ณ เรือนพเนจร ในภพจิตั
เย่เิหลงนั่งจิบชาในห้องรับรองด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า ในขณะที่สาวใช้ทั้งสอง หลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวยืนรินน้ำชาให้นางด้วยท่าทางเฉยเมย ท่าทีของทั้งสองไม่ได้ทำให้เย่เิหลงไม่พอใจ เพราะเย่เิหลงรู้ว่าผีเสื้อแห่งรักต้องเป็คนบอกพวกนางว่าเย่เิหลง้าขโมย ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ ไปจากพวกนางเป็แน่
เมื่อเย่เิหลงเห็นหลัวเลี่ยเดินเข้ามาในห้องรับรอง ดวงตาของนางก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที
“พวกเ้าออกไปก่อน ข้า้าคุยเื่สำคัญบางอย่างกับนายของพวกเ้า” เย่เิหลงยืนขึ้น และออกคำสั่งกับหลี่เมิ่งกับจุ้ยหลิวเสมือนว่านางเป็เ้านายคนหนึ่ง
ทั้งหลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวอุทานออกมาหนึ่งคำ แต่ก็ไม่ได้จากไป
เย่เิหลงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “นี่คือสิ่งที่ผีเสื้อแห่งรักสอนพวกเ้ามาหรือ หากพวกเ้าทำให้เื่นี้ล่าช้าจะมาโทษข้าไม่ได้นะ”
เมื่อหลัวเลี่ยเห็นว่าหลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวจะไม่ยอม เขาก็ยิ้มออกมาและโบกมือ “เอาละ พวกเ้าออกไปก่อนเถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เมิ่งกับจุ้ยหลิวจึงถอยออกไป ทว่าก่อนจากไป พวกนางก็มองไปที่เย่เิหลงด้วยสายตาแข็งกร้าว
เย่เิหลงหัวเราะออกมาเบาๆ และพูดว่า “ข้าไม่กลัวผีเสื้อแห่งรักด้วยซ้ำ ดังนั้นหากพวกเ้ายังกล้ายั่วยุข้าอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนแล้วกัน”
“พอเถิด มาพูดเื่ของพวกเรากันดีกว่า” หลัวเลี่ยกล่าว “เ้ามาที่เรือนพเนจรเช่นนี้ แสดงว่าเ้าคงหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมเจอแล้วสินะ”
“พวกเราไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่แล้ว เ้าคิดถึงข้าแค่เพราะเื่นี้หรือ” เย่เิหลงดูเศร้าโศก
หลัวเลี่ยพูดอย่างเฉยเมย “ตอนนี้พลังวรยุทธ์ของข้ามาถึงจุดสูงสุดของระดับสิบแล้ว และข้าก็้าเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมเพื่อให้สามารถทะลวงขั้นพลังได้”
เย่เิหลงพูดด้วยความประหลาดใจ “เร็วมาก ข้าจำได้ว่าเ้าเพิ่งถึงระดับที่สิบเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา แม้ว่าเ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากพลังแก่นแท้ของบุปผางามอาบพิษทั้งสามดอก แต่พลังในระดับผู้ฝึกตนระดับที่สิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเคล็ดวิชาที่เ้าใช้ฝึกฝนคือเคล็ดวิชาั์ มันยิ่งไม่ง่ายเลยที่จะฝึกฝนให้ถึงจุดสูงสุดของระดับที่สิบได้” เย่เิหลงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหลัวเลี่ยอีกครั้ง และชมเขาว่า “สมแล้วที่เ้าได้รับการยอมรับจากเทพ เ้าช่างเป็คนที่น่าทึ่งจริงๆ”
“เ้าก็ไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด ตอนนี้เ้าคงก้าวเข้าสู่ระดับหยินหยางแล้วสินะ” หลัวเลี่ยกล่าว
“แน่นอน เมื่อสองเดือนก่อน พลังของข้าก็ถึงจุดสูงสุดของผู้ฝึกตนระดับที่สิบ ดังนั้นข้าจะไม่พัฒนาขึ้นเลยได้อย่างไร” เย่เิหลงกล่าว “เพียงแต่ว่าด่านแรกของพลังวรยุทธ์ในระดับหยินหยาง แก่น์ และวังชะตา ทั้งสามระดับนี้ก็คือเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม ซึ่งไม่เหมือนกับเคล็ดวิชาั์ เคล็ดวิชาั์นั้นใครจะฝึกฝนก็ได้ แต่จะดูที่กำลังว่าสามารถเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน แต่เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมนั้นมีเงื่อนไขสำคัญอยู่หนึ่งข้อที่เ้าคงทำได้ แต่ข้าทำไม่ได้ ข้าจึงทำได้เพียงฝึกฝนเคล็ดวิชาของสำนักตัวเองเท่านั้น”
