บทที่ 41 อาจารย์ก้อนน้ำแข็งออกโรง กับพร์แปลกๆ ของหลี่โม่
หลังจากที่ผู้าุโหานเฮ่อจากไป อิ๋งปิงก็หรี่ตาเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า
“ผู้าุโซางอู่ ท่านมีแผนการใดสำหรับหลี่โม่ใน่สองสามวันนี้หรือไม่?” อิ๋งปิงเอ่ยถาม
“นอกจากเื่การทำอาหารแล้ว ก็ไม่มีกิจสำคัญอื่นใด” ซางอู่ตอบ
“ถ้าอย่างนั้น ขอรบกวนท่านอนุญาตให้ข้ายืมตัวเขาไปสามวัน” อิ๋งปิงเอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าอยากให้เขามาฝึกวิชาดาบกับข้า”
อย่างไรเสีย นางก็มิใช่อาจารย์ของหลี่โม่ หากอยากจะสอนอะไรเขา ก็ต้องขออนุญาตจาก ‘เ้าของ’ ก่อน
“วิชาดาบของเสี่ยวปิงเอ๋อร์ข้าเชื่อถือได้ แต่เพียงสามวัน… เขาจะเรียนรู้ได้มากแค่ไหนกัน?” ซางอู่พยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ข้ามีนี่” อิ๋งปิงหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ มันคือธูปสีฟ้าครามสามก้าน
“ธูปสื่อใจ? เ้าสำนักถึงกับมอบสิ่งล้ำค่านี้ให้เ้าเลยหรือ? ช่างใจกว้างนัก…” ดวงตาเรียวรีของซางอู่เบิกกว้างขึ้น แสดงให้เห็นว่านางรู้คุณค่าของสิ่งนี้
สิ่งนี้มิใช่สิ่งที่ผลิตได้ในแดนบูรพา หากแต่เป็สิ่งที่มาจากจงโจว ทำจากผงไม้แปลกประหลาดที่เรียกว่า ไม้สื่อใจ ผสมกับวัสดุมีค่าอื่นๆ แล้วนำมาปรุงแต่ง การจุดธูปนี้เพื่อฝึกฝนวิชาการต่อสู้ จะทำให้เกิดความเข้าใจและสติปัญญาเพิ่มขึ้นเป็ทวีคูณ
อย่างไรก็ตาม ไม้สื่อใจเติบโตช้ามาก สามร้อยปีจึงจะเติบโตขึ้นเพียงหนึ่งฉื่อ ดังนั้นผลผลิตจึงหายากยิ่ง สิ่งที่สำนักเหลืออยู่ในยามนี้คงมีไม่มากนัก เป็ของที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งรุ่นแรกทิ้งไว้ และเ้าสำนักรุ่นต่อๆ มาก็เก็บสะสมไว้อย่างประหยัด การที่มอบธูปสื่อใจให้อิ๋งปิงถึงสามก้าน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่สำนักมีต่อนางอย่างชัดแจ้ง
ซางอู่เกาศีรษะพลางรู้สึกอายเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าตนเองจะมิได้ทำอะไรเลย นอกจากมอบวิชาการต่อสู้สองเล่มให้ศิษย์ แล้วก็มาอาศัยกินดื่มที่นี่…
“เดี๋ยวก่อน… เ้าหมายความว่าจะใช้ธูปสื่อใจนี้กับเสี่ยวโม่หรือ?” ซางอู่ได้สติกลับมา
“อืม… ของสิ่งนี้หากเก็บไว้กับข้าก็ไร้ประโยชน์” อิ๋งปิงพยักหน้า
“ดี! เช่นนั้นก็ฝากเ้าด้วย”
“จิ๊ๆๆ… เ้าเด็กนี่ช่างโชคดีเสียยิ่งนัก” ซางอู่ยิ้มและพยักหน้าตกลง ของดีๆ ที่นางมิได้ใช้ หากลูกศิษย์ได้ใช้ก็ย่อมเหมือนกันนั่นเอง
ภายในห้อง
หลี่โม่เพิ่งจะเปิดเส้นชีพจรได้อีกหนึ่งเส้นพอดี กลายเป็สิบเอ็ดเส้นชีพจร โลกส่วนตัวของเขาก็ขยายขึ้นเล็กน้อยเพียงไม่กี่ฉื่อ
จากนั้นเขาก็เห็นอิ๋งปิงเปิดประตูเข้ามา
…
“ให้เ้าสอนวิชาดาบ?”
