ตอนที่ 6 เพราะความโลภแท้ ๆ
เหรียญทองแดงสามสิบห้าอีแปะในถุงผ้าอาจจะดูไม่มากนัก แต่สำหรับหลิงซีในยามนี้ มันหนักอึ้งราวกับทองคำพันชั่ง นี่คืออิฐก้อนแรก คือศิลาฤกษ์ที่จะใช้สร้างปราสาทแห่งอนาคตของครอบครัวนาง!
ความรู้สึกภาคภูมิใจและความสุขเอ่อล้นอยู่ในอกจนนางเผลอฮัมเพลงเบาๆ ขณะเดินชมตลาดที่คึกคักไปด้วยผู้คน นางไม่ได้รีบร้อนกลับบ้านในทันที เพราะนางรู้ดีว่า ‘การมีเงินแต่ไร้ซึ่งปัญญา ก็เหมือนมีดาบที่ดีแต่ไร้ซึ่งฝีมือ’ เงินก้อนนี้ต้องถูกใช้อย่างชาญฉลาดที่สุด
นางเดินตรงไปยังร้านขายข้าวสารที่ใหญ่ที่สุดในตลาด กลิ่นหอมของข้าวใหม่ลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ พ่อค้าเถ้าแก่ร่างท้วมกำลังต้อนรับลูกค้าอย่างแข็งขัน
"เถ้าแก่ ข้าวสารขาวอย่างดีขายอย่างไรหรือเ้าคะ?" หลิงซีเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
เถ้าแก่เหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก "ห้าอีแปะต่อหนึ่งชั่ง ไม่ลดราคา"
หลิงซีพยักหน้ารับรู้ นางรู้ว่านี่คือราคามาตรฐาน นางไม่ได้ต่อรองอะไร แต่กลับเดินไปดูข้าวชนิดอื่นแทน ข้าวหัก ข้าวปลาย และสุดท้าย นางก็ไปหยุดอยู่หน้ากระสอบ "ข้าวกล้องแดง" ซึ่งเป็ข้าวที่คนจนกินกัน
"แล้วข้าวชนิดนี้เล่าเ้าคะ?"
เถ้าแก่ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย "ข้าวกล้องแดงน่ะรึ? สองอีแปะต่อหนึ่งชั่ง แม่หนู จะเอาข้าวชนิดนี้จริงๆ หรือ? มันทั้งหยาบทั้งแข็งนะ"
หลิงซียิ้ม "ข้าทราบเ้าค่ะ งั้นข้าขอซื้อข้าวขาวครึ่งชั่ง และข้าวกล้องแดงห้าชั่งเ้าค่ะ"
การตัดสินใจของนางทำให้เถ้าแก่ถึงกับเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ชาวบ้านส่วนใหญ่ถ้ามีเงินพอ ก็มักจะซื้อแต่ข้าวขาว หรือไม่ก็ซื้อข้าวหักไปผสมเพื่อประหยัด แต่เด็กสาวคนนี้กลับซื้อข้าวขาวเพียงเล็กน้อย และซื้อข้าวกล้องแดงจำนวนมากแทน
"แม่หนู เ้าแน่ใจนะ?" เขาถามย้ำอีกครั้ง
"แน่ใจเ้าค่ะ" หลิงซีตอบอย่างมั่นคง นางมีความรู้จากโลกเก่า ข้าวกล้องแดงอาจจะไม่อร่อยเท่าข้าวขาว แต่มันมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่ามาก! เหมาะสำหรับฟื้นฟูร่างกายของคนในครอบครัวที่ขาดสารอาหารมานาน ส่วนข้าวขาวครึ่งชั่งนั้น นางมีแผนจะใช้มันในวิธีที่พิเศษกว่าแค่การหุงกิน
นางจ่ายเงินไปสิบสองอีแปะครึ่ง เหลือเงินอีกยี่สิบสองอีแปะครึ่ง จากนั้นนางก็เดินตรงไปยังแผงขายเนื้อหมูที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายไปทั่วตลาด พ่อค้าเขียงหมูร่างกำยำกำลังสับเนื้อเสียงดังฉับๆ
"ท่านลุง ข้าขอซื้อเนื้อสามชั้นครึ่งชั่ง และกระดูกหมูสองชั่งเ้าค่ะ"
อีกครั้ง ที่การสั่งของของนางทำให้คนขายต้องมองด้วยความแปลกใจ คนจนส่วนใหญ่มักจะซื้อแค่เศษเนื้อติดมันหรือกระดูกไปต้มซุป แต่นางกลับซื้อเนื้อสามชั้นอย่างดีครึ่งชั่ง!
