“คุณหนูเวินซี หากในอนาคตอยากจะเข้าร่วมสำนักหมอหลวง สามารถมาหาข้าได้นะขอรับ”
“สำนักหมอหลวงเป็ส่วนสำคัญแห่งหนึ่งของราชวงศ์ มีอยู่ในทุกพื้นที่ ทั้งยังติดต่อสื่อสารกันตลอด ข้าเชื่อว่าที่นี่จะต้องเป็ประโยชน์ต่อคุณหนูแน่”
หลังจากที่ส่งเวินซีถึงประตูแล้ว หมอผู้เฒ่าก็เอ่ยปากโน้มน้าวนางอีกครา
การเข้าร่วมสำนักหมอหลวงจะได้รับการเคารพนับถือจากผู้คน อีกทั้งยังมีราชวงศ์คอยหนุนหลัง นี่เป็ความใฝ่ฝันของใครหลายคน เขาไม่เชื่อว่านางจะไม่สนใจ
“เ้าค่ะ” เวินซีมิได้พูดอันใดมาก นางจูงมือถันถั่นแล้วกำลังจะเดินออกมา แต่จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความเ็ปดังขึ้น ผู้คนที่มุงดูอยู่ก็พากันเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง
“หลีกทาง”
“เร็วเข้า”
......
ความวุ่นวายพลันเกิดขึ้น ในเวลานั้นผู้คนต่างะโและวิ่งออกไปอย่างไร้เป้าหมาย มีหลายคนที่ล้มลงกับพื้น ยังไม่ทันจะลุกขึ้นก็ถูกเหยียบซ้ำ
เวินซีมองไปข้างหลังอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็มีร่างของชายผู้หนึ่งที่ใหญ่โตไม่เหมือนมนุษย์วิ่งเข้ามาหานาง
“ช่วยข้า...ช่วยข้าด้วย...” เสียงอันแ่เบาดังออกมาจากปากของเขา
นางขมวดคิ้วแล้วให้ถันถั่นหลบออกไป ก่อนที่ร่างใหญ่โตของชายผู้นั้นจะล้มลงกับพื้น
นิ้วของเขาสั่นและพยายามลุกขึ้น แต่ทุกครั้งที่ออกแรงก็จะล้มลงทุกครา
“คุณหนูเวินซี...” ถันถั่นมองดูคนคนนั้นก็หลบไปด้านหลังนางด้วยความหวาดกลัว
“ช่วย...ช่วย...” ชายผู้นั้นพยายามเปล่งคำง่ายๆ ออกมา แต่ปากของเขาก็บวมขึ้นจนพูดมิได้และเงียบไป
เมื่อมองดูเสื้อผ้าของเขา ในที่สุดเวินซีก็จำได้ เขาคือคนรับใช้คนเมื่อครู่
เหตุใดถึงเกิดเื่เช่นนี้? เกิดอันใดขึ้น?
นางมองลงไปที่คนรับใช้ผู้นั้น ในตอนที่กำลังจะนั่งลง ภายในสำนักหมอหลวงก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นอีก
ร่างกายของเด็กที่เพิ่งรักษาได้ก็บวมเป่งขึ้นมาอีกครา แม้แต่มารดาของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ผิวของคนทั้งสามค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีเขียวช้ำ
“พวกเขาคงมิใช่สัตว์ประหลาดหรอกนะ?”
“ข้าว่าเป็ไปได้มากว่าเป็พวกที่ชอบแปลงร่างเป็มนุษย์ แล้วมาดื่มกินเืมนุษย์”
“เช่นนั้นเราต้องเผาให้ตายเลยดีหรือไม่ พวกเขาจะได้ไม่ไปทำร้ายผู้อื่นอีก”
“ใช่ เผาให้ตายเลยดีกว่า”
......
หลังจากที่ร่างของคนรับใช้ล้มลงกับพื้น ผู้คนก็พากันไปมุงดูอีกรอบ
มีคนเสนอแนะขึ้นมา จากนั้นก็มีคนเห็นด้วยมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเดินเข้าไปใกล้ร่างของคนรับใช้
เวินซีขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขาเอ่ยมา
หากพูดตามหลักเหตุและผล เด็กน้อยน่าจะถูกวางยาพิษ แต่ในเมื่อกำจัดพิษทั้งหมดแล้ว เหตุใดในร่างของเขาจึงยังมีพิษอยู่อีก? ผู้ใหญ่อีกสองคนก็ยังติดมาด้วย? หรือว่ามันแพร่ได้? ยาพิษแพร่เชื้อได้หรือ? การวินิจฉัยของนางผิดไปหรือ?