“เช่นนั้น สำนักของแม่นางเย่คือสำนักอะไรหรือ?” แม้หลัวเลี่ยจะรู้ว่าเย่เิหลงมาจากแคว้นไหน แต่เื่สำนักที่นางฝึกฝนอยู่กลับเป็เื่ที่ลึกลับมาก
เย่เิหลงเลิกคิ้วขึ้น “เ้าไม่ต้องพูดคำยาวๆ ว่าแม่นางแล้ว เรียกข้าว่าเิหลงเถิด”
หลัวเลี่ยพูดไม่ออก ผู้หญิงคนนี้นี่
“หากเ้าไม่เรียกข้าว่าเิหลง ข้าก็จะไม่บอกเ้าว่าข้าฝึกฝนอยู่สำนักใด และข้าจะไม่มอบเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมให้แก่เ้าด้วย” เย่เิหลงพูดด้วยรอยยิ้ม
“เ้าได้เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมมาแล้วหรือ” หลัวเลี่ยดีใจมาก
เย่เิหลงเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน ข้ารักษาคำพูดเสมอ”
หลัวเลี่ยเอ่ยว่า “รีบเอาออกมาเร็ว”
“เหอะ! เ้าเรียกข้าว่าเิหลงก่อนสิ” เย่เิหลงขยิบตาให้หลัวเลี่ยอย่างสนุกสนาน
“เย่...” หลัวเลี่ยกล่าว
เมื่อเย่เิหลงได้ยิน นางก็ลุกขึ้นเตรียมเดินออกไปทันที
หลัวเลี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “เิหลง พอใจหรือยัง”
“ฮิๆ เรียกอีกสักครั้งสองครั้งสิ” เย่เิหลงเปลี่ยนท่าทีจากโกรธเป็มีความสุขแล้ววิ่งไปหาหลัวเลี่ย จากนั้นนางก็มองไปที่เขาอย่างมีความหวัง
“เิหลง เิหลง เิหลง” หลัวเลี่ยเรียกต่อไปอีกสามครั้ง
เย่เิหลงกล่าวอย่างมีความสุข “ใช้ได้ หลังจากนี้เ้าก็เรียกข้าเช่นนี้นะ อืม ข้าบอกเ้าเื่สำนักของข้าก่อนแล้วกัน นี่น่ะเป็ความลับเลยนะ แม้แต่ในบรรดาเพื่อนของข้าก็มีน้อยคนนักที่จะรู้เื่นี้”
เมื่อหลัวเลี่ยได้ยินเช่นนั้น เขาก็เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ เ้าไม่ต้องพูดแล้ว”
เย่เิหลงไม่ได้พูดอะไรออกมา นางทำเพียงยื่นนิ้วออกไปจุ่มชา จากนั้นก็นำนิ้วนั้นไปวาดสัญลักษณ์ลงบนโต๊ะ
สัญลักษณ์นี้คือ 卍(ว่าน)!
หัวใจของหลัวเลี่ยสั่นไหวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสัญลักษณ์นี้เป็ของสำนักพุทธ
หลัวเลี่ยไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเย่เิหลงจะเป็ศิษย์ของสำนักพุทธ
เย่เิหลงลบสัญลักษณ์ ‘卍’ ที่สื่อถึงสำนักพุทธของนางออกไป “รู้แล้วก็เก็บเป็ความลับไว้นะ นี่ถือว่าเป็ความลับระหว่างเราสองคน”
หลังจากพูดจบ เย่เิหลงก็หันหน้าไปมองทางประตู
หลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวที่อยู่ด้านนอกอีกฝั่งของประตูรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
หลัวเลี่ยส่ายหัว เย่เิหลงยังคงเป็เด็กคนหนึ่งสินะ นางคงแค่อยากแกล้งหลี่เมิ่งและจุ้ยหลิว
“ไม่แปลกใจเลยที่เ้ามั่นใจและกล้าพูดว่าเ้าสามารถช่วยข้าหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมได้” หลัวเลี่ยรู้ดีว่าในดินแดนเหยียนหวงแห่งนี้มีสำนักฝึกวรยุทธ์มากมาย และสำนักยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็สำนักที่ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพชนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเทพ
และสำนักพุทธนั้นถูกสร้างขึ้นโดยการร่วมมือกันของเทพผู้ยิ่งใหญ่สององค์ สิ่งนี้ทำให้สำนักพุทธถือได้ว่าเป็สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนเหยียนหวง
เย่เิหลงกล่าวเสียงดัง “แน่นอนอยู่แล้ว มิฉะนั้น เ้าคิดว่าผีเสื้อแห่งรักจะปล่อยให้เ้ามอบตราัให้ข้าได้ง่ายๆ หรือ นางคงเดาได้ว่าเื้ัของข้าต้องไม่ธรรมดาเป็แน่”
เื่นี้แม้แต่หลัวเลี่ยก็คาดเดาได้ ดังนั้นหลิวหงเหยียนก็คงสามารถมองออกได้อย่างรวดเร็วเป็แน่
“เอาละ ทีนี้เ้าก็มอบเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมมาให้ข้าได้แล้ว” หลัวเลี่ยอยากรีบฝึกฝนแล้ว
เขาอยากทะลวงพลังเข้าสู่ระดับหยินหยางให้เร็วที่สุด
ทันใดนั้นเย่เิหลงก็แสดงสีหน้าลำบากใจออกมา “ข้าได้เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมมาก็จริง แต่ได้มาเพียงครึ่งหลังเท่านั้น”
“หา?”
