ยามนี้ควรอธิบายอย่างไรดี? มู่จื่อหลิงรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย
นางคว้าขวดจากมือเล่อเทียน ถือไว้ตรงหน้าก่อนเขย่าสองครั้งโดยไม่เปิดขวดออก จากนั้นโน้มตัวเข้าไปใกล้ทั้งที่ใบหน้ายังคงสวมหน้ากากอยู่ แสร้งทำเป็ดมกลิ่น
ล้อเล่นหรือ นี่คือตัวอย่างเืของผู้ติดโรค...แค่แตะจมูกเพื่อรับกลิ่น เว้นแต่ว่านางจะโง่
จากนั้น มู่จื่อหลิงก็กระแอมเบาๆ แสร้งทำท่าทีสงบ พยายามอย่างยิ่งที่จะเผยรอยยิ้มตามธรรมชาติจากมุมปากที่แข็งทื่อหลังจากถูกพวกเขาจ้องมอง “ข้าได้กลิ่นซากศพเน่าเปื่อย นั่นเป็สาเหตุที่ทำให้ข้ารู้เื่พิษศพ”
ทันทีที่นางกล่าวเช่นนี้ คนสามคนที่อยู่ตรงหน้าทำท่าราวกับจะหยุดหายใจ พวกเขาเงียบมาก แต่สายตาที่จ้องมองมาที่นางนั้นกลับแปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนพวกเขาไม่อาจหาเหตุมารองรับสิ่งนี้ได้ จนต้องยอมเลิกราไป
มู่จื่อหลิงถูกจ้องเขม็งจนรู้สึกเหมือนหน้าจะมืด นางแสร้งทำเป็กะพริบตาอย่างไร้เดียงสา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ว่า “พวกเ้าไม่ได้กลิ่นหรือ?”
ทั้งสามส่ายหัวพร้อมกัน
จากนั้น สายตาของพวกเขาก็หันไปมองขวดในมือมู่จื่อหลิง ราวกับกำลังพยายามตรวจสอบว่าขวดนี้มีกลิ่นส่งออกมาจริงหรือไม่
กุ่ยเม่ยกับหลี่ซินหย่วนอาจไม่แน่ใจ แต่เล่อเทียนมั่นใจเต็มร้อยส่วนว่าขวดปิดสนิท จะมีกลิ่นได้อย่างไร?
เพราะด้านในใช้เก็บสิ่งที่ปนเปื้อนโรคร้าย เขาจะปล่อยให้อากาศไหลหลุดออกมาได้อย่างไร อีกทั้งเขายังพกสิ่งนี้ไว้กับตัว ยามดึงออกมา เขายังกลั้นหายใจทำด้วยสมาธิแรงกล้า รอบคอบไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
มีกลิ่นรั่วออกมาจริงหรือ? ร่องรอยของความสงสัยปรากฏขึ้นในใจของเล่อเทียน
ดังนั้นเขาจึงหยิบขวดในมือของมู่จื่อหลิงขึ้นมา โน้มจมูกดมกลิ่นอย่างไม่กลัวตาย แต่เขาก็ไม่ได้กลิ่นใดเลย
เล่อเทียนแสดงความสงสัย “นี่คือโรคติดต่อ ข้าจะปล่อยให้มีกลิ่นรั่วไหลออกมาได้อย่างไร หรือเ้าไม่รู้ว่าโรคระบาดติดต่อทางอากาศเป็หลัก?”
เป็ไปได้อย่างไรที่จะไม่รู้...มู่จื่อหลิงกลอกตาในใจ แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม “ข้ารู้! แต่จมูกข้าดีมาก จึงยังคงรู้สึกได้ถึงกลิ่นซากศพเน่าเปื่อยจางๆ ออกมาจากขวดนั้น เป็เพียงการคาดเดา แค่เดาเท่านั้น...”
