เฉียวเยว่สงสัยว่าป้าสะใภ้รองของบ้านนางจะเป็โรคย้ำคิดย้ำทำหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าทุกคนไม่สนับสนุน แต่นางก็ยังยืนกรานจะตามน้องสาวของตนเองมา ราวกับว่าตามคนมาแล้วก็จะสามารถเชื่อมสายสัมพันธ์กับท่านลุงของนางได้จริงๆ
พูดด้วยใจเป็กลาง แม้เฉียวเยว่จะไม่รู้ว่าน้องสาวของป้าสะใภ้รองหน้าตาเป็อย่างไร แต่นางมักรู้สึกว่าท่านลุงต้องไม่ชอบอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ถึงมารดาของนางจะไม่ได้พูดอะไรเยอะ แต่คำพูดเพียงไม่กี่คำที่บรรยายถึงท่านลุง กลับทำให้นางััได้ถึงความรักของท่านลุงกับป้าสะใภ้ซึ่งฟันฝ่าอุปสรรคและความยากลำบากร่วมกันมามากมาย
แม้ว่าชีวิตก่อนตนเองจะเป็โสด แต่เฉียวเยว่ก็เชื่อในรักแท้ ในเมื่อเป็รักแท้ ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจสาเหตุที่ท่านลุงครองตัวเป็ม่ายอยู่อย่างอ้างว้าง หลังป้าสะใภ้จากโลกนี้ไป
รักแรกยากจะลืมเลือน
"น่าขันจริงๆ ไท่ไท่รองยังคิดอยู่อีกหรือว่าน้องสาวของนางจะจับนายน้อยของเราได้ ไม่นึกบ้างว่าขนาดปีนั้นคุณหนูสี่ยังไม่สำเร็จ น้องสาวของนางเป็นางฟ้านาง์หรืออย่างไร" นี่คือเสียงของหลันหมัวมัว
ดูเหมือนว่าหลันหมัวมัวกำลังคุยเรื่อยเปื่อยกับเสี่ยวชุ่ย
เดิมทีเฉียวเยว่แวะมาเยี่ยมเสี่ยวชุ่ย แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองควรเข้าไปดีหรือไม่
นางเพิ่งรับปากกับทุกคนว่าจะไม่แอบฟังผู้อื่นสนทนากันอีก เพียงแวบเดียวก็ตบหน้าตนเองเสียแล้วหรือ?
"ตอนนี้คุณหนูสี่แต่งออกไปแล้วก็ดีมาก หมัวมัวอย่าพูดถึงอีกเลย เดี๋ยวนายท่านสามได้ยินเข้าจะโกรธเอาได้" เสียงของเสี่ยวชุ่ยดังออกมา
เฉียวเยว่ขบกำปั้นน้อยของตนเอง คุณหนูสี่คือผู้ใดกัน หรือว่าคนที่บิดานางโกรธจะปะ... ปะ... ปะ... เป็ท่านอาหญิงของนาง?
