เยี่ยนชีฝึกกระบี่เสร็จเรียบร้อย เมื่อกลับเข้าห้องก็เห็นหนิงโม่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า บนโต๊ะมีชุดสีแดงเข้มวางไว้หนึ่งตัว สีสันโดดเด่นสะดุดตา
เขากะพริบตาปริบๆ และเอ่ยถาม “เ้านาย นี่คือชุดที่แม่นางเสิ่นมอบให้ท่านหรือ?”
เขาหูดี ขณะที่ฝึกกระบี่ในลานบ้านเมื่อครู่ จึงได้ยินคำสนทนาของทั้งสอง
หนิงโม่ส่งเสียง “อืม” ออกมาอย่างไร้อารมณ์
จิติญญาแห่งความอยากรู้อยากเห็นของเยี่ยนชีถูกกระตุ้น เขาลูบคางเริ่มวิเคราะห์เื่ราว
“เ้านาย ท่านรู้สึกหรือไม่ว่า แม่นางเสิ่นผู้นั้นชักจะหลงใหลเสน่ห์ของท่านแล้ว?”
ใบหน้าของหนิงโม่ไร้ซึ่งอารมณ์ ผิวพรรณขาวผุดผาด ริมฝีปากแดงระเรื่อ เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับภาพวาดปลายพู่กันของจิตรกรเลื่องชื่อ
ความงดงามเยี่ยงนี้ไม่รู้ว่าสตรีมากมายเท่าใดในเมืองหลวงที่เฝ้าปรารถนาถึงและเขย่งเท้ารอ เพียงเพื่อได้มองเ้านายของเขาจากที่ไกลๆ ดังนั้นหากเสิ่นม่านเหนียงชื่นชอบเ้านายของเขา จึงมิใช่เื่แปลก
เยี่ยนชียังคงวิเคราะห์ต่อไปอย่างไม่กลัวตาย “ท่านคิดดูสิ หากนางไม่ได้ชอบท่าน แล้วเหตุใดจึงต้องซื้อชุดให้ แล้วยังทำอาหารให้ทุกวัน? สตรีที่เพียบพร้อมเช่นนี้ หากสู่ขอกลับไปก็ถือว่าไม่เลว แต่น่าเสียดายที่อ้วนไปสักหน่อย…”
เยี่ยนชียังคงพล่ามต่อโดยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของใครบางคนที่ดูแย่ลงเรื่อยๆ “อันที่จริง แม่นางเสิ่นหน้าตาถือว่าใช้ได้ หากผอมลงมาสักหน่อยก็น่าจะเป็หญิงงามคนหนึ่ง ทว่าเ้านายกับนางคงไม่มีทางลงเอยกันได้ นางคือหญิงหม้ายลูกติด นายท่านกับฮูหยินต้องไม่ยินยอมแน่”
“ชิว เยี่ยน ชี”
หนิงโม่เรียกเขาด้วยชื่อแซ่ การเรียกเช่นนี้มักจะเป็เวลาที่เขาโมโห
เยี่ยนชีหดคอ เขารู้สึกหนาวเย็นอย่างแปลกประหลาด “เ้า เ้านาย”
“เ้าออกไปวิ่งยี่สิบลี้ วิ่งไม่ถึงห้ามกลับมานอน ห้ามใช้วิชาตัวเบาด้วย”
เยี่ยนชีที่ได้แต่ขมวดคิ้ว “...”
เฮ้อ น่ารันทดเหลือเกิน เ้านายมักจะเป็เช่นนี้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไร้เยื่อใยและไร้เหตุผล
......
