงความหนักทั้งงาิญญาวิหคบวกกับโสมโลหิต รวมแล้วน่าจะประมาณสิบกิโลกรัมเห็นจะได้
ปู้เสวียนยินพูดเตือน“เสี่ยวเชวียน ทางสำนักการจัดการหุบเขาหลิงหยุนมีกฎระเบียบเื่น้ำหนักของยาสมุนไพรและจินตานที่นำออกไปว่าห้ามเกินสิบกิโลกรัมมิฉะนั้นทุกอย่างจะถูกยึดเก็บไว้ในโกดังของสำนักพวกเรารวบรวมได้เพียงพอที่จะให้เ้าใช้ได้ถึงครึ่งเดือนแล้ว เรากลับกันเถอะไม่อย่างนั้นฟ้าจะมืดก่อนถึงสำนักหมื่นิญญา”
“อื้ม!”
...
ข้าก็ไม่ได้โลภมากจึงตามพี่เสวียนยินออกจากยอดเขาที่สี่
พักใหญ่จึงออกมาถึงรอบนอกของหุบเขาหลิงหยุนใน่ใกล้ค่ำพอดีระหว่างทางออกผู้ฝึกฝนิญญา นักลอบล่าสัตว์และผู้คนอีกมากมายต่างจ้องมองมาที่กระเป๋าอันหนักอึ้งของข้ารู้ได้เลยว่าข้างในต้องมีแต่ของดีๆ ที่ใครต่างตามหา แต่น่าเสียดายข้างกายเพราะข้างกายนั้นมีพี่เสวียนยินซึ่งมีผ้าคลุมเทพศาสตราวุธหญิงคลุมอยู่ มันไม่ใช่แค่ผ้าคลุมธรรมดาแต่เป็เหมือนด่านแรกที่ทำให้พวกนั้นล่าถอยออกไป
เมื่อถึงทางออกทหารสิบนายก็รีบกรูเข้ามาต้อนรับพร้อมกับก้มหัวเคารพ “เทพศาสตราวุธผู้ยิ่งใหญ่โปรดแสดงยาสมุนไพรตามกฎระเบียบของเราด้วย”
“อืม”
ข้าก้าวไปข้างหน้าแล้วเปิดถุงออกพลางนำโสมโลหิตสามร้อยปีและงาิญญาวิหคแปดร้อยปีวางลงบนโต๊ะพวกทหารต่างตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความยำเกรงพลางกระซิบกระซาบกัน
“ว้าว นั่นมัน...โสมโลหิตสามร้อยปีนี่!”
“บ้าไปแล้ว ยังมีงาิญญาวิหคแปดร้อยปีอีก...”
“ของหายากแบบนี้ ไม่แน่อาจต้องเข้าไปถึงใจกลางหุบเขาหลินหลงถึงจะได้มา!”
“น่ากลัว...”
...
พอชั่งน้ำหนักแล้วไม่ถึงสิบกิโลกรัมข้าจึงนำออกมาได้
ข้าเก็บของล้ำค่ากลับลงกระเป๋าพลางยิ้มร่าโบกไม้โบกมือ จากนั้นจึงเดินทางกลับเมืองหลินเสี่ยเฉิง ถ้าใช้โสมโลหิตบวกกับงาิญญาวิหคอย่างประหยัดคงเพียงพอให้สำหรับฝึกเคล็ดวิชาาได้ ขอเพียงแค่ขั้นที่สามไม่ว่าจะเจอคู่ต่อสู้อย่างจวงเหิงซิ่งที่อยู่ระดับ์ข้าก็สามารถเอาชนะได้แบบไม่ต้องพึ่งความบังเอิญ
ขณะนั่งรถไฟข้าได้แต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างอารมณ์ดี กระทั่งถึงสำนักหมื่นิญญาใบหน้าจึงเริ่มกระตุกเกร็งเพราะยิ้มมากเกินไป