"ได้เลยแม่หนู! ตาถึงจริงๆ!" พ่อค้าหัวเราะร่า เขารีบเลือกเนื้อสามชั้นส่วนที่สวยที่สุดให้ แล้วเลาะกระดูกซี่โครงที่มีเนื้อติดอยู่เยอะๆ ให้อีกสองชั่งใหญ่อย่างใจดี
นางจ่ายเงินไปอีกสิบห้าอีแปะ ตอนนี้เหลือเงินติดตัวเจ็ดอีแปะครึ่ง ตะกร้าของนางบัดนี้หนักอึ้งไปด้วยข้าวสารและเนื้อหมูสดใหม่ กลิ่นหอมของเนื้อหมูลอยฟุ้งจนทำให้เด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่แถวนั้นต้องหันมามองตาแป๋ว
‘นี่สิ ถึงจะเรียกว่าชีวิต!’ หลิงซีคิดในใจอย่างมีความสุข
นางใช้เงินที่เหลือซื้อเกลือหนึ่งถุงเล็กๆ และเครื่องเทศพื้นฐานอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่รีรอที่จะเดินทางกลับหมู่บ้านทันที นางรู้ดีว่าไม่ควรอยู่นอกบ้านจนค่ำมืด โดยเฉพาะเมื่อมีของมีค่าติดตัวมาด้วย
ในมุมมืดของตรอกฝั่งตรงข้าม...
อากุ้ยเฝ้ามองทุกการกระทำของหลิงซีด้วยสายตาที่ลุกวาวราวกับหมาป่าที่เห็นเหยื่อ ความโลภในใจของมันยิ่งพอกพูนขึ้นเป็ทวีคูณ
‘ผิดคาด! ยัยเด็กนั่นไม่ได้ขี้เหนียวอย่างที่คิด!’ มันขบกรามแน่น ‘ขายสมุนไพรได้แค่ไม่กี่สิบอีแปะ แต่กลับกล้าซื้อทั้งข้าวขาวทั้งเนื้อสามชั้น! แสดงว่า แสดงว่ามันต้องมีเงินเก็บซ่อนอยู่อีกแน่ๆ!’
ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาในหัวของมัน เด็กผู้หญิงตัวคนเดียว เดินทางกลับบ้านนอก พร้อมข้าวของเต็มตะกร้า นี่มันคือโอกาสทองชัดๆ!
‘แค่สั่งสอนให้มันหลาบจำนิดหน่อย แล้วเอาของมาเป็ของข้า คงไม่มีใครว่าอะไรกระมัง’
เมื่อคิดได้ดังนั้น อากุ้ยก็รีบวิ่งลัดเลาะไปตามทางลัดเพื่อไปดักรอหลิงซีที่ทางเปลี่ยวนอกเมือง
บนเส้นทางกลับหมู่บ้าน...
หลิงซีเดินกลับด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่าขามาเล็กน้อย ตะกร้าที่หนักอึ้งไม่ได้เป็อุปสรรคสำหรับนางเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อนางเดินมาถึง่ที่เป็ป่าละเมาะข้างทางที่ค่อนข้างเปลี่ยวและไร้ผู้คนสัญจร สัญชาตญาณบางอย่างก็ร้องเตือนขึ้นมา!
นางอาจจะไม่มีวรยุทธ์ แต่นางมี "ดวงตาทิพย์หยก"!
นางแสร้งทำเป็ปวดขาและนั่งลงพักใต้ต้นไม้ใหญ่ สายตาทำเป็มองไปทางอื่น แต่ในความเป็จริง นางได้เปิดใช้ดวงตาทิพย์กวาดมองไปรอบๆ บริเวณ!
และแล้วนางก็เห็นมัน!
หลังพุ่มไม้หนาทึบที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มีแสงปราณ ของมนุษย์ซ่อนตัวอยู่! แสงปราณนั้นมีสีเทาขุ่นมัวและแผ่ไอร้อนแห่งความโกรธและความโลภออกมาอย่างชัดเจน!
หลิงซีจดจำลักษณะของแสงปราณนั้นได้ทันที มันคือแสงปราณแบบเดียวกับของเสี่ยวเอ้อที่ชื่ออากุ้ย ในร้านยาหอโอสถร้อยพฤกษาไม่มีผิด!
‘เ้าหมาป่า ในที่สุดก็เผยหางออกมาแล้วสินะ!’ หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็เพราะความตื่นเต้น!