ั้แ่คังต้าลี่เริ่มทำงาน เขาเป็คนแรกที่เริ่มงานในโรงทำเต้าหู้เสมอ กลางคืนก็จะเป็คนสุดท้ายที่เลิกงาน การจ่ายค่าแรงของเสิ่นม่านนั้นคิดตามงานที่ทำได้ต่อวัน คังต้าลี่ไม่เพียงโม่ถั่วเหลือง ยังกดเต้าหู้อีกด้วย
การโม่ถั่วเหลืองอิงตามน้ำหนัก การกดเต้าหู้ก็ด้วย ทั้งวันหากเขาไม่อู้งาน จะสามารถหาเงินได้ราวสามร้อยอีแปะ
นี่คือจำนวนค่าแรงที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยได้ ในอดีตไม่ว่าเขาจะไปช่วยทำงานโบกดินปูนหรือกระเบื้อง วันหนึ่งอย่างมากที่สุดก็จะได้เพียงสองร้อยอีแปะ ทั้งยังลำบากแทบตาย บางครั้งเจอกับเ้าบ้านไม่ดีก็จะโดนลากยาวไม่ยอมจ่ายค่าแรง
ไหนเลยจะใจกว้างเช่นเสิ่นม่านเหนียง
แต่ละคนในโรงทำเต้าหู้ต่างก็ได้ัักับความหอมหวานนี้ เวลาทำงานจึงขยันขันแข็งมากกว่าเดิม
เสิ่นม่านเห็นการเปลี่ยนแปลงของพวกเขา แต่การควบคุมดูแลนั้นก็ไม่ได้ผ่อนปรนแต่อย่างใด ทุกวันนางจะพาเสี่ยงตง ต้าเป่า และเสี่ยวหลานมาคอยจับตาดูพวกเขา เสี่ยวตงใฝ่เรียน แม้จะเป็ตอนเฝ้างาน เขายังคงถือตำราอ่านประจำ
ต้าเป่าเองก็เลียนแบบ เขาหยิบตำรามานั่งข้างญาติผู้พี่ เด็กทั้งสองเรียนรู้จากกันและกัน เพียงไม่กี่เดือนก็รู้อักษรถึงหลายร้อยตัว
หนิงโม่ในฐานะอาจารย์ของพวกเขา ได้เห็นพัฒนาการของเด็กทั้งสองในสายตา จึงเอ่ยกับเสิ่นม่าน
“เด็กสองคนของเ้าถือว่ามีพร์ในการเล่าเรียน ข้าช่วยพวกเขาได้เพียงแค่่ปฐมวัย ต่อไปต้องหาอาจารย์ให้พวกเขาอย่างจริงจัง เช่นนี้จะดีต่อพวกเขาในการสอบถงเซิงและซิ่วไฉ เพื่อก้าวสู่เส้นทางขุนนางในภายภาคหน้า”
เสิ่นม่านเองก็รู้สึกว่าตอนนี้นางมีเงินเพียงพอ เื่การเรียนของเด็กๆ สมควรผลักดันให้ไปไกลอีกหนึ่งระดับ
ตอนที่ขายเต้าฮวย เสิ่นม่านมักจะคอยถามลูกค้าว่าสำนักศึกษาใดในตำบลที่มีอาจารย์ดีๆ
เนื่องจากตอนนี้เป็่กลางฤดูหนาว อีกไม่กี่วันทางสำนักศึกษาก็จะให้หยุดเรียนแล้ว หากจะสมัครเรียนก็ต้องรอจนต้นฤดูใบไม้ผลิปีถัดไปถึงจะได้
วันนี้คือวันตงจื้อ [1] หลังจากเสิ่นม่านส่งมอบสินค้าเรียบร้อยก็ให้คนงานหยุดหนึ่งวัน เนื่องจากวันนี้มีแขกคนสำคัญมาที่บ้าน
นางเตรียมวัตถุดิบไว้มากมายแต่เช้า หมูสามชั้น ลิ้นหมู เนื้อแกะ เนื้อวัวหั่นบางๆ แล้วยังซื้อกระเพาะวัวกับไขมันวัวในราคายี่สิบอีแปะจากร้านขายเนื้อมาด้วย
ในสถานที่ที่ผู้คนยังไม่รู้จักหม้อไฟว่ และบังเอิญว่าวันนี้จางหงเหวินจะพาภรรยากับลูกมาเยี่ยมที่บ้าน เสิ่นม่านจึงถือโอกาสซื้อวัตถุดิบเครื่องปรุงในการทำหม้อไฟมารอต้อนรับพวกเขา
นางสั่งทำหม้อยวนยางจากช่างเหล็ก เนื่องจากมีของที่หนิงโม่กินไม่ได้หลายอย่าง นางจึงใช้สูตรลับพิเศษทำน้ำแกงใสที่เห็นก้นหม้อ รับรองว่าเขาต้องได้ลิ้มรสในระดับเดียวกันได้
ส่วนผักต่างๆ มีหน่อไม้กับเผือกที่ปลูกในสวนของนาง แล้วก็ของที่ทำจากถั่วเหลือง ไม่ว่าจะเป็ฟองเต้าหู้แช่น้ำ ฟองเต้าหู้ทอด รวมถึงเต้าหู้นิ่ม
่ใกล้เที่ยง รถม้าของตระกูลจางก็มาถึง จางหงเหวินกับภรรยาลงจากรถม้าพร้อมนำของขวัญเทศกาลมามอบให้เสิ่นม่าน เสิ่นม่านรับไว้ ขณะที่กำลังจะให้เด็กๆ ขนเข้าเรือนก็เห็นรถม้าอีกหนึ่งคันตามมาด้านหลัง พร้อมทั้งมีชายหนุ่มเดินลงมาอีกสองคน
ชายคนหนึ่งสวมชุดสีฟ้าเข้ม ท่าทางสุขุมอ่อนโยน หว่างคิ้วมีไฝสีแดงหนึ่งเม็ด ใบหน้าคล้ายกันกับจางหงเหวินอยู่ไม่น้อย
ส่วนชายอีกคนรูปร่างหน้าตาหยาบกระด้างกว่าเล็กน้อย สีผิวออกเข้ม ร่างกำยำ แต่ั์ตากลับดูหลักแหลม ดูแล้วน่าจะเป็เ้าหน้าที่ทางการ
จางหงเหวินแนะนำเสิ่นม่าน “ท่านนี้คือพี่ชายข้า และเป็นายอำเภอของอำเภอเรา ส่วนอีกท่านหนึ่งคือสหายของพี่ชายข้า นามว่าหวังฉีเว่ย”
ฉีเว่ย?
