เมื่อกลับมาถึงก็เป็เวลากว่าสองทุ่มแล้วพี่เสวียนยินตรงไปยังห้องทำงาน ส่วนข้าเดินตามทางเล็กๆ เพื่อกลับโรงเกลากระบี่ซึ่งใช้เวลาประมาณห้านาทีจึงจะถึง
ยังมีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่กลับเข้าหอพักบ้างกำลังฝึกฝน ไม่ก็วิ่งออกกำลังกายรวมทั้งศิษย์ชายหญิงที่ออกมาพลอดรักกันเสียส่วนใหญ่ส่วนตัวข้ายังคงแสดงท่าทีดีใจกับหญ้านานาชนิดที่มีอยู่เต็มกระเป๋า
ขณะกำลังเดินอยู่ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูของซูเหยียนและตั้นไถเหยาที่บังเอิญเดินมาพอดี
“เอ๊ะ! เสี่ยวเหยียนเ้าดูนั่นสิ นั่นเสี่ยวเชวียนไม่ใช่เหรอ?”
ตั้นไถเหยาที่เห็นข้ารีบพูดบอกส่วนซูเหยียนที่มองตามก็รีบดึงมือเพื่อนรักให้ตามมา
“เ้าหายไปไหนมาตั้งสองวันฮะ เ้าคนกินจุข้ากับอาเหยาไปที่โรงเกลากระบี่ก็ไม่เจอ”
“ข้าออกไปฝึกฝนและหาประสบการณ์ข้างนอก เพิ่งจะกลับมานี่แหละ”
“อ๋อ”
นางเดินมาใกล้พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ“มันก็จริง เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันทดสอบของศิษย์ใหม่แล้ว เ้าจะต้องรีบฝึกฝนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งนะ!”
ข้ายิ้มรับก่อนจะถามกลับ“ซูเหยียน ตอนที่เดินมาเมื่อกี้ข้าเห็นเ้าทำหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรเกิดเื่อะไรขึ้นหรือเปล่า?”
สีหน้าของนางสลดลงพลางก้มดูกระโปรงแล้วพูดต่อ“เมื่อกี้ข้ากับอาเหยาพากันไปเดินเล่นตามถนนแล้วถูกรถสามล้อเฉี่ยวจนกระโปรงตัวใหม่เสียหายน่ะสิมันน่าโมโหจริงๆ!”
“แบบนี้นี่เองแล้วเ้าได้ถามหรือเปล่าว่าทำไมถึงขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนั้น?”
“ข้ากำลังจะด่าอยู่หรอก แต่พอเห็นว่าเป็รถขายปลาหมึกย่างก็เลยถามราคาพอเขาบอกว่าไม้ละห้าเหรียญ ข้าก็ซื้อมาจนลืมเื่นั้นไปเสียสนิท...”
“เอ่อ...”
ข้ายิ้มเหยก่อนจะพูดต่อ“แล้วทำไมถึงออกมาเดินเล่นแทนที่จะอยู่ห้องฝึกฝนพลังล่ะ? หรือเพราะข้าไม่อยู่เลยมองว่าโรงเกลากระบี่ไม่เหมาะแก่การฝึกฝนแล้ว?”
ตั้นไถเหยาพูดขึ้น“ข้าเห็นว่าชุดที่สำนักให้ จะกี่ครั้งก็มีแค่แบบเดียว เลยชวนเสี่ยวเหยียนออกไปซื้อชุดใหม่ๆมาใส่บ้าง นี่ไงถุงเสื้อผ้า เ้าไม่เห็นเหรอ?”
พอก้มดูจึงเห็นถุงเสื้อผ้าที่นางบอกแต่ละตัวมาจากร้านดังทั้งนั้น เฮ้อ! พวกนางนี่ใช่เงินเปลืองซะจริงๆ
เทียบกับเงินของข้าตอนนี้รวมกันแล้วยังมีไม่ถึงร้อยเหรียญด้วยซ้ำ ข้าจึงรีบบอกปัดเพื่อหาเื่กลับโรงเกลากระบี่“ตอนนี้ลมปราณและพลังิญญากำลังพลุ่งพล่านจึงต้องรีบกลับไปฝึกฝนต่อข้าต้องขอตัวก่อนนะ”
ซูเหยียนตอบอย่างว่าง่าย“่นี้ข้ากับอาเหยาเองก็ยุ่งๆ คงไม่มีเวลาไปส่งข้าวให้แล้วนี่เ้ายังพอมีเงินซื้อข้าวกินอยู่หรือเปล่า?”