เสียงมู่จื่อหลิงนุ่มนวลและเบาขึ้นเรื่อยๆ เบาจนในตอนท้ายแทบไม่ได้ยิน ด้วยสิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกมืดมนยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น ประกายแห่งแรงบันดาลใจก็วาบขึ้นบนหน้าผากของมู่จื่อหลิง นางเลียนเสียงอุทานของเล่อเทียน “หรือว่าเป็ดังเช่นที่ข้ากล่าวไปจริง มันคือพิษศพจริงๆ หรือ?”
เล่อเทียนยังคงมีท่าทีไม่เชื่อ
เมื่อมู่จื่อหลิงหมดคำพูดจนเกือบจะไม่สามารถเสแสร้งต่อได้ เสียงแ่เบาก็เอ่ยออกมาทำลายบรรยากาศแห่งความสงสัยที่มีในขณะนี้ออกไป
หลี่ซินหย่วนยิ้มบางเบา “โอ้์ นี่กำลังทำเื่อะไรกัน ไม่ใช่แค่ขวดกระเบื้องรั่วหรอกหรือ ยังมีอะไรให้ต้องตรวจสอบอีกไหม?”
เมื่อครู่ชายตุ้งติ้งผู้นี้ไม่นึกสงสัยเลยหรือ เ้าคนประหลาด! เส้นสีดำสามเส้นปรากฏบนหน้าผากของมู่จื่อหลิง
แต่ก็ดีเหมือนกัน...มู่จื่อหลิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอะไรต้องดูแล้ว เื่โรคระบาดเป็ภัยพิบัติ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนหลี่ซินหย่วนจะไม่ได้ยินคำพูดของมู่จื่อหลิง
เขาทำเพียงแตะคางของตน ราวกับกำลังพูดกับตนเอง ก่อนจะพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “แต่ในขวดเืนี้มีพิษศพอยู่จริงๆ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ เ้ายังสามารถได้กลิ่นสิ่งนี้ เ้านี่มันจมูกสุนัข [1] จริงๆ”
นอกจากนี้ในตอนท้ายเขายังส่งยิ้มมีเสน่ห์ให้กับเล่อเทียนที่อยู่ข้างกาย “เสี่ยวเทียนเทียน เ้าว่า นางจมูกสุนัขหรือไม่?”
เล่อเทียนไม่สนใจเขา แต่ได้สติขึ้นมาจากห้วงแห่งความสงสัย
เนื่องจากั้แ่รู้จักมู่จื่อหลิงมาจนถึงยามนี้ เกือบทุกครั้งมักมีเื่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับนาง
หากเขาดิ้นทุรนทุรายทุกครั้งที่เป็เช่นนี้ จิตใจจะไม่บอบช้ำแย่หรือ?
เมื่อคิดถึงเื่นี้ เล่อเทียนก็เข้าใจแจ่มแจ้ง อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เขายอมรับว่า ‘หากติดตามมู่จื่อหลิงย่อมมีเนื้อกิน [2]’ ความจริงหนึ่งเดียวนี้ก็พอแล้ว อย่างอื่นไม่สำคัญอีก
หลี่ซินหย่วนไม่เพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเท่านั้น ด้วยสิ่งที่เขาพูดนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า ยามมู่จื่อหลิงได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของนางก็มืดลง นางอยากตบหัวเขาจริงๆ
ชายตุ้งติ้งบ้าผู้นี้พูดอะไรออกมา? กล่าวว่านางจมูกสุนัขหมายความว่าอย่างไร?
มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นกอดอก เหลือบมองเขาอย่างไม่รีบร้อน พูดช้าๆ ว่า “ฮู่กั๋วกงผู้นี้นี่มันอะไรกัน เราสนิทกันหรือ? ท่านสามารถเรียกเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ได้หรือ?”
