เสียงกรีดร้องโหยหวนทำให้ทุกคนใกลัว
ชายชราแห่งกลุ่มเหยี่ยวถูกโยนทิ้งไปไม่ไกลด้วยฝีมือของหลัวเลี่ย เขาเพิ่งเข้ามาใกล้กับทางเข้าของหุบเขาสุสานั ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีัร่วงหล่นซ่อนอยู่ในระยะทางสั้นๆ เช่นนี้
ัที่ถูกส่งมาที่นี่ไม่สามารถเดินออกจากหุบเขาสุสานัได้ ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ปกติ ัที่ถูกส่งมาจึงไม่เคยมาอยู่ที่ปากหุบเขา
"ออกมา!"
หลัวเลี่ยคว้ามันจากในอากาศ
มวลอากาศที่รุนแรงเกิดจากการผสมระหว่างพลังักับพลังวรยุทธ์ กลายเป็ฝ่ามือขนาดใหญ่และคว้ามันโดยตรง
นี่ไม่ใช่ทักษะการต่อสู้พิเศษ แต่เป็กลอุบายที่หลัวเลี่ยคิดค้นขึ้นมาจากการผนึกวิชามหาหลุนิ มันมีความสามารถในการจับวัตถุจากระยะไกล และอัจฉริยะทั่วไปสามารถเรียนรู้ได้
ตูม!
พื้นดินที่เกือบจะสงบลงถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
มันถูกฝ่ามือขนาดใหญ่จับแล้วดึงออกอย่างแรง
ตูม!
ัร่วงหล่นขนาดใหญ่ถูกดึงออกมาจากพื้น และชายชราของกลุ่มเงาฟ้าก็ถูกัร่วงหล่นจับอยู่เช่นกัน แต่ขาของเขาถูกกรงเล็บของัตัดขาดแล้ว ส่วนตาของเขาก็ปิดสนิท ไม่รู้ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
"นี่คือเื่อะไร!"
"ทำไมมีัที่ไม่เหมือนใครในหุบเขาสุสานั"
“มันน่ากลัวมาก ถ้าพวกเราไม่จับได้ล่วงหน้า เมื่อพวกเราเข้าไปแล้ว เราก็ไม่มีทางรู้ว่าจะมีคนตายกี่คน”
ผู้คนในกลุ่มต่างๆ แสดงความหวาดกลัวออกมา ในขณะเดียวกันพวกเขามองไปที่หลัวเลี่ยด้วยความรู้สึกขอบคุณโดยที่ยังมีร่องรอยของความกลัวอยู่
ัที่แต่เดิมเป็สีกากี มีเขาัสีกากี แต่ตอนนี้เป็สีดำสนิท นี่คือการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ที่เลวร้ายลง มีัเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ยังคงรักษาความเป็สีอื่นเอาไว้ได้
“กรรซ์!”
ัดุร้ายพุ่งเข้าหาหลัวเลี่ยอย่างดุเดือด
ตูม!
เมื่อพวกเขามาถึงทางเข้าของหุบเขาสุสานั พวกเขาก็ถูกขัดขวางโดยกลุ่มกองกำลังที่มองไม่เห็น
ในหุบเขาสุสานัแห่งนี้ไม่มีสัตว์อื่นนอกจากัที่ถูกนำมาทิ้ง มันโหดร้ายมากสำหรับัที่ถูกนำมาทิ้ง เพราะเมื่อัคิดจะโจมตี มันก็จะปล่อยสายฟ้าที่ทรงพลังออกมาทันที
ท่ามกลางเสียงครืดคราด พื้นดินต่างแตกระแหงแยกออกจากกัน
หลายคนที่เคยเข้าออกหุบเขาสุสานัมาโดยตลอดก็อดไม่ได้ที่จะใกับเหตุการณ์นี้
ปกติแล้วพวกเขาไม่เคยเห็นัเหล่านี้พยายามหลบหนี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยเห็นว่าปากทางของหุบเขาสุสานันั้นน่ากลัวจริงๆ และบางคนไม่กล้าที่จะเข้าไปในหุบเขาสุสานัผ่านทางเข้านี้
เมื่อเห็นเช่นนั้นหลัวเลี่ยก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก
เขาเร่งให้อาชาเดือนดารัญก้าวไปข้างหน้าโดยไม่สนใจคนอื่น
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีใครกล้าหยุดเขา ทว่าคนเ่าั้ยังถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นว่าหลัวเลี่ยเข้าไปในหุบเขาสุสานัและหายไปแล้ว
"ช่างเป็ชายหนุ่มที่น่ากลัวจริงๆ เขาคว้าัได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว"
“โชคดีที่ข้าไม่เคยใช้กำลังเข้าสู้ก่อน ไม่อย่างนั้นข้าก็คงเหมือนกับชายชราผู้โอหังคนนั้น แม้ว่าข้าจะรอดชีวิตมาได้ แต่ข้าก็คงต้องเจ็บหนักแน่”
"บางคนก็ความอดทนต่ำจริงๆ"
หลายคนคิดว่าตนโชคดีมาก
แต่ก็มีเสียงเ็าเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เ้าควรจะขอบคุณที่คนคนนั้นคือหลัวเลี่ยผู้ที่ไม่ชอบสังหารคนอื่น”
ชายหนุ่มที่มีท่าทางเป็เอกลักษณ์ สวมเสื้อคลุม และมีสีหน้าเย้ยหยัน ปรากฏกายขึ้นที่ทางเข้าของหุบเขาสุสานัพร้อมกับมองไปข้างหน้า
หัวหน้ากลุ่มร้อยดาบถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า "ชายหนุ่มคนนั้นคืออ๋องเซี่ยหลัวเลี่ย ผู้ที่สังหารไก้อู๋ซวงถึงสองครั้งหรือ?"
