หั่วอี้พาหลิ่วจิ้งและสาวใช้สองคนออกจากจวนอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกครานี้พวกนางก็ยังคงไม่นั่งรถม้าเช่นเดิม หลิ่วจิ้งบอกว่าอยากดูให้ทั่วๆหั่วอี้ก็ตามใจนาง
หั่วอี้และหลิ่วจิ้งสองคนเดินอยู่ข้างหน้า เดินไปชมไปตลอดทางเมื่ออวี้จิ่นกับอิ๋งเหอไม่จำเป็ต้องเข้าไปคอยดูแลรับใช้พวกนางจึงเป็เหมือนนกที่ออกจากกรงโดยเฉพาะอิ๋งเหอที่ยังไม่เคยเดินชมเมืองต้าอี้มาก่อนเลยเห็นสิ่งใดล้วนรู้สึกแปลกใหม่ไปเสียหมด คอยจับนั่นจับนี่มาดูไม่หยุด
วานนี้อวี้จิ่นเคยมาเดินกับหลิ่วจิ้งตั้งครึ่งค่อนวันแล้ว นางจึงไม่ได้รู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากมายนัก
เมื่อมีหั่วอี้คอยช่วยและวานนี้ก็มีเงินก้อนโตเข้าบัญชีของนางแล้วทำให้เวลานี้หลิ่วจิ้งไม่มีเื่ให้ต้องคอยพะวงอีก จิตใจจึงผ่อนคลายลงมาก ยามนี้จึงเท่ากับว่ามาเดินเล่นชมเมืองเพียงอย่างเดียว
เห็นตลาดร้านรวงคึกคักนักหลิ่วจิ้งจึงให้เงินอวี้จิ่นกับอิ๋งเหอจำนวนหนึ่งให้พวกนางไปเดินซื้อของ นานๆครั้งพวกนางจะได้ออกมา ถือว่าให้พวกนางหยุดงานพักผ่อนก็แล้วกัน
“จริงหรือเ้าคะฮูหยิน ได้หรือเ้าคะพวกเราไปเดินเล่นเองได้หรือเ้าคะ?” อิ๋งเหอรับเงินสิบตำลึงที่หลิ่วจิ้งให้มาพลางยิ้มไม่ยอมหุบ
อิ๋งเหอแบมือออกเพื่อดูเงินในมือด้วยความดีใจ แต่จู่ๆเงินในมือนางก็หายไปเพราะถูกคนหยิบไปเสียแล้ว
อิ๋งเหอมองเหม่อไปยังคนที่เอาเงินในมือนางไปซึ่งก็คือหั่วอี้นั่นเอง
นางมองหลิ่วจิ้งอย่างไม่รู้ว่าควรทำเช่นใด
หลิ่วจิ้งเลิกคิ้วมองหั่วอี้เพราะนางเองก็ไม่เข้าใจว่าหั่วอี้คิดสิ่งใดอยู่
หั่วอี้เอาเงินสิบตำลึงในมืออิ๋งเหอไป แล้วนำมาใส่ในมือหลิ่วจิ้งบอกว่า “นี่เป็เงินของท่านเอง ท่านเก็บเอาไว้เถิด เดิมทีก็ไม่ได้มีมากมาย อย่าใช้ส่งเดช”
หั่วอี้หยิบตั๋วเงินหลายใบจากในอกเสื้อออกมาดูจากนั้นก็หยิบตั๋วเงินยี่สิบตำลึงใบหนึ่งให้อิ๋งเหอ “เงินนี้ให้เ้าเอาไปใช้”
อิ๋งเหอมองตั๋วเงินในมือ มือนางสั่นสะท้านแทบถือไว้ไม่อยู่การเปลี่ยนแปลงมโหฬารเช่นนี้ นางปรับตัวรับไม่ทันเลยจริงๆ
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถิด” หั่วอี้กุมมือหลิ่วจิ้งพลางเดินต่อไปข้างหน้าไม่ไปมองอวี้จิ่นกับอิ๋งเหออีก
มองท่านแม่ทัพและฮูหยินเดินจากไป อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอสองคนจึงเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดหาใช่เพราะพวกนางตาลายแต่เป็ท่านแม่ทัพเมตตาเป็ล้นพ้นกำนัลตั๋วเงินให้พวกนางยี่สิบตำลึงจริงแท้แน่นอน
“อวี้จิ่น ข้าไม่ได้ดูผิดไปใช่หรือไม่ ยี่สิบตำลึงเชียวนะ”อิ๋งเหอกอดอวี้จิ่น พูดไปยิ้มไป