แต่ใครจะคิดว่า หลี่ซินหย่วนไม่เพียงแต่ไม่สนใจทัศนคติเ็าเย่อหยิ่งของนางเท่านั้น แต่ยังมองท่าทางการพูดของนางในขณะนี้ด้วยแววตาอ่อนละมุนและชอบใจ
เขาคิดกับตนเองว่า เหมือน เหมือนมากจริงๆ ดูสายตาที่เ็านั่นสิ ยังมีท่าทีเหยียดหยาม น้ำเสียงที่เยือกเย็นเย่อหยิ่งเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้เหมือนกับฉีอ๋องทุกประการ ราวกับถูกแกะออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน
ทุกการเคลื่อนไหว ทุกคำพูดและการกระทำล้วนมีอำนาจน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
หลี่ซินหย่วนทำหน้าบึ้ง กระทืบเท้าแสดงความไม่พอใจ “หึ เหตุใดเสี่ยวเทียนเทียนเรียกได้ แต่ข้าเรียกไม่ได้? ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมเลย...”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลี่ซินหย่วนเอ่ยออกมา เล่อเทียนก็ได้สติในทันที แอบปลื้มในใจ ในขณะเดียวกันก็มีความสุขเช่นกัน...ฮ่าฮ่า เขาคุ้นเคยกับฉีอ๋องเป็อย่างมาก ดังนั้นเขาย่อมคุ้นเคยกับฉีหวางเฟยเช่นกัน
สิ่งที่มู่จื่อหลิงทนไม่ได้ที่สุดคือท่วงท่าชายไม่ใช่หญิงไม่เชิงเช่นนี้ของหลี่ซินหย่วน มันทำให้นางอยากต่อยเขา อยากตีเขา ทุบตีเขาซ้ำๆ
ดังนั้น มู่จื่อหลิงจึงไม่แม้แต่จะมองเขาอย่างเ้าเล่ห์ด้วยซ้ำ เดินตรงไปข้างกายกุ่ยเม่ย โน้มตัวเล็กน้อย เตรียมคุกเข่าลงเพื่อเปิดล่วมยาที่พาดอยู่บนไหล่ของเขา
เมื่อเห็นเช่นนี้ กุ่ยเม่ยรีบคว้าล่วมยาไว้ในมือทันที
เขาจะกล้าดีอย่างไรให้นายหญิงผู้นี้คุกเข่าให้ตน? ถึงเป็การเปิดล่วมยาก็ไม่ได้
ยามเห็นการเคลื่อนไหวลุกลี้ลุกลน ทั้งยังเร่งรีบของกุ่ยเม่ย มู่จื่อหลิงรับรู้ถึงมือที่ว่างเปล่า จึงลุกขึ้นยืนตรงด้วยความสับสนและกำลังจะพูดบางอย่าง
“เชิญหวางเฟย” ใบหน้าของกุ่ยเม่ยเป็ปกติ เหยียดตัวตรงโดยไม่ยิ้ม ยกล่วมยาให้สูงพอเหมาะ
มู่จื่อหลิงเลิกเปลือกตาขึ้น ชำเลืองมองใบหน้าคมคายของกุ่ยเม่ย
เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของกุ่ยเม่ย มู่จื่อหลิงก็เข้าใจในทันที มุมปากของนางกระตุก รู้สึกพูดไม่ออก
หากกล่าวว่าท่อนไม้ชิ้นนี้ไม่ใช่องครักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนโดยหลงเซี่ยวอวี่ นางคงไม่เชื่อ ด้วยความใส่ใจในรายละเอียดนั้นดีจนถึงที่สุดไม่ต่างกันเลย เป็เช่นนั้นจริงๆ
มู่จื่อหลิงเปิดล่วมยา หยิบน้ำยาหลิงอวิ้นออกมาสี่ขวด ยื่นให้ทุกคนคนละหนึ่งขวด แล้วกล่าวว่า “ดื่มสิ่งนี้ แล้วไปกันเถอะ”