เฉียวเยว่ไม่เข้าไปในห้องทันที นางเกาะอยู่ตรงมุมกำแพงแอบฟังอยู่เงียบๆ
นางเป็เพียงเด็กน้อย คำพูดยังเชื่อถือไม่ได้
นางหยิกเนื้อของตนเอง อืม นางอ้วนอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะกลืนน้ำลายตนเองจนอ้วน [1]
"ข้ารู้ ออกไปข้างนอกไม่พูดหรอกน่า แต่มันอดขำไม่ได้ ถึงตอนนี้ไท่ไท่รองก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าถึงโมโหเช่นนี้ ตอนนั้นแม้แต่คุณหนูสี่ นายท่านใหญ่ยังปฏิเสธ หากตอนนี้ไม่ปฏิเสธ ยกคุณหนูรองของพวกเขามาเป็ภรรยาคนที่สอง แล้วทุกคนในจวนเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่นางกลับรู้สึกว่าดีที่สุด คนที่คิดเช่นนี้ในจวนเราก็มีอยู่คนเดียวนี่แหละ" หลันหมัวมัวถอนหายใจ "เมื่อครู่นี้ข้าแอบไปดูมาแวบหนึ่งที่ประตู หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงไท่ไท่รองอยู่หลายส่วน สวยสะคราญตายิ่ง คนแก่อย่างข้ายังออกปากชม เพียงแต่ไม่ใช่ทุกคนจะชอบหญิงงามสะคราญตาเยี่ยงนั้น”
"ไท่ไท่รองมักทำตามอำเภอใจจนเคยตัว เป็ไปได้แปดส่วนว่านางคิดว่าการทำเช่นนี้สามารถข่มคุณหนูสี่ได้" เสี่ยวชุ่ยคาดเดา
"ถุย คุณหนูสี่เป็บุตรสาวเพียงคนเดียวของจวนโหว สินเดิมในปีนั้นทำเอาคนทั่วเมืองหลวงตาลาย คุณหนูสี่เป็ที่รักของฮูหยินผู้เฒ่ามากแค่ไหน ฮูหยินผู้เฒ่าจะทนนางได้หรือ? น่าขันยิ่งนัก อีกอย่าง นายท่านใหญ่ของพวกเราก็ใช่ธรรมดาเสียที่ไหน เขาจะไม่ทำให้คุณหนูสี่ตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัดเพียงเพราะหญิงงามอย่างแน่นอน" หลันมัวมัวทำเสียงจิ๊จ๊ะ
"คุณหนูเจ็ด มาทำอะไรอยู่ตรงนี้เ้าคะ" อวิ๋นเอ๋อร์ถือของกลับมาเห็นเฉียวเยว่นั่งอยู่หน้าประตูแต่ไม่ยอมเข้าไป
"ข้าก็กำลัง.... จะเข้าไปนี่แหละ" เฉียวเยว่ลุกขึ้นทันควัน
หลันหมัวมัวเลิกม่านขึ้น
เฉียวเยว่ยิ้มเผล่ "ข้ามาเยี่ยมเสี่ยวชุ่ย"
นางเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงข้างเตียง ถามอย่างจริงจังว่า "วันนี้ยังเจ็บอยู่หรือไม่?"
เสี่ยวชุ่ยยิ้มพลางส่ายหน้า "คุณหนูไม่ต้องเป็ห่วง บ่าวดีขึ้นมากแล้วเ้าค่ะ"
นี่ก็ผ่านไปสองเดือนแล้ว าแของนางค่อยๆ ดีขึ้น
"ข้าจะรีบหายโดยเร็ว จะได้กลับไปปรนนิบัติคุณหนู" เสี่ยวชุ่ยลูบดวงหน้าเล็กจ้อยของเฉียวเยว่ "ดูเหมือนคุณหนูจะผอมลงนะเ้าคะ"
หลันหมัวมัวอดไม่ไหว "สายตาเ้าช่างเหลือเกินจริงๆ ดูอย่างไรถึงว่าคุณหนูผอมลง เห็นชัดอยู่ว่าเนื้อหนังเพิ่มขึ้น"
พอเห็นอวิ๋นเอ๋อร์ออกไปเตรียมของกิน หลันหมัวมัวก็ทำสีหน้าจริงจัง "คุณหนูเจ็ดแอบฟังอีกแล้วหรือเ้าคะ?"
ั้แ่คุณหนูเจ็ดเติบโตมา จะพูดซุบซิบนินทาก็ไม่ค่อยสะดวก เพราะคุณหนูเจ็ดมักชอบนั่งยองๆ แอบฟังไปเสียทุกที่ เป็ความเคยชินที่ไม่ดีเลยจริงๆ
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ มืออวบเล็กจ้อยยื่นไปตบที่หน้าอกของหลันหมัวมัว
"อย่ากลัว อย่ากลัว ข้าฟังแค่หน่อยเดียวเท่านั้นเอง ไม่เอาไปพูดส่งเดชแน่นอน"
หลันหมัวมัวหน้าซีดเผือด "คุณหนูเจ็ดของบ่าว อย่าเอาไปพูดเป็อันขาดเชียวนะเ้าคะ มิเช่นนั้นคนที่ต้องถูกขับไล่ออกจากจวนต้องเป็บ่าวแน่ ท่านต้อง..."