อวี้จิ่นเห็นว่าอิ๋งเหอออกหน้าออกตาเกินไปจนดึงดูดสายตาของผู้คนรอบข้างให้หันมองจึงรีบดึงให้อิ๋งเหอก้าวเดิน “เบาๆ หน่อย อย่าทำให้เป็ที่สนใจ แม้จะไม่มากนักแต่ก็ยังเป็เงินนะ”
อิ๋งเหอจึงเพิ่งสังเกตเห็นสายตามากมายจากรอบตัวที่กำลังมองมาว่าแล้วรีบก็เร่งเดินตามอวี้จิ่นไป
“ฮูหยิน ท่านว่าเมื่อครู่สามีมือเติบหรือไม่”หั่วอี้กุมมือหลิ่วจิ้งเดินจากมาระยะหนึ่ง อดทวงถามเอาความชอบจากหลิ่วจิ้งมิได้
หลิ่วจิ้งเองก็กลั้นหัวเราะไม่ไหวอย่าว่าแต่อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอถูกหั่วอี้ทำเสียจนไม่รู้จะทำอย่างไรเลยแม้แต่นางก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเช่นกัน
“ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ดูแลเ้าค่ะ” หลิ่วจิ้งหลบสายตาของหั่วอี้เก็บซ่อนความรู้สึกของนางเอาไว้ การอยู่ร่วมกันในลักษณะเช่นนี้เป็สิ่งที่นาง้ามาโดยตลอดเพียงแต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งร้อยแปดสิบองศาและไร้รูปแบบวิธีการใดๆดังที่เป็อยู่นี้ ก็ยังทำให้นางใเช่นกัน
“ฮูหยินอยากไปทานของว่างสักหน่อยก่อนหรือว่าไปเดินเล่นก่อน”หั่วอี้นึกได้ว่าเช้านี้หลิ่วจิ้งยังไม่ทานอะไรเลย จึงสอบถามอย่างเป็ห่วง
“หากท่านแม่ทัพไม่หิว เช่นนั้นพวกเราก็เดินดูของก่อนเถิดเ้าค่ะ”หลิ่วจิ้งตอบรับอย่างว่าง่าย นางมองไปทางอวี้จิ่นกับอิ๋งเหอที่ตามหลังมาไม่ไกลนักนานๆ คราพวกนางสองคนจะสนุกสนานด้วยกัน หลิ่วจิ้งจึงอยากให้เวลาพวกนางเดินเล่นมากสักหน่อย
“อวี้จิ่นเ้าดูสิ ปิ่นด้ามนี้งามเสียจริง” อิ๋งเหอดูจนตาพร่าไปหมดนี่เป็ครั้งแรกที่นางออกจากจวนมาเดินตลาด เห็นสิ่งใดก็รู้สึกแปลกใหม่ไปหมด
หลิ่วจิ้งมองพวกนางสองคนคิดว่าหากสามารถมีชีวิตสุขสงบเช่นนี้ก็คงน่ายินดีนัก เพียงแต่นางทำไม่ได้เส้นทางที่จะมาถึงคงเต็มไปด้วยคาวเืเวลานี้ให้อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอสองคนเสพสุขกับความสุขสงบชั่วครู่ชั่วยามเช่นนี้ไปก่อนเถิด
หั่วอี้มองอวี้จิ่นกับอิ๋งเหอสองคนไปตามสายตาของหลิ่วจิ้ง จู่ๆไม่รู้เหตุใดจึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่า ‘หากข้างกายข้ามีองค์หญิงเป็สตรีเพียงคนเดียว เด็กรับใช้และสาวใช้ที่ปรนนิบัติล้วนไม่ขัดแย้งกันวันคืนเช่นนั้นก็ไม่เลวเลยจริงๆ’
ทว่าไม่นานจากนั้นหั่วอี้ก็ล้มเลิกความคิดนี้เสียด้วยจารีตธรรมเนียมที่เปิดกว้างของแคว้นชางอี้ หากบุรุษมีสตรีเพียงคนเดียวจะไม่ถูกสหายเยาะตายหรอกหรือ
หลิ่วจิ้งมองดูดวงตะวันบนหัว ยามนี้ดวงตะวันขึ้นถึงสามข้อไผ่แล้วเป็่เวลาที่เมืองต้าอี้ครึกครืนที่สุดของวัน มองเห็นหัวคนอยู่เต็มตลาดแน่นขนัดไปหมดเสียงร้องขายของจากร้านรวงประโคมดังขึ้นในเวลานี้เอง