น้ำยาหลิงอวิ้นมีผลในการหล่อเลี้ยงอวัยวะภายใน นอกจากนี้ยังมีผลในการชำระล้างสิ่งปนเปื้อน ทั้งยังสามารถใช้ต้านทานโรคระบาดได้เป็อย่างดี
พวกเขาอยู่ใกล้เมืองหลงอันเป็เวลานาน ในสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งยามนี้พวกเขาต้องเข้าเมืองยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
กุ่ยเม่ยไม่พูดอะไรสักคำ เมื่อเปิดออก เขาก็เงยหน้าขึ้นดื่มเข้าไป หลังจากกลืนลงไปแล้ว เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เพราะเขารู้สึกได้ว่าความโสโครกในร่างกายถูกชะล้างออกไปทันที ทั้งร่างรู้สึกสดชื่นอย่างมาก พลังทางิญญายิ่งมีมากขึ้นไปอีก
นี่มันอะไรกัน? น่าทึ่งมาก! กุ่ยเม่ยรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเป็อย่างมาก
ทันทีที่หลี่ซินหย่วนเปิดขวดออก เขาได้กลิ่นหอมแรง กลิ่นหอมเข้มข้นนี้ช่างน่ารื่นรมย์ ทำให้มึนเมา ให้ความรู้สึกสดชื่น
แต่ในขณะนี้หลี่ซินหย่วนกำลังขมวดคิ้วแน่น แอบชำเลืองมองมู่จื่อหลิง สีหน้าหดหู่ฉายแววไปทั่วใบหน้า ก่อนจะหายวับไปในพริบตา รวดเร็วจนไม่สามารถรับรู้ได้ทัน
เพียงแวบเดียว ท่าทางของหลี่ซินหย่วนก็เป็ปกติ
เขาหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงดื่มอย่างเพลิดเพลิน ก่อนถามอย่างงงงวย “เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ นี่คืออะไร? หอมยิ่งนัก หอมจนข้าลังเลที่จะดื่มมัน”
มู่จื่อหลิงมองเขาด้วยความใสซื่อ “ยาที่ทำให้เ้ากลายเป็หญิงสาวธรรมดาได้ตาม้า”
“ข้าไม่อยากเป็ผู้หญิง ข้าอยาก...” หลี่ซินหย่วนเก็บขวดยาขนาดเล็กลงในแขนชุดคลุมเงียบๆ จากนั้นเขาก็กรีดนิ้วดอกกล้วยไม้ ประดิษฐ์ท่าทางอย่างประณีต ร้องอุทานว่า “อา เสี่ยวเทียนเทียนเหตุใดเ้าถึงไม่ดื่มเล่า?”
มู่จื่อหลิงได้ยินจึงหันไปมอง
เห็นได้ว่าเล่อเทียนกำลังมองน้ำยาหลิงอวิ้น ราวกับมองขุมทรัพย์ ดวงตาเป็ประกาย ไม่ยอมดื่ม ทั้งยังกอดไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง พยายามเก็บซ่อนมันไว้
แล้วอากัปกิริยาสุภาพงดงามเล่า ช่างไม่รู้จักคุมตนเลย...มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย ในใจนึกดูิ่เล่อเทียนอย่างโเี้ นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าผู้ชายคนนี้ลังเลที่จะดื่ม
“สิ่งที่อยู่ภายในนี้ก็เป็เพียงแค่น้ำธรรมดาขวดหนึ่งไม่ใช่หรือ” มู่จื่อหลิงกลอกตาใส่เขาอย่างหน่ายใจ ก่อนโยนให้เขาเพิ่มอีกขวด “รีบดื่มแล้วไปกันเถอะ”
แค่น้ำธรรมดาคืออะไร? ช่างน่าใเหลือเกิน นี่เป็สมบัติสำหรับเขา เข้าใจไหม? เล่อเทียนลอบกลอกตาภายในใจ