"โอ๋ ไม่กลัว ไม่กลัว ไยหมัวมัวใจเสาะเช่นนี้ วางใจเถอะ หากข้าจะขุดหลุมผู้ใด ก็ไม่ใช่ท่านอย่างแน่นอน"
หลันหมัวมัวคือผู้ที่เข้าไปขวางมีดของหมอหญิงหวัง ทำให้นางคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย เฉียวเยว่ยังซาบซึ้งขอบคุณนางอยู่ในใจ
นางแกว่งเท้าไปมาอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างเตียง พลางเอ่ยว่า "ถ้าหากข้าหักหลังท่าน ต่อไปจะมีหน้ามาฟังข่าวซุบซิบจากท่านอีกหรือ วางใจได้"
หลันหมัวมัวถูกนางเย้าจนหัวเราะ "คุณหนูล้อหมัวมัวเล่นอีกแล้วนะเ้าคะ"
"หมัวมัว ปีนี้ท่านอาจะกลับมาตอนปีใหม่หรือไม่?" เฉียวเยว่เงยหน้าถาม
"ตามหลักแล้วควรกลับมาเ้าค่ะ" หลันหมัวมัวตอบ นางเบะปากขณะคิดจะพูดบางอย่าง แต่กลับอดกลั้นไว้ ไม่พูดออกมาต่อหน้าเฉียวเยว่ แต่ในฐานะสมาชิกพรรคคนข้ามภพซึ่งรู้ความั้แ่ยังเป็ทารก นางไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าหลันหมัวมัววิตกสิ่งใด
ท่านอาอาจพุ่งเป้ามาที่มารดาของนาง
หลันหมัวมัวเป็แม่นมของท่านแม่ย่อมไม่พอใจเป็ธรรมดา
เดิมทีนางก็สังเกตจุดนี้อยู่ ท่านอาของนางแม้จะอ่อนโยนมาก แต่กลับเฉยเมยกับเรือนสามของพวกนาง และดูเป็ปรปักษ์ที่ไม่ค่อยชัดเจนนักกับมารดาของนางด้วย ตอนแรกนางก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร นึกว่าเป็ความไม่ลงรอยกันระหว่างน้องสามีกับพี่สะใภ้
แต่หลังจากแอบฟังเมื่อครู่นางก็เข้าใจทันที
ดูท่าท่านอาคงเอาความขุ่นเคืองที่ไม่อาจแต่งงานกับท่านลุงมาลงที่มารดาของนาง มาตรองดูให้ถ้วนถี่แล้ว ท่านอาของนางก็ไม่ควรตบแต่งกับท่านลุงของนางจริงๆ มิเช่นนั้นจะเหมือนกับต่างฝ่ายต่างแลกลูกสะใภ้ ซึ่งเป็ข้อต้องห้ามอย่างยิ่งสำหรับคนตระกูลใหญ่ ด้วยรู้สึกว่าเป็การเสียหน้า
จุดนี้เฉียวเยว่ก็ได้ยินคนพูดมาเหมือนกัน
"คุณหนูคนดี อย่าสนใจเื่เหล่านี้เลยเ้าค่ะ ท่านยังเด็ก สนใจแต่เื่เล่นก็พอแล้ว" หลันหมัวมัวเกลี้ยกล่อม
"ข้าใช่คนเห็นแก่เล่นเสียที่ไหน ข้ายังใฝ่ศึกษาหาความรู้อีกด้วย ทุกวันนี้ล้วนยุ่งมาก"
นางจำเป็ต้องกอบกู้ชื่อเสียงของตนเอง
หลันหมัวมัวมาตรองดูอย่างละเอียด ่นี้คุณหนูของพวกนางก็ไม่ค่อยจะออกไปแกล้งแมวหยอกสุนัขหรือขุดดินเล่นสักเท่าไรจริงๆ สงบเสงี่ยมขึ้นมาก ทุกวันนอกจากไปเยี่ยมคุณหนูห้ากับเสี่ยวชุ่ยแล้ว เวลาที่เหลือล้วนขลุกอยู่ในห้องหนังสือ ขีดๆ เขียนๆ ทุกวัน
"แม่นางของตระกูลเราล้วนเป็ผู้มีวิชาความรู้กว้างขวาง"