“อืม… ตามข้าลงมา” อิ๋งปิงมีสีหน้าสงบเยือกเย็น ก่อนจะกล่าวจบและหันหลังเดินลงบันไดไป
“จู่ๆ ก็เป็อะไรไป…” หลี่โม่เกาศีรษะ ดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย ยัยก้อนน้ำแข็งผู้นี้มิใช่คนช่างพูดช่างจา เื่ที่เกิดขึ้นใต้เขาชิงเยวียน นางมิได้เอ่ยออกมา แต่คงจดจำฝังใจอยู่ในห้วงสำนึก
ก็นับว่าดี เมื่อมียัยก้อนน้ำแข็งอยู่ เขาก็จะประหยัดความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ได้มาก
แม้จะรู้ว่าตนเองมิใช่คนที่มีพร์ในการฝึกดาบ แต่เสี่ยวหลี่น้อยก็มิได้คิดจะละทิ้งมันไปเสียทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ในยามนี้เขาก็มิมีวิชาการต่อสู้อื่นใดที่จะฝึกอีกแล้ว
ลานโล่งของศาลาชิวสุ่ย
ในกระถางทองแดง มีควันสีเขียวครามลอยเอื่อยๆ กลิ่นของธูปนี้ เมื่อสูดดมเข้าไปกลับรู้สึกถึงความสดชื่นแจ่มใส และความคิดที่แล่นไหล
หลี่โม่รู้ว่านี่คือของดี
“จากขั้นแตกฉานไปสู่ขั้นสมบูรณ์ หมายถึงเ้าได้ทำให้วิชาการต่อสู้กลายเป็ส่วนหนึ่งของตนเองอย่างแท้จริง ไม่ยึดติดกับกระบวนท่าอีกต่อไป”
“กระทั่ง… ไม่จำเป็ต้องอาศัยกระบวนท่าดาบอีกแล้ว”
“ในทำนองเดียวกัน กระบวนท่าดาบทุกกระบวนท่าล้วนเข้าใกล้ความหมายที่แท้จริงแห่งวิถีดาบ หากเข้าใจสิ่งหนึ่ง ก็จะเข้าใจสิ่งอื่นได้เป็ร้อย”
อิ๋งปิงรวบนิ้วมือ แล้วปาดเบาๆบนไม้ไผ่ที่อยู่ข้างๆ พลันปรากฏรอยขนนกกระเรียนทันที ทว่ามิใช่สีแดงเพลิง หากแต่เป็สีฟ้าน้ำแข็ง
ดวงตาของหลี่โม่เบิกกว้าง อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความทึ่ง วิชาดาบกระเรียนเพลิงนับพันของยัยก้อนน้ำแข็ง กลับกลายเป็ ‘ดาบกระเรียนน้ำแข็งนับพัน’ เสียแล้ว!
แสดงว่าวิชาดาบระดับสูงแขนงนี้ ถูกนางเข้าใจและซึมซับได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่เคยเห็นนางฝึกวิชานี้เลยนี่นา
“วิชาดาบของเ้าเข้าถึงขั้นแก่นแท้ ควรจะสามารถควบคุม่เวลา จำนวน และตำแหน่งของการะเิพลังได้อย่างอิสระ กระทั่งสามารถรวมพันขนนกเป็หนึ่งเดียว หลอมรวมเป็จุดเดียว ทะลุทะลวงได้แม้กระทั่งหินผา”
คำกล่าวเพิ่งจบ ขนนกกระเรียนบางส่วนในนั้นพลันะเิออก พลังกลับแข็งแกร่งกว่าการะเิเดี่ยวถึงสิบเท่า
เพล้ง—
“สิ่งที่เ้าต้องทำตอนนี้ คือการลืม‘กระบวนท่า’ไปเสีย จงหยิบดาบขึ้นมา”
“ดี” หลี่โม่หยิบกระบี่ชิงกังที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นออกมา เขากำลังเตรียมที่จะลงมือ ทว่ามือเล็กๆ ที่เย็นเฉียบและนุ่มนิ่มก็คว้ามือของเขาไว้ พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของหญิงสาวที่ลอยมาปะทะหน้า
อิ๋งปิงจับมือเขาแน่น
หลี่โม่ “!”
ความรู้สึกนี้แตกต่างจากตอนที่ะโลงไปในหุบเขาชิงเยวียน ยามนั้นเขากำลังร่วงหล่นอย่างอิสระ สมองว่างเปล่า จะมีจิตใจไปคิดเื่อื่นได้อย่างไร
ตอนนี้…
“อย่าเสียสมาธิ ข้าจะสอนเ้าเพียงครั้งเดียว” เสียงใสเย็นดังขึ้นที่ข้างหู
นี่เป็การสอนแบบจับมือสอนอย่างแท้จริง แม้แต่บรรดาศิษย์ในชาติก่อนของนาง ผู้มีอัจฉริยะล้นฟ้า นางก็เพียงแค่ชี้แนะสองสามประโยคเท่านั้น อิ๋งปิงไม่เคยสอนใครอย่างจริงจังถึงเพียงนี้มาก่อน
“ได้” หลี่โม่รวบรวมสมาธิ ตั้งใจศึกษา
หนึ่งเค่อผ่านไป อิ๋งปิงปล่อยมือเขา แล้วยืนนิ่งอยู่ข้างกาย ในมือของนางมีสิ่งหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเอามาจากไหน นางมองเขาด้วยแววตาสงบ ใบหน้าสวยเปิดออกเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า
“ฝึก”
หลี่โม่ “…”
ยัยก้อนน้ำแข็งผู้นี้มิได้หมายความว่า หากฝึกไม่ถูก ก็จะเอาไม้เรียวมาตีฝ่ามือเขาหรอกกระมัง?