เสิ่นม่านรีบตรวจสอบผังข้าราชการในสมองอย่างรวดเร็ว จึงรู้ว่าหวังฉีเว่ยผู้นี้เป็ถึงขุนนางขั้นแปดบน ซึ่งสูงกว่าขั้นเก้าของนายอำเภออย่างจางหงอี้เล็กน้อย
นี่เป็ครั้งแรกที่ได้ต้อนรับขุนนางในบ้าน เสิ่นม่านยิ้มแย้มพองามและไม่มีท่าทางหยิ่งยโส นี่คือหลักในการดำรงชีวิตของนาง
คนทั้งหมดเดินยิ้มแย้มเข้าเรือน เมื่อได้เห็นหม้อไฟที่แปลกใหม่ ทุกคนต่างก็สนใจเป็พิเศษ เสิ่นม่านคีบผักเตรียมหม้อไปพลางพูดคุยสนทนาทั่วไป
นางไม่ได้ประจบสอพลอจนเกินเหตุ ทำให้ผู้มาเยือนทั้งสองพึงพอใจ เดิมทีได้ยินเื่ราวของหญิงอัศจรรย์ที่คิดค้นเต้าหู้ พอวันนี้ได้มาเจอ คนผู้นี้มีกิริยาท่าทางสง่าผ่าเผย ถึงขั้นดูมารยาทงามกว่าคุณหนูตระกูลผู้ดีเสียอีก
กิริยาท่าทางไม่ได้มีกลิ่นอายเฉกเช่นสตรีชนบทแต่อย่างใด
พวกเขาชื่นชมหญิงสาวเช่นนี้ เพียงแต่......
ั้แ่วินาทีที่จางหงอี้เข้ามาในบ้าน สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่หนิงโม่ ซึ่งยืนอยู่มุมหนึ่ง
ระหว่างงานเลี้ยง คนทั้งหมดกินกันอย่างเอร็ดอร่อย มีเพียงจางหงอี้ที่ยังคงจ้องหนิงโม่ แววตายิ้มเหมือนไม่ยิ้ม จากนั้นเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“น้องชายท่านนี้ดูคล้ายสหายเก่าที่ข้าเคยรู้จักยิ่งนัก”
เมื่อหนิงโม่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“ท่านคงจำคนผิด”
ทั้งสองคนสบตากัน ในแววตานั้นราวกับมีประจุไฟ
-----
เชิงอรรถ
[1] ตงจื้อ หรือ เทศกาลฤดูหนาว ซึ่งอยู่ใน่ระยะเวลากลางฤดูหนาว ประมาณเดือน 11 และใกล้เคียงกับเทศกาลล่าปา ในสมัยชุนชิว วันตงจื้อเป็วันที่มีเวลากลางวันสั้นที่สุดและเวลาคืนยาวที่สุดในรอบปี เมื่อผ่านพ้นตงจื้อไปแล้วกลางวันจะยาวขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นในสมัยโบราณจึงมีการสันนิษฐานว่า วันตงจื้อนั้นเป็วันขึ้นปีใหม่ ชาวบ้านจึงมีการฉลองอย่างครึกครื้นเป็การใหญ่