ความสงสัยที่เกิดขึ้นมากมายทำให้เวินซียังไม่กล้าเข้าไปรักษาในทันทีทันใด
ร่างกายของคนรับใช้จากสำนักหมอหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บวมแล้วซูบผอม แล้วกลับมาบวมเป่ง ร่างกายของเขาปริออกเป็าแหลายแห่ง เืไหลออกมาไม่หยุด ส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา
“ทุกคน ปิดจมูกไว้ นี่อาจจะเป็โรคระบาด” หมอผู้เฒ่าขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม
พูดจบ ผู้คนก็ทำตามทันที พร้อมกับพากันออกห่างจากเวินซี
เมื่อครู่นางได้ััใกล้ชิดกับทั้งสามคน จึงต้องป้องกันไว้ก่อน
ยามนี้ทุกคนล้วนตกอยู่ในอันตราย
“พวกเ้า...” ถันถั่นมองดูผู้คนอย่างโกรธเคือง “คุณหนูเวินซี ข้าจะอยู่ด้วยเ้าค่ะ”
แรงที่นางบีบชายเสื้อของเวินซีก็ยิ่งแน่นขึ้นอีก
คุณหนูเวินซีเป็ผู้มีพระคุณต่อนาง เช่นนั้นจะให้นางหลบออกไปได้อย่างไร ถือเป็การเนรคุณได้
เวินซีมองดูถันถั่นก็ยิ้ม พลางหยิบผ้าบางๆ ออกมาปิดจมูกให้ “ปิดไว้ให้ดี”
ยามนี้นางยังหาสาเหตุมิได้ จึงจำเป็ต้องป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า
ถันถั่นพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ปิดปากและจมูกไว้
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น เด็กน้อยที่ดิ้นอยู่เมื่อครู่ก็หมดลมหายใจ ศพของเขานอนราบอยู่ที่โถงสำนักหมอหลวง เขากับมารดาอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
สำนักหมอหลวงที่เต็มไปด้วยหมอ เมื่อเกิดเื่ขึ้นเช่นนี้ พวกเขาย่อมเข้าไปจัดการ แม้จะเป็โรคระบาดแต่จะปัดความรับผิดชอบมิได้ หมอผู้เฒ่าให้ประชาชนออกไปพร้อมทั้งพาหมอคนอื่นๆ ไปโรยหรดาลแดงให้ทั่วสำนัก
คนรับใช้ที่ตัวบวมเป่งถูกหามไปไว้ที่โถงพร้อมกับมารดาของเด็ก หมอทุกคนพากันอุดปากและจมูก จากนั้นเข้ามาดูอาการพวกเขา
ไม่มีผู้ใดสนใจเวินซี นางยืนนิ่งอยู่นาน หลังจากที่แน่ใจว่าร่างกายมิได้มีความผิดปกติใดๆ จึงพาถันถั่นกลับไปที่ร้านเครื่องหอม
เื่โรคระบาดแพร่สะพัดไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก ตลาดที่เคยครึกครื้น ยามนี้กลายเป็พื้นที่ร้างไร้ผู้คน ร้านค้าสองข้างทางปิดลงกันหมด
เวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยาม ทั่วทั้งเมืองก็ราวกับเป็เมืองผีสิง เพียงเดินบนถนนก็รู้สึกเคว้งคว้าง แม้อากาศมิได้หนาว แต่ร่างกายกลับสั่นระริก
“คุณหนูเวินซี...”