“มีๆ พวกเ้าวางใจได้”
“แล้วอีกอย่าง เมื่อวานข้าช่วยเ้าเอาอาหารให้ไก่พวกนั้นแล้วนะเ้านี่มันจริงๆ เลย! นึกจะไปก็ไป ไม่นึกถึงความรู้สึกไก่พวกนั้นหน่อยเหรอ!”
ข้าได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออกหากข้าเกิดรักและสงสารมันขึ้นมาจริงๆ จะลงมือฆ่าได้อย่างไรกัน? เป็ถึงผู้ฝึกฝนิญญาแต่แค่ไก่ยังฆ่าไม่ได้เื่ที่ต้องไปฆ่าคนยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย!
กลับมาถึงโรงเกลากระบี่ก็นั่งกินขนมเปี๊ยะที่แวะซื้อจากร้านข้างทางพร้อมกับน้ำอุ่นๆจนอิ่ม ตอนนี้ล่วงเลยมาถึงสามทุ่มแล้ว ถ้าจะไปหาเฉิ่นปู้หยุนก็คงจะดึกเกินไปช่างเถอะ! เพราะเขาเคยบอกเองว่าถ้ามีธุระก็ไม่ต้องไป อีกอย่างเขาคงไม่ได้ว่างสอนข้าตลอดอยู่แล้วเอาเป็ว่าวันนี้ฝึกฝนอยู่ที่โรงเกลากระบี่แล้วกัน
ก่อนฝึกฝนจึงคิดว่าจะกินงาิญญาวิหคเป็อย่างแรกและนำกระดาษมาห่อโสมโลหิตเก็บไว้ก่อน เพราะงาิญญาวิหคสูญเสียน้ำง่ายหากน้ำในงาแห้งเกินไปฤทธิ์ยาก็จะลดลงด้วย ส่วนโสมโลหิตมีเปลือกที่อุ้มน้ำและสภาพของอายิญญาได้เป็อย่างดีจึงมีอายุการใช้งานที่นานกว่า
พอจัดการเสร็จสรรพก็ลงมือฝึกฝนเคล็ดวิชาาทันที
เมื่อขยับแข้งขาให้เข้าที่และมั่นคงพลังแผ่ซ่านความเย็นออกมาดุจสายน้ำถือเป็ระดับสูงสุดของขั้นที่หกในวิชาลมหายใจั เมื่อใช้พลังของขั้นนี้เป็ฐานในการฝึกฝนเคล็ดวิชาาก็จะสามารถเพิ่มพูนได้หลายเท่าแต่หลังจากที่ข้าแสดงพลังของวิชาลมหายใจัออกมาตาทิพย์เริ่มเห็นแสงวาบพร้อมกับความรู้สึกอันคุ้นเคยที่เกิดขึ้นมาในหัวใจ
วูบ...
ภาพผืนดินรกร้างขนาดใหญ่ผุดเข้ามาในหัวก่อนจะเห็นกระบี่เล่มยาวเปล่งประกายแสงสว่าง ภายนอกไร้ซึ่งส่วนโค้งเว้าแต่ทื่อตรงดุจภาพวาด และเป็อาวุธประจำกายอย่าง ‘กระบี่คมจันทรา’ ของข้านั่นเอง!
ข้ารับรู้ได้ทันทีว่าภาพที่เกิดขึ้นคือสถานที่สร้างอาวุธประจำกายของที่มีชื่อว่า‘จุดประภพิญญา’
ในที่สุดจุดประภพิญญาของข้าก็ถูกปลุกขึ้นมา!