“ท่านแม่ทัพ พวกเราไปดูที่หอหรงซินกันเถิด”วานนี้นางหมายตาลูกประคำไว้เส้นหนึ่ง ลูกประคำแต่ละเม็ดกลมโตเสมอกันทำจากไม้เฉินเซียงชั้นเลิศ ครานั้นหลิ่วจิ้งอยากซื้อมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็ของกำนัลอวยพรวันเกิดแต่เมื่อเห็นราคาแล้วนางก็ต้องเปลี่ยนใจวันนี้มีหั่วอี้อยู่นางจึงคิดอยากได้ลูกประคำเส้นนั้นขึ้นมา
ว่ากันว่าเอื้อมมือไปไม่ตีคนมีรอยยิ้ม [1] เมื่อมอบของกำนัลล้ำค่าเช่นนี้ให้ ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่อาจบอกว่าไม่ชอบกระมังแค่ขอให้ของกำนัลของนางมีที่เก็บเป็พอแล้ว เพราะนางย่อมไม่อาจไปไหว้อวยพรวันเกิดด้วยมือเปล่าส่วนของกำนัลจะถูกใจฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่นางหาได้สนใจ เพราะนางเองก็มิได้มีความคิดจะกระชับความสัมพันธ์กับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่แล้ว
นับั้แ่วันแรกที่นางได้พบฮูหยินผู้เฒ่าจิตใต้สำนึกของนางก็บอกว่านางและฮูหยินผู้เฒ่าดวงชงกัน สองคนสนทนากันไม่ถูกคอและนางก็ไม่หวังให้ฮูหยินผู้เฒ่าหันมาชื่นชอบนาง ธาตุแท้บางประการเป็สิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
หั่วอี้เอาใจหลิ่วจิ้งเสียอย่างยิ่ง เขาพานางตรงไปที่หอหรงซินในเมื่อนางยอมเอ่ยปากขอเขาแสดงว่านางไม่โกรธเื่ที่คืนก่อนเขาเกือบจะบีบคอนางตายแล้วใช่หรือไม่
เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน หลิ่วจิ้งกลับได้มาที่หอหรงซินถึงสามหน นางเกิดความคิดประหลาดสายหนึ่งขึ้นมาว่าหอหรงซินแห่งนี้มีวาสนากันนางนางชอบที่แห่งนี้ไม่เบา แม้สินค้าที่ขายที่นี่ล้วนไม่ใช่ของที่ผู้คนทั่วไปจะซื้อไหวก็ตามแต่นางก็ยังชอบวิธีการทำการค้าเช่นนี้รวมทั้งสินค้าที่เป็สิ่งของล้ำค่าซึ่งไม่อาจพบเห็นได้ในร้านทั่วๆ ไปด้วย
เมื่อมาถึงหอหรงซินหลิ่วจิ้งก็ตรงไปที่สร้อยประคำที่นางหมายตาไว้วานนี้เมื่อสร้อยประคำเส้นนั้นถูกวางบนมือนางอีกครั้งนางก็ทำตามวิธีที่ฮูหยินผู้เฒ่าจับสร้อยประคำเล่นเป็ประจำ ค่อยๆเขี่ยลูกประคำให้เคลื่อนไปที่ละเม็ด ผิวัักลมลื่นนั้นสบายนักนางจึงตัดสินใจว่าต้องเป็สร้อยประคำเส้นนี้
“เถ้าแก่ ข้าเอาสร้อยประคำเส้นนี้”หลิ่วจิ้งยังไม่ได้หารือกับหั่วอี้แต่นางััได้ว่าวันนี้หั่วอี้จะต้องพยายามเอาใจนางสุดกำลัง ดังนั้นต่อให้ไม่ไปหารือกับเขาเขาก็ต้องช่วยซื้อให้นางเป็แน่
“หกร้อยตำลึง ข้าจะซื้อสร้อยประคำนี้”
เพิ่งสิ้นเสียงของหลิ่วจิ้งก็มีสตรีผู้หนึ่งเดินมาข้างๆ พออีกฝ่ายเอ่ยปากก็บอกราคาที่สูงกว่าราคาที่ร้านตั้งไว้ถึงห้าร้อยตำลึงยังไม่ทันสอบถามว่าหลิ่วจิ้งเห็นด้วยหรือไม่ สตรีผู้นั้นก็เอื้อมมือจะมาหยิบสร้อยในมือนางไป
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] เอื้อมมือไปไม่ตีคนมีรอยยิ้ม หมายถึงแข็งใจเอาผิดหรือทำโทษคนที่ยอมรับผิดไม่ได้