ห้านาทีต่อมา หลี่โม่ก็ได้คำตอบ
มิใช่ฝ่ามือ
“ข้าโตขนาดนี้แล้วนะ ยังจะตีบั้นท้ายอีก!” หลี่โม่กุมบั้นท้ายประท้วง เจ็บก็มิได้เจ็บหรอก หากแต่เสียหน้าต่างหาก!
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ซางอู่หัวเราะจนตัวงอไป กลิ้งไปมาบนเก้าอี้ยาว น้ำตาไหลพราก
อิ๋งปิงมิได้สะทกสะท้าน ก้มหน้าลงแล้วกล่าวว่า
“จงลืมกระบวนท่าไป เ้าเพิ่งใช้กระบวนท่าดาบอีกแล้ว พลังเริ่มจากพื้นดิน พุ่งออกมาจากเส้นชีพจร ไม่ต้องอาศัยกระบวนท่าดาบ ก็สามารถทำได้เช่นกัน”
เื่บั้นท้ายนางมิได้เอ่ยถึงเลยแม้แต่คำเดียว
ก็คือ… ไม่มีทางต่อรอง
ดี… ดี… ดี… ข้าหลี่น้อยคนนี้หากมิได้แสดงฝีมือบ้าง คงมิอาจทำให้เห็นว่าข้าเป็ยอดฝีมือที่เหนือกว่าธรรมดาใช่หรือไม่
ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์… ทำงาน!
【ป้อนความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ห้าปีสำเร็จ】
【ปีที่หนึ่ง: ท่านได้รับการชี้แนะจากอิ๋งปิง ได้รับแรงบันดาลใจ และเริ่มพยายามค้นหาสาระสำคัญของวิชาดาบ ลืมการมีอยู่ของกระบวนท่าดาบ】
…
【ปีที่ห้า: หลังจากฝึกฝนอย่างหนัก ท่านก็ลืมกระบวนท่าดาบไปได้ครึ่งหนึ่ง สามกระบวนท่าแรกมิยึดติดกับรูปแบบอีกต่อไป】
โธ่เอ๋ย! ได้รับการชี้แนะจากยัยก้อนน้ำแข็งผู้นั้น ใช้ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ไปห้าปี ยังได้เพียงเท่านี้เอง!
หากฝึกเองแบบคลำทาง ก็มิรู้จะต้องใช้เวลาเท่าใด
“ข้าพร้อมแล้ว” หลี่โม่หยิบดาบขึ้นมา แล้วเริ่มฝึกฝนอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วอย่างแท้จริงหรือ?” มองดูเขาฟันดาบ ดวงตาของอิ๋งปิงปรากฏแววประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าฟันได้ไม่กี่ดาบ หลี่โม่ก็พลันหยุดลง
“เอ่อ… รบกวนท่านช่วยสอนข้าอีกครั้งได้หรือไม่?”
“…ได้” อิ๋งปิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าตกลง
ดังนั้น ชั้นเรียนดาบเล็กๆ ของยัยก้อนน้ำแข็งผู้นั้นจึงเปิดสอนอีกครั้ง
…
“เ้ารอข้าประเดี๋ยว…”
“ข้าเข้าใจแล้ว! เ้าช่วยสอนข้าอีกคราได้หรือไม่?”
…
ฉากนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อิ๋งปิงมีความรู้สึกแปลกประหลาดที่มิอาจอธิบายได้ รู้สึกว่าหลี่โม่… ทั้งฉลาดและโง่งมในคราวเดียวกัน?