หลันหมัวมัวเห็นด้วยอย่างยิ่งที่เด็กผู้หญิงจะเรียนหนังสือ ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าการเรียนมีประโยชน์อันใด แต่นางรู้ว่าหากตอนนั้นคุณหนูของตนไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้รู้จักกับศิษย์พี่สองสามคน เกรงว่าป่านนี้คงต้องแต่งเข้าไปเฝ้าจวนสกุลิ่เยี่ยงหญิงม่ายไปแล้ว ไหนเลยจะมีสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว บุตรชายหญิงน่ารักเฉกเช่นตอนนี้
ผลประโยชน์เหล่านี้ล้วนมาจากการเรียนหนังสือทั้งนั้น
เฉียวเยว่เชิดคางอย่างทะนงตน "ข้าจะเก่งเหมือนพี่สาวให้ได้"
หลันหมัวมัวพยักหน้า "คุณหนูห้าก็ฉลาดปราดเปรื่องยิ่ง"
เป็สตรีที่บุรุษยังสู้ไม่ได้ จนได้รับคำชื่นชมจากทุกคน
เห็นหลันหมัวมัวพยักหน้าตลอดเวลา เฉียวเยว่ก็หัวเราะ "หมัวมัว ท่านเอาแต่พยักหน้า ช่างน่าขันยิ่ง"
หลัวมัวถูกหยอกเย้าก็กล่าวว่า "ย่อมเป็เพราะคุณหนูพูดถูกเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก
ฉีอันวิ่งตึงตังเข้ามา "เฉียวเฉียว พวกเราต้องไปคารวะท่านย่าแล้ว"
หลันหมัวมัวเพิ่งนึกขึ้นได้ มิน่าเล่าวันนี้คุณหนูของพวกนางถึงมาแต่เช้า ที่แท้ก็ยังไม่ได้ไปเรือนหลัก
เฉียวเยว่ะโลงจากเตียง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย "พวกเราไปก่อนล่ะ เสี่ยวชุ่ย เ้ารีบหายไวๆ พวกเราจะได้ออกไปเล่นด้วยกัน"
เสี่ยวชุ่ยหัวเราะ หลังจากนั้นก็พยักหน้า "เ้าค่ะ"
เฉียวเยว่กำชับหลันหมัวมัวราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย "หมัวมัว วันหลังจะซุบซิบนินทาก็ต้องระมัดระวังหน่อยเล่า"
พูดจบก็วิ่งตื๋อออกไป หลันหมัวมัวอึ้งไปชั่วขณะ
"นางมาแอบฟังแท้ๆ ยังแกล้งเย้าข้าอีก"
เสี่ยวชุ่ยหัวเราะเสียงดัง
...
พอมาถึงเรือนหลักก็ได้ยินความครึกครื้นจากทางนี้
เฉียวเยว่จูงฉีอันเดินเข้าไป
กวาดตามองรอบหนึ่ง นอกจากคนในครอบครัวของตน ยังมีหญิงสาวอีกคนนั่งอยู่ด้วย งดงามปานบุปผาเหมือนที่หลันหมัวมัวกล่าวไว้ทุกประการ
เฉียวเยว่เอ่ยปากทักทาย "หลานคารวะท่านย่าเ้าค่ะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้ม "วันนี้พวกเ้ามาช้าไปหน่อยนะ"
"ข้ากินเยอะเกินไป เมื่อเช้าปลดทุกข์ตั้งสองรอบ เฉียวเฉียวรอข้ามาพร้อมกันขอรับ" ฉีอันโพล่งออกไปตรงๆ
"มีสิ่งใดผิดปรกติหรือเปล่า?" ฮูหยินผู้เฒ่าถามพลางหันไปมองไท่ไท่สาม
"ท่านแม่โปรดวางใจ ข้าเชิญท่านหมอมาดูแล้ว ไม่มีอันใดเ้าค่ะ สาเหตุมาจากกินเยอะเกินไป" ไท่ไท่สามตอบทันที
เมื่อเป็เช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยสบายใจขึ้น "มา พวกเ้ามานั่ง"