หลัวเลี่ยถาม “ครึ่งหลัง? แล้วครึ่งแรกเล่า?”
“เื่นี้จะว่าไปก็แปลกมาก ไม่รู้ว่าเป็เพราะเ้ามีพลังวรยุทธ์อยู่ในจุดสูงสุดของระดับสิบ หรือเป็เพราะเ้าถูกเรียกว่าเป็ผู้ที่จะขึ้นเป็เทพในอนาคตกันแน่ ทำให้มีคนคอยขัดขวางเ้าอยู่ ดังนั้นทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมล้วนถูกทำลายจนไม่เหลือเศษซาก” เย่เิหลงกล่าว
ในตอนนั้นเองที่หลัวเลี่ยเพิ่งปะติดปะต่อเื่ราวได้ ว่าที่ตระกูลอูถูกฆ่าล้างตระกูลก็เพราะเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม
เย่เิหลงกล่าวต่อ “อาจารย์ของข้าต้องลงแรงอย่างมากในการค้นหาผู้สืบสายเืแห่งจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมคนสุดท้ายที่ได้เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม จากนั้นจึงต่อรองนำเคล็ดวิชานี้มาได้ แต่ไม่คาดคิดว่าเมื่อได้มาแล้วกลับมีคนเข้ามาหมายจะทำลายเคล็ดวิชานี้ หลังจากการต่อสู้ ในที่สุดอาจารย์ของข้าก็ได้เนื้อหาครึ่งหลังมา ส่วนเนื้อหาครึ่งแรกนั้นกลับถูกคนผู้นั้นชิงไปได้ ดังนั้นข้าจึงมีเนื้อหาแค่ครึ่งเดียว”
นางหยิบเนื้อหาของเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมครึ่งหลังมอบให้หลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น มีเนื้อหาแค่ครึ่งเดียวเช่นนี้แล้วเขาจะฝึกฝนได้อย่างไร
“ข้ารู้ว่าครั้งนี้ข้าไม่อาจทำตามสัญญาได้ครบ และเ้าเป็ฝ่ายเสียเปรียบ แต่เ้าโปรดวางใจ ข้าจะต้องชดเชยให้เ้าในภายหลังอย่างแน่นอน ครั้งหน้าหากเ้าเข้ามาที่ภพจิตั ข้าจะต้องชดเชยให้เ้าแน่ๆ” เย่เิหลงกล่าว
แล้วเช่นนี้หลัวเลี่ยจะพูดอะไรได้อีก
มีคน้าทำลายทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม และเป็ไปได้ว่าเื่นี้อาจเกี่ยวข้องกับเขา อา ไม่ใช่สิ เกี่ยวข้องกับ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ ที่อาจขึ้นเป็เทพได้ในอนาคต ดังนั้นคนพวกนั้นคงคิดว่า อย่างน้อยหากขัดขวางไม่ให้เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ทรงพลังที่สุดในระดับหยินหยาง แก่น์ และวังชะตา ก็คงขัดขวางไม่ให้เขาแข็งแกร่งได้
“ข้าจะคิดหาทางเองแล้วกัน” หลัวเลี่ยอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย
หากไม่สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมได้ เขาก็คงทำได้เพียงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในลำดับรองลงมา
ที่จริงแล้วนอกจากเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม ก็ยังมีเคล็ดวิชาอื่นๆ อีกมากมาย อย่างเช่นตระกูลข่งที่มีวิชานกกระจอกแยกร่าง สำนักพุทธก็มีเคล็ดวิชาที่ทรงพลังอยู่อีกสองถึงสามวิชา
หลัวเลี่ยต้องคิดพิจารณาอย่างรอบคอบอีกทีว่าจะเลือกเคล็ดวิชาใด
เขาอยู่ต่ออีกไม่นาน หลังจากส่งเย่เิหลงกลับไปแล้ว เขาก็ออกมาจากภพจิตัแล้วกลับสู่โลกแห่งความเป็จริง
หลัวเลี่ยเก็บตราหยกเชื่อมิญญา และเริ่มคิดเกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่เขาจะเลือกมาฝึกฝนอีกครั้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้