ยามสอนก็ดูงุ่มง่าม มักจะต้องปรับแก้และชี้แนะเอง แถมยังทำผิดพลาดในสิ่งที่นางคิดว่าไร้สาระบ่อยครั้ง แต่พอนางให้เขาหลับตาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ราวกับบรรลุแก่นแท้ ข้อผิดพลาดเ่าั้ก็พลันหายไปหมดสิ้น ผ่านไปชั่วครู่ ก็ต้องให้นางกลับมาสอนสิ่งใหม่ๆ ต่อไป
นางไม่รู้ว่าหลี่โม่กำลังประหยัดความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์อยู่ต่างหาก
สามวันต่อมา
ยัยก้อนน้ำแข็งผู้นั้นเพิ่งทะลวงขอบเขตเข้าสู่สิบสองเส้นชีพจร และได้ฝันอีกครั้ง
ฝันถึงยามที่นางยังเป็ผู้ดูแลตำหนักกุ้ย และยังมิได้ขึ้นเป็จักรพรรดินีหงส์์ ในห้วงเวลานั้น ฝ่ายธรรมะและอธรรมในจงโจว ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ราชสำนักนั่งดูเสือกัดกัน พลางกระพือโหมไฟอยู่เื้ั โดยหวังให้สำนักต่างๆ ได้รับาเ็สาหัสทั้งสองฝ่าย
ตำหนักกุ้ยเป็ทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรม แทบมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการยุทธภพ หากแต่กลับรวบรวมนักบวชหญิงผู้แข็งแกร่งเกือบครึ่งหนึ่งของเก้า์สิบดินแดนไว้ด้วยกัน ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดึงนางเข้ามา
ทว่าราชวงศ์ต้าอวี้มิได้้าให้ตำหนักกุ้ยเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจะทำลายสมดุล ดังนั้น ในห้วงเวลานั้นองค์รัชทายาทผู้กำลังเป็ผู้สำเร็จราชการแทน ได้เตรียมของหมั้นมากมายจนทำให้กองกำลังใหญ่ๆ ต้องอิจฉา ส่งมอบให้กับตำหนักกุ้ย
“รัชทายาทผู้นี้ขอร่วมเป็ทองแผ่นเดียวกันกับประมุขตำหนักกุ้ย เพื่อผูกมิตรตลอดกาล”
นี่มิใช่ครั้งแรกที่มีคนมาสู่ขอ หากแต่เป็ครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทว่าอีกฝ่ายมิอาจต้านทานได้แม้แต่ดาบสามกระบวนท่า
“ข้ามิได้สนใจคนอ่อนแอ”
มีคนมาคอยรบกวนนางอยู่เสมอ ช่างน่ารำคาญเสียจริง ความจริงแล้วนางมิได้สนใจเื่อำนาจจักรพรรดิ หรือการฆ่าฟันสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย นอกจากความมั่นคงแห่งวิถีแห่งยุทธ์แล้ว ก็มิมีสิ่งใดที่นางสนใจอีก
ทว่าหลังจากนั้น ก็เกิดการเล่าขานต่อๆกันไป จนกลายเป็…
“ประมุขตำหนักกุ้ยชอบบุรุษที่แข็งแกร่งกว่านาง”
ข่าวลือนี้ยังคงแพร่สะพัดจนกระทั่งนางได้เป็จักรพรรดินีหงส์์ หากแต่ไม่มีใครกล้ามาท้าทายอีกต่อไปแล้ว…
“่นี้ฝันบ่อยเหลือเกิน…”
“ยังมิถึงขั้นปราณญาณเทพ ท้ายที่สุดก็ยังมิอาจควบคุมจิติญญาของตนเองได้”
อิ๋งปิงลุกขึ้นปัดหยาดน้ำค้างแข็งบนไหล่ เสียงดาบฟันดังมาจากนอก นางจึงเปิดหน้าต่างออก
ใต้แสงอาทิตย์ยามอรุณ เด็กหนุ่มกำลังฝึกดาบ เงากระบี่บางคราก็กลายเป็หลายร้อยหลายพัน บางคราก็รวมกันเป็หนึ่งเดียว ควบคุมได้ดั่งใจ ลื่นไหลดุจเมฆ ราวกับนกกระเรียนเซียนกำลังร่ายรำ
อิ๋งปิงจ้องมองอย่างเงียบงัน มุมปากของนางยกขึ้นเป็รอยยิ้มโดยมิรู้ตัว นางน่าจะยังเป็อาจารย์ที่ดีอยู่ แน่นอนว่าก็เกี่ยวข้องกับพร์ของหลี่โม่ด้วยเช่นกัน
กล่าวแล้วก็นับว่าแปลก ที่ว่าหากมีผู้สอน เขาก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าไม่มีผู้สอน ก็ธรรมดาไปเสียอย่างนั้น
โดยสรุป แม้จะติดขัดอยู่บ้าง หากแต่เขาก็สามารถฝึกวิชาดาบระดับสูงแขนงนี้จนบรรลุขั้นเข้าถึงแก่นแท้ได้ เดิมทีอิ๋งปิงคิดว่าเพียงถึงขั้นสมบูรณ์ก็ถือว่าดีแล้ว เรียกได้ว่าเกินความคาดหมายไปมาก
รออีกครึ่งเดือน เมื่อระบบจัดอันดับอัจฉริยะในแดนบูรพาเปิดใช้งาน บางทีนางอาจจะได้เห็นเขาอยู่ในอันดับกลางๆ ของรายชื่อก็เป็ได้?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้