ถันถั่นใมากกับเื่ที่เกิดขึ้น นางเดินตัวติดกับเวินซีตลอด เวินซีจึงลูบศีรษะของนางเบาๆ เพื่อให้ผ่อนคลายลง
ทั้งสองกลับไปถึงร้านเครื่องหอมอย่างรวดเร็ว ซึ่งร้านได้ปิดลงนานแล้ว
เวินซียืนเคาะประตูเบาๆ
“ผู้ใดกัน?” เสียงของจ่างกุ้ยดังขึ้นจากด้านใน
“ข้าเอง” เวินซีตอบ
ทันใดนั้นประตูร้านก็ถูกเปิดออกจนเป็ช่อง จ่างกุ้ยรีบพาเวินซีและถันถั่นเข้าไปข้างใน พลันลงกลอนประตูทันที
ในโถงของร้านเครื่องหอมมีเพียงตะเกียงตัวเดียวที่ถูกจุดอยู่ภายใต้แสงสลัว จากนั้นทุกคนก็นั่งลงบนโต๊ะ
“พี่สะใภ้ ไม่เป็อันใดนะเ้าคะ?” เมื่อเอ้อเอ้อร์เห็นนางมาก็วิ่งเข้าไปหา
“เอ้อเอ้อร์อย่าเพิ่งโดนตัวพี่ ตัวพี่สกปรก”
เวินซีเอ่ยห้ามแล้วเดินไปที่ตู้ไม้ จากนั้นหยิบเหล้าที่เคยเตรียมไว้มาฆ่าเชื้อโรคบนร่าง และฆ่าเชื้อให้ถันถั่นด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ฆ่าเชื้อเสร็จ นางจึงเดินไปอุ้มเอ้อเอ้อร์และนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง
“เป็อันใดหรือไม่?” จ้าวต้านที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความกังวล
“มิเป็อันใด” เวินซีคลี่ยิ้มให้พลางส่ายหน้า
“ในเมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะพูดเลยนะขอรับ เพราะว่าโรคระบาดเกิดขึ้นเร็วมาก เรามิได้เตรียมอาหารใดไว้ มีแค่เพียงอาหารจากที่เคยซื้อมาก่อนหน้านี้ เมื่อเป็เช่นนี้เกรงว่าก่อนที่โรคระบาดจะจบลง เราคงต้องทานอาหารกันอย่างประหยัดแล้วล่ะขอรับ”
“รวมถึงตะเกียงด้วย หากไม่จุดก็จะดี เราอดทนกันหน่อย มิเช่นนั้นหากมิใช่เพราะโรค เราก็อาจจะหิวตาย”
จ่างกุ้ยพูดด้วยสีหน้าเศร้า เขาสบตากับเวินซี พลันถอนหายใจตำหนิตนเอง
วัตถุดิบทำอาหารเหลือเพียงเล็กน้อย หาซื้อได้ยากในยามโรคระบาด เกรงว่าพวกเขาจะต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือนใน่ที่ต้องหิวโหยแล้ว
“ทำตามที่จ่างกุ้ยบอก ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถิด” เวินซีกลัวว่าจ่างกุ้ยจะกดดัน จึงเอ่ยทำลายบรรยากาศ
เมื่อตะเกียงดับลง ทุกคนก็พากันไปพักผ่อน
ยามดึก ณ ตระกูลเวิน
เวินเยียนเอนตัวพิงขอบหน้าต่างและมองดูดอกบ๊วยที่อยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินว่ามีเสียงเปิดประตู นางจึงหันหน้าออกไปมอง
เมื่อเห็นว่าเป็สืออี นางก็ปิดหน้าต่างและเดินไปหาเขาที่โต๊ะอย่างกระตือรือร้น
“ยามนี้ไม่เข้ามาทางหน้าต่างแล้วหรือ? เปิดเผยมากจริงเชียว? เ้าไม่กลัวจะถูกคนเห็นเข้าหรือ?” นางเอ็ดเขา
“เห็นเข้า? เช่นนั้นก็ต้องมีคนก่อนสิ? ยามนี้ตระกูลเวินมีเพียงท่านกับนายท่านเวินอวิ๋นโป แล้วจะมีผู้ใดเห็นข้าได้?” สืออีก้าวเข้าไปในห้อง
“พูดมาเถิดว่ามาด้วยเหตุใด?” เวินเยียนได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจนัก จึงเอ่ยปากถามอย่างรำคาญใจ
“ข้ามาเพื่อบอกสถานการณ์ มีคนโดนพิษนั่นแล้ว รออีกเพียงเจ็ดวันตระกูลเวินก็จะกลับมารุ่งเรืองได้”
“เ้ามิได้บอกหรือว่าจะไม่มีผู้ใดตาย? เหตุใดเื่ที่สำนักหมอหลวงถึงได้วุ่นวายเช่นนั้น?”
“เด็กนั่นป่วยอยู่แล้ว อาการที่ควรจะเกิดภายในเจ็ดวันจึงออกมาภายในวันเดียว ถือว่าเป็อุบัติเหตุ จะโทษผู้ใดได้”
“...” เวินเยียนจ้องมองสืออี แล้วไม่พูดอันใด
“ข้ากลับก่อนล่ะขอรับ วันพรุ่งจะมารายงานสถานการณ์ให้” สืออีไม่อยากอยู่ต่อ เขาหันกายและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“เมื่อใดข้าจะได้เจอคุณชายซู?”
“หากตระกูลเวินของท่านกลับมามีชื่อเสียง ก็จะได้พบเขาแล้วขอรับ”
จากนั้นร่างของสืออีก็หายออกไปจากจวนตระกูลเวิน......