นางไม่ได้ลุกขึ้นวิ่งหนี เพราะรู้ดีว่า ‘หนีได้ครั้งนี้ ครั้งหน้าอาจหนีไม่ได้อีก’ ปัญหาบางอย่างต้องจัดการให้สิ้นซากั้แ่ต้นลม!
นางแสร้งทำเป็ไม่รู้ไม่เห็น ลุกขึ้นยืนและบิดตัวไปมาเหมือนคนเมื่อยขบ ก่อนจะเดินต่อไปตามเส้นทางเดิม แต่ในใจกำลังคิดแผนรับมืออย่างรวดเร็ว นางไม่มีอาวุธ ร่างกายนี้ก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะต่อสู้ซึ่งๆ หน้า แต่สิ่งที่นางมีคือสมองและดวงตาทิพย์ที่คนอื่นไม่มี!
นางเดินช้าลงเล็กน้อย ทำทีเป็เหนื่อยหอบจากการแบกของหนัก เพื่อล่อให้เป้าหมายตายใจและเผยตัวออกมา
และมันก็ได้ผล!
เมื่อนางเดินมาถึงโค้งที่ลับตาคน อากุ้ยก็กระโจนพรวดออกมาจากข้างทาง! ในมือของมันถือท่อนไม้ขนาดเหมาะมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย
"ส่งตะกร้านั่นมาให้ข้าซะดีๆ ยัยเด็กปากดี!" มันขู่ฟ่อๆ "แล้วก็บอกมาด้วยว่าเ้าไปเจอแหล่งสมุนไพรดีๆ ที่ไหน! ถ้าบอกมา ข้าอาจจะยอมปล่อยเ้าไปก็ได้!"
ชาวนาสองสามคนที่เดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้า ต่างก็รีบเบือนหน้าหนีและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ไม่มีใครอยากจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพราะกลัวจะเดือดร้อนไปด้วย
หลิงซียืนนิ่ง นางมองหน้าอากุ้ยด้วยสายตาที่เรียบเฉยจนน่าประหลาด ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ปรากฏบนใบหน้าของนางเลยแม้แต่น้อย
"ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็พี่ชายเสี่ยวเอ้อจากร้านยาใหญ่นี่เอง" นางกล่าวเสียงเย็น "ทำงานในร้านใหญ่โต แต่กลับต้องมาดักปล้นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ข้างทางน่าสมเพชสิ้นดี
"หน็อย! ปากดียันวินาทีสุดท้ายเลยนะ!" อากุ้ยโมโหจนหน้าแดงก่ำ คำพูดของนางแทงใจดำมันอย่างจัง "ในเมื่อเ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน!"
มันเงื้อท่อนไม้ขึ้นสูง เตรียมจะฟาดลงมาที่ขาของนางเพื่อสั่งสอน!
แต่ก่อนที่ท่อนไม้จะทันได้ถูกเหวี่ยงลงมา
"หยุดนะ!"
เสียงของหลิงซีพลันเปลี่ยนไป มันทั้งเยียบเย็นและทรงอำนาจอย่างน่าประหลาดจนทำให้อากุ้ยถึงกับชะงักไปชั่วขณะ นางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของมัน แววตาของนางในยามนี้คมกริบราวกับใบมีดที่เพิ่งลับใหม่ๆ
"เ้าคิดว่าเ้ากำลังปล้นใครอยู่?" นางถามเสียงเรียบ "เ้าคิดว่าข้าเป็แค่เด็กสาวชาวบ้านธรรมดาๆ ที่เ้าจะข่มเหงรังแกได้ตามใจชอบอย่างนั้นรึ?"
อากุ้ยขมวดคิ้ว "จะ เ้าไม่ใช่แล้วจะเป็ใครได้อีก?"
หลิงซีหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เป็เสียงหัวเราะที่ทำให้อากุ้ยรู้สึกขนลุกซู่ "ข้าจะให้โอกาสเ้าเป็ครั้งสุดท้าย วางท่อนไม้ลงแล้วไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าซะ แล้วข้าจะทำเป็ว่าเื่ในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น"
"ฮ่าๆๆๆ!" อากุ้ยหัวเราะลั่นราวกับได้ฟังเื่ตลกที่สุดในโลก "ยัยเด็กบ้า! ป่วยจนสมองกลับไปแล้วรึไง? เ้าต่างหากที่ต้องคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตจากข้า!"
"ดูเหมือนว่าเ้าจะเลือกทางของตัวเองแล้วสินะ" หลิงซีพยักหน้าช้าๆ "น่าเสียดายข้าไม่อยากจะทำเช่นนี้เลยจริงๆ"