มีคำกล่าวไว้ว่า‘เห็นจุดประภพิญญาเท่ากับฝึกฝนขั้นพื้นฐานสำเร็จ’นั่นก็พิสูจน์แล้วว่าหลังจากที่ข้าฝึกฝนวิชาลมหายใจัจนถึงระดับสูงสุดในขั้นที่หกทำให้ข้าสามารถปลุกจุดประภพิญญาของตัวเองขึ้นมาด้วยซึ่งจุดประภพิญญาคือจุดที่สำคัญจุดหนึ่งของร่างกายใช้สำหรับสร้างอาวุธและเกราะิญญาขณะต่อสู้ขนาดพื้นที่ที่กว้างใหญ่จะบอกระดับความแข็งแกร่งของอาวุธและเกราะิญญาของแต่ละคนได้
และจุดประภพิญญาที่ข้าเห็นอยู่ตอนนี้ดูเหมือนจะกว้างใหญ่จนแทบหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ อีกทั้งผืนดินยังมั่นคงและมีอายิญญาเต็มเปี่ยมจนสามารถมองเห็นสีทองอร่ามรางๆมีการบันทึกไว้ในตำราของโครงร่างจุดประภพิญญาว่า‘จุดประภพิญญาขั้นพิภพจะมีสีครามน้ำทะเลบ่งบอกว่าอยู่ในระดับล่างสีเหลืองธรรมดาบ่งบอกว่าคือระดับกลาง และทองอร่ามคือระดับสูง’นึกไม่ถึงว่าของข้าจะอยู่ในระดับสูง! แสดงว่าอีกไม่นานก็จะถึงขั้นฟ้าของจุดประภพิญญาแล้วช่างเป็เื่สุดยอดและเหลือเชื่อจริงๆ
ข้าดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่เพราะถ้าเป็เมื่อก่อนจุดประภพิญญาของข้าคงอยู่แค่ขั้นพิภพระดับล่างเท่านั้นนี่คงเป็ผลจากการฝึกฝนวิชาพื้นฐานอย่างวิชาลมหายใจั จึงสามารถสร้างประภพิญญาระดับสูงขนาดนี้ได้แต่ถ้าเทียบจากทั้งหมดในใต้หล้า สถานการณ์ของข้าตอนนี้ดูเป็เื่เล็กน้อยไปเลย
เมื่อหลายปีก่อนแผ่นดินใหญ่หลงหลิงได้แบ่งขั้นของจุดประภพิญญาเอาไว้โดยแบ่งเป็ขั้นพิภพและขั้นมนุษย์ ซึ่งแต่ละขั้นจะแบ่งย่อยอีกสามระดับคือ ระดับสูงกลาง และล่างผู้ฝึกฝนิญญาที่ปลุกจุดพิภพิญญาแล้วจะจัดอยู่ในขั้นมนุษย์ขั้นล่างส่วนผู้ที่โชคดีจากสองในสิบส่วนจะอยู่ในขั้นมนุษย์ระดับกลางและจะมีเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้นที่อยู่ในขั้นมนุษย์ระดับสูงแต่การจะหาผู้ฝึกฝนที่อยู่ในขั้นพิภพระดับสูง อาจพบได้น้อยเพียงหนึ่งในหมื่นคนเท่านั้น
หลังเกิดจุดประภพิญญาขึ้นแล้วพลังิญญาในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้น เพราะจุดประภพิญญาเป็แหล่งสะสมของพลังทั้งพลังิญญา อาวุธิญญา และเกราะิญญาซึ่งความยิ่งใหญ่ไม่เพียงบอกถึงความแข็งแกร่งของพลังแต่ยังบอกระดับความเร็วในการฟื้นฟูพลังได้ด้วย หรือสรุปง่ายๆ ว่าเป็หัวใจหลักของผู้ฝึกฝนยิ่งมีพลังมากยิ่งชี้วัดว่าผู้ฝึกฝนจะสามารถบำเพ็ญไปได้สูงแค่ไหน
แต่กระนั้นจุดประภพิญญาก็จะสามารถพัฒนาจากขั้นพิภพขึ้นไปเป็ขั้นฟ้าได้ตามแต่กระบวนการและความยากที่ผู้เป็นายฝึกฝนั้แ่อดีตผู้มีชื่อเสียงแต่ละคนล้วนมีจุดประภพิญญาในขั้นฟ้ากันทั้งนั้นหรือแม้แต่พี่เสวียนยินก็อยู่ในขั้นฟ้าที่ชื่อว่า ‘จุดประภพิญญาเสียง์’เช่นกัน
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกและเริ่มเคลื่อนพลังิญญา
เมื่อมองผ่านตาทิพย์พบว่าจุดประภพิญญาเริ่มหมุนวนและ แทรกซึมเข้าสู่กระบี่คมจันทราด้วยพลังที่มากกว่าเดิมจนเกิดเป็รอยสลักบนกระบี่ที่คมชัดยิ่งขึ้นเวลานี้จุดประภพิญญากำลังหลอมรวมและเพิ่มพลังให้แก่กระบี่คมจันทรา!