"ท่านนี้คือน้องสาวป้าสะใภ้รองของพวกเ้า เด็กดีต้องทักทายผู้ใหญ่ก่อน"
เฉียวเยว่กับฉีอันต่างทักทายอย่างเชื่อฟัง นอกจากอิ้งเยว่ที่ไม่อยู่เพราะาเ็ พวกเขาสองพี่น้องมาสายที่สุดแล้ว
คุณหนูหวังมีชื่อว่าหรูเมิ่ง
หวังหรูเมิ่งทอยิ้มอ่อนจาง เอ่ยว่า "เมื่อเช้าได้ยินพี่สาวกล่าวถึงพี่น้องฝาแฝดของเรือนสามว่าเฉลียวฉลาดน่าเอ็นดู วันนี้ได้เห็น แค่น่าเอ็นดูเสียที่ไหน ทำให้คนหัวใจแทบละลาย ดูราวกับเซียนน้อยสองคนก็ไม่ปาน"
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ไม่ชอบนอนเตียง แต่โปรดปรานเตียงเตาที่ให้ความอบอุ่นเพียงพอมากกว่า แม้แต่ตำแหน่งที่นั่งหลักก็ถูกออกแบบมาเช่นนี้ แม้ว่านางจะสบาย แต่กลับลำบากเฉียวเยว่ที่ต้องเสียเวลาปีนขึ้นมาทุกครั้ง
เฉียวเยว่ขยับก้นดุ๊กดิ๊ก ในที่สุดก็ขึ้นมานั่งได้สำเร็จ นางพรูลมหายใจออกจากปากเฮือกหนึ่ง ก่อนยิ้มตาหยี
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยขึ้นว่า "พวกเขาน่ารักร่าเริงสดใสมากั้แ่ยังเล็ก ถึงตอนนี้คนแก่อย่างข้ายังมิอาจห่างจากพวกเขาได้เลย"
คำพูดเช่นนี้ทำให้ไท่ไท่รองเกิดความริษยาตาร้อนขึ้นมาอีก
แต่ครานี้นางกลับระวังตัว ไม่กล้าพูดมาก
ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะไม่เห็นสีหน้าไม่พอใจของนาง เพียงไม่แยแสก็เท่านั้น
ตำแหน่งที่นั่งของนางอยู่สูงกว่าทุกคน ย่อมมองเห็นสถานการณ์โดยรวมทั้งหมด
"เฉียวเยว่มาเวลานี้คงยังมิได้กินขนมกระมัง ย่าให้คนเตรียมให้ดีหรือไม่?"
"ดีเ้าค่ะ กำลังหิวพอดีเลย" เฉียวเยว่ตอบเสียงหวาน
ฉีอันหัวเราะเสียงดัง พูดเปิดโปงเฉียวเยว่ "ท่านย่า เมื่อครู่นี้ก่อนออกมา เฉียวเฉียวขโมยกินขนมไปสองชิ้น เมื่อวานท่านลุงส่งซาลาเปาไข่ปูมาให้ เฉียวเยว่ยังกินไม่พอ ขอร้องให้ท่านลุงส่งมาอีก วันนี้ท่านลุงยังส่งขนมมาเพิ่มให้หนึ่งกล่อง เฉียวเฉียวกินอาหารเช้าแล้วยังกินอีกตั้งหลายชิ้น ข้าเห็นกับตา กินเยอะขนาดนั้นยังหิว ท้องของเฉียวเฉียวเป็หลุมดำแน่ๆ"
เฉียวเยว่เขย่าแขนของฮูหยินผู้เฒ่า "ท่านย่า ฉีอันหัวเราะผู้อื่น ผู้อื่นแค่อยากกินนี่นา เด็กเล็กควรกินให้อิ่มมิใช่หรือ?"
ฮูหยินผู้เฒ่าหยิกพวงแก้มยุ้ยของนาง "เ้าเคยอิ่มด้วยหรือ?"
เฉียวเยว่กุมใบหน้า "ข้ากำลังเติบโตนะเ้าคะ"
เป็ข้ออ้างที่ดีที่สุดในรอบหมื่นปี
หวังหรูเมิ่งเห็นฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่เอ็นดูเฉียวเยว่ ก็ก้มศีรษะครุ่นคิด...
...
[1] กลืนน้ำลายตนเองจนอ้วน หมายความว่า ผิดคำพูด หรือกลับกลอกเชื่อถือไม่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้