“นอกจากเขาแล้ว ยังมีใครอีกบ้างที่สามารถฆ่าคนและสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้ ช่างแสร้งทำตัวเป็วีรบุรุษเสียจริง” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเ็า
ทุกกลุ่มอดไม่ได้ที่จะมองไปยังทิศทางที่หลัวเลี่ยจากไปทันที พวกเขาต่างพูดไม่ออก
สีหน้าของบางคนแสดงถึงความเสียใจและคิดถึง บางคนก็แสดงออกว่าชื่นชม และบางคนก็แสดงออกว่าตื่นเต้น เมื่อชายหนุ่มคนนั้นเห็นท่าทางพวกนั้นก็ถึงกับโกรธมากขึ้น เขาแสดงสีหน้าที่ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว
คนกลุ่มหนึ่งถูกไอพลังกดขี่ไว้ ทำให้บรรยากาศหนาวเหน็บจนพวกเขาถอยหนีด้วยความหวาดกลัว
หัวหน้าทีมทีมร้อยดาบถามว่า "ท่านดูเหมือนจะเป็ศัตรูกับอ๋องหลัวเลี่ย ท่านเป็ใครหรือ"
ชายหนุ่มเอามือไพล่หลัง เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูเย่อหยิ่งมาก "ข้าคือองค์ชายแห่งอาณาจักรชางผู้ยิ่งใหญ่ มีนามว่าชางจื่อเฟิง!"
ในขณะเดียวกันอาชาเดือนดารัญก็ะโขึ้นจากพื้นกว่าสามจั้ง
หลัวเลี่ยและเสวี่ยปิงหนิงกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างกว้างไกลในชั่วพริบตา แต่พวกเขายังคงอยู่ในทางเดินตรงปากหุบเขา และยังไปไม่ถึงหุบเขาที่กว้างใหญ่
ด้วยสายตาของพวกเขา พวกเขายังคงสังเกตเห็นัที่ร่วงหล่นซ่อนตัวอยู่ในความมืดและเปล่งรัศมีที่ดุร้ายออกมา
เนื่องจากมีัหลายประเภท เผ่าัจึงรวมัหลายประเภทเข้าด้วยกันเพื่อให้กำเนิดัชนิดใหม่ ดังนั้นเผ่าัจึงถือได้ว่าเป็เผ่าที่มีความหลากหลายมากที่สุด
แต่ไม่ว่าัทุกตัวจะเป็ประเภทไหน พวกมันก็ล้วนเคารพัทองห้ากรงเล็บในฐานะาา และพวกมันคือัที่มีสายเืัแท้จริงในตระกูลั
เื่ทั้งหมดเป็เพราะัที่แท้จริงเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะเป็ับรรพชน
ับรรพชนเป็ัที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าั และนี่คือความเชื่อของพวกเขา
"ัที่ร่วงหล่นแม้จะมีพลังชีวิตจำกัด แต่เื่นี้ก็ทำให้มันสามารถเพิ่มพลังในการต่อสู้ได้อย่างมาก พวกเราต้องระวังกันเป็พิเศษ" เสวี่ยปิงหนิงกล่าว
หลัวเลี่ยยิ้มและพูดว่า "มีข้าอยู่"
เสวี่ยปิงหนิงเอียงตัวนิดๆ พิงลงไปในอ้อมแขนของหลัวเลี่ย ความมั่นใจของเขาทำให้นางไม่รู้สึกประหม่าอีกต่อไป
ระหว่างการเดินทาง บางครั้งก็มีัโผล่ออกมาโจมตีพวกเขา และพวกเขาก็ฆ่าพวกมันอย่างง่ายดาย ส่วนอาชาเดือนดารัญก็หลบได้อย่างง่ายดายโดยอาศัยความเร็วของมัน ทำให้ัเ่าั้คลั่ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้
หลังจากเดินทางผ่านปากทางเข้าหุบเขามาแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหุบเขาเสียที
ทิวทัศน์ที่เห็นทำให้ทั้งสองตกตะลึง
ที่นี่ไม่ได้เป็เหมือนหุบเขามากนักเพราะมันเหมือนเป็อีกดินแดนหนึ่ง
หุบเขานั้นกว้างใหญ่มากจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด มีทั้งูเา แม่น้ำ ป่าที่เขียวชอุ่ม มีดอกไม้และวัชพืชปกคลุมอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีหินแปลกๆ และเสียงร้องของั
"กรรซ์!"