ข้าแอบดีใจเมื่อเห็นบางสิ่งตกลงมาจากฟากฟ้าขณะกระบี่คมจันทรายังคงอยู่ในระยะที่หนึ่งและเมื่อได้รับพลังมากพอที่จะพัฒนาไปสู่ระดับที่สอง หมายความว่าพลังและความน่าเกรงขามก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
ย้อนไปเมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองหยินเย่เฉิงครั้งหนึ่งเคยนำกระบี่คมจันทราไปให้ท่านผู้ควบคุมที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ประเมินเขาบอกว่ากระบี่เล่มนี้เป็ของหายาก ซึ่งถูกถ่ายทอดจากกระบี่คิมหันต์ขาวหรือเรียกว่ากระบี่ชาตรีในสมัยโบราณ ตัวกระบี่มีลักษณะตรงยาว แสดงถึงความชอบธรรมส่วนคมกระบี่แคบยาว บ่งบอกถึงความดุดันหากใช้ในทางที่ดีจะได้รับเกียรติจนเป็ที่ยอมรับ และโด่งดังไปทั่วยุทธจักรแต่น่าเสียดายที่การเดินทางบนถนนแห่งความตายครั้งนั้นทำให้กระบี่ของข้าต้องแปดเปื้อนเืและสิ่งสกปรกแต่วันนี้เหมือนเป็โอกาสที่ดีที่จะปลุกชีพขึ้นมาใหม่ข้าได้แต่หวังว่ากระบี่ในมือจะเป็กระบี่แห่งคุณธรรมเพราะเมื่อใดที่เกิดความโลภขึ้นในจิตใจ ความหายนะก็จะบังเกิดกับตัวได้เช่นกัน
...
หลังหยุดใช้พลังตาทิพย์ภาพของจุดประภพิญญาก็หายไปในความมืด ข้าถอนหายใจอย่างโล่งสบายก่อนจะเริ่มเคลื่อนพลังของวิชาลมหายใจัเพื่อสร้างพื้นฐานสู่การฝึกฝนขั้นที่หนึ่งของเคล็ดวิชาาอย่าง‘พลังนทีเชี่ยว’
เคลื่อนพลังได้เพียงรอบเดียวก็รู้สึกถึงพลังลำธารไร้เสียงที่รินไหลอย่างแ่เบาซึ่งเป็เค้าลางว่าเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งของเคล็ดวิชาาแล้ว
แต่ถึงกระนั้นข้ายังต้องฝึกฝนต่อไปเพื่อเข้าสู่ขั้นที่สูงกว่า!
เสียงฉึบๆที่ดังระหว่างฝึกฝน ทำให้รับรู้ถึงพลังลมปราณและพลังิญญากำลังระเหยกลายเป็ไอภายใต้การฝึกฝนเคล็ดวิชาลงครามนี้ เมื่อเทียบกับวิชาลมหายใจัวิชานี้จะดุดันและรุนแรงกว่ามาก ส่งผลให้พลังลมปราณสลายไปกว่าครึ่งทั้งที่ใช้เวลาไปเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูป
ข้าฉีกงาิญญาวิหคขนาดเท่านิ้วมือใส่ปากอย่างไม่ลังเลจากนั้นจึงละลายหายไปพร้อมกับกลิ่นหอมจางๆ ก่อนจะแทรกซึมในทันทีเพียงไม่นานพลังลมปราณส่วนที่หายไปก็ถูกเติมเต็มดังเดิม
การเคลื่อนพลังดำเนินผ่านไปหลายรอบเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากจนไหลเข้าดวงตา ความรู้สึกแปลบๆ แล่นเข้ามาภายในร่างกายก่อนไอพลังิญญาและพลังลมปราณจะระเหยจับตัวเป็กลุ่มเผยภาพเค้าลางของทะเลสาบอันบริสุทธิ์ที่มีไอหมอกหนาปกคลุมอยู่้า
เมื่อเห็นคลื่อนหมอกรวมธานานั่นเป็สัญญาณว่าใกล้เข้าสู่ระดับกลางในขั้นที่หนึ่งของเคล็ดวิชาาแล้ว!
การฝึกฝนเคล็ดวิชาาแต่ละขั้นจะมีพลังเพิ่มขึ้นสองส่วนจากวิชาลมหายใจัจนััได้ถึงพลังที่เต็มเปี่ยมและได้รู้ว่าเคล็ดวิชาของตระกูลปู้ไม่ได้มีดีเพียงลมปาก!
ข้ากินงาิญญาวิหคอีกครั้งและฝึกฝนต่อเพราะถ้ายังไม่ถึงระดับสมบูรณ์ของขั้นที่หนึ่ง ข้าจะไม่ล้มเลิกเด็ดขาด!