เสียงร้องแปลกๆ ที่เหมือนเสียงของัดังมาจากทิศทางบนหัวของพวกเขา
มันเป็ัที่มีสีดำสนิททั้งตัว ยกเว้นกรงเล็บที่มีสีแดงเืนก
ัตัวนี้เป็ัปีศาจเช่นกัน เพราะโดยปกติแล้วกรงเล็บัดำของมันจะเปลี่ยนเป็สีแดงเืนกเนื่องจากการเปลี่ยนเป็ปีศาจ ซึ่งทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ขึ้นเป็สองเท่า
ัชั่วร้ายบินโฉบลงมาหวังจะสังหารพวกเขา
หลัวเลี่ยทำเพียงมองไปที่มันและไม่สนใจมัน เขาลูบขนกับแผงคอของอาชาเดือนดารัญซึ่งมีสีขาวและพูดเบาๆ ว่า "สิ่งต่อไปที่เรากำลังมองหาคือัที่ทั้งตัวเป็สีดำสนิท ยกเว้นบริเวณใต้คอที่มีเกล็ดัปิงเหยียนปรากฏออกมา ซึ่งเกล็ดันั้นจะแตกต่างจากเกล็ดัชนิดอื่นอย่างสิ้นเชิง"
"ฮี้!"
อาชาเดือนดารัญร้องออกมาพร้อมทั้งพาหลัวเลี่ยและเสวี่ยปิงหนิงเดินทางหายไปในทันที
เมื่อัตัวนั้นบินโฉบลงมาถึงบริเวณที่หลัวเลี่ยเคยอยู่ มันก็ตระหนักได้แล้วว่าไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมาหลัวเลี่ยและคนอื่นๆ ก็หายไปแล้ว นี่คือความเร็วที่อาชาเดือนดารัญสามารถปลดปล่อยออกมาได้อย่างเต็มที่ มันเร็วมากจนแม้แต่ัยังตามไม่ทัน
จากนั้นทุกคนก็จะเห็นเส้นสีขาวที่มาจากการวิ่งอย่างรวดเร็วของอาชาเดือนดารัญที่บินโฉบไปมาในหุบเขาสุสานั ทำให้หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ในการล่าสมบัติที่นี่ตกตะลึง แม้แต่บางคนที่กำลังต่อสู้อยู่ก็ยังหวาดกลัวและพลาดท่าให้ัปีศาจที่กำลังต่อสู้อยู่ด้วย
พรึ่บ!
ทันใดนั้นอาชาเดือนดารัญก็ร่อนลงบนหินที่สูงราวสามจั้ง
เมื่อหลัวเลี่ยมองไปข้างหน้า เขาก็พบว่าในระยะทางที่ห่างออกไปกว่าสามสิบจั้งนั้นมีัร่วงหล่นมากกว่าสิบสองตัวกำลังต่อสู้กันเอง ราวกับว่าพวกมันกำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลไม้สีแดงเพลิงที่งอกออกมาจากรูปร่างั
ในบรรดาัที่ร่วงหล่นเหล่านี้ หนึ่งในนั้นมีัเกล็ดปิงเหยียนรวมอยู่ด้วย
ร่างของัตัวนั้นไม่เหมือนงูเหลือม แต่เป็ร่างที่เหมือนช้างั์ ลำตัวของมันปกคลุมไปด้วยเกล็ดัสีดำสนิท ขาทั้งสี่หนาเท่าเสา หางยาวเกือบสามจั้ง และสิ่งที่โดดเด่นคือเกล็ดที่มีขนาดเท่าชามซึ่งอยู่ตรงลำคอของมัน แม้เกล็ดอันนี้จะเป็สีดำ แต่รัศมีที่ปล่อยออกมานั้นบางครั้งก็เยือกเย็น และบางครั้งก็ร้อนจนแทบจะลุกเป็ไฟ เกล็ดนี้คือเกล็ดัปิงเหยียนซึ่งเป็สิ่งที่หลัวเลี่ย้า