แต่การที่มู่จื่อหลิงกล่าวเช่นนี้ หมายความว่านางมีสิ่งนี้อยู่มากมาย
เมื่อคิดถึงเื่นี้ เล่อเทียนจึงรับน้ำยาหลิงอวิ้นที่มู่จื่อหลิงโยนให้อย่างมีความสุข เขาไม่รู้สึกละอายใจกับพฤติกรรมละโมบของตนเลย ตรงกันข้าม เขาคิดว่ามันคุ้มค่ายิ่งนัก คาดไม่ถึงว่าจะได้รับถึงสองขวดมาฟรีๆ
เขาคิดว่ามู่จื่อหลิงมีทรัพย์สมบัติอยู่ทั่วร่าง การเป็สหายกับนางนับว่าเป็เื่ถูกต้องแล้ว จะต้องได้รับของดีมากมายไม่ขาดสายเป็แน่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางเป็ ‘ยันต์คุ้มภัย [3]’ ที่เชื่อถือได้อีกด้วย
เล่อเทียนเก็บอีกขวดไว้ในอกของเขา แล้วเปิดอีกขวดยกขึ้นดื่ม ลิ้มรสด้วยความเพลิดเพลิน
ทันใดนั้นดูเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้ ชี้ขวดยาที่มู่จื่อหลิงยังคงถืออยู่ แล้วพูดว่า “หลิงเอ๋อร์ มีพิษศพอยู่ในนั้น เ้าไม่ลองตรวจสอบอย่างละเอียดหน่อยหรือว่าแตกต่างตรงไหนบ้าง?”
“ไม่จำเป็” มู่จื่อหลิงส่ายหัว พูดด้วยความมั่นใจ “นอกจากพิษศพแล้ว ไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นใดอีก แต่สิ่งที่เ้าพูดมาก็ยังแปลกอยู่ เกรงว่าคงไม่อาจรู้แน่ชัดจนกว่าจะพบคนไข้ ไปกันเถอะ เดินไปคุยไป”
ครั้งนี้เล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยเสนออย่างเห็นพ้องต้องกัน ว่าจะไม่ะโข้ามกำแพงเข้าไป พวกเขาเลือกเข้าไปทางูเาโฮ่วซานที่รกร้างว่างเปล่าแทน โดยเส้นทางในูเาโฮ่วซานหลังนั้น กุ่ยเม่ยได้เข้าไปสำรวจล่วงหน้าก่อนแล้ว
แน่นอนยกเว้นมู่จื่อหลิงแล้ว เหตุผลที่อีกสามคนเลือกเดินทางผ่านูเาโฮ่วซานล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ...เพื่อปกป้องฉีหวางเฟยให้ดีที่สุด
มู่จื่อหลิงไม่คัดค้าน ทั้งยังมีความสุขมาก
เนื่องจากแค่คิดว่าจะต้องถูกใครสักคนอุ้มพาเหาะเหินเดินอากาศ นางก็รู้สึกไร้ประโยชน์เหลือเกิน นอกจากนี้การขึ้นไปบนูเาโฮ่วซานยังมีประโยชน์อีกมากมาย
หลังจากพวกเขาคุยกันเื่เส้นทางเพียงสั้นๆ เพียงแค่เริ่มออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หมอหลวงหลินผู้มาพร้อมกับหมอหนุ่มอีกสองคนก็มาถึงทันเวลาพอดี
จากหางตาของมู่จื่อหลิงที่เหลือบมองแวบหนึ่ง มุมปากของนางโค้งขึ้นเชิงเสียดสี ไทเฮาได้รับาเ็เช่นนั้น สุนัขผู้เชื่อฟัง [4] ตัวนี้ยังสามารถตามนางทัน กล่าวได้ว่าช่าง ‘กระตือรือร้น’ เสียจริง
หมอหลวงหลินถูกประคองออกมาจากรถม้า บังเอิญหันมาเห็นพวกมู่จื่อหลิงกำลังจะจากไป ลากร่างแห้งเหี่ยวของตนเข้ามา โบกมือให้พวกเขา ก่อนเริ่มวิ่งเหยาะๆ
“หวางเฟย!”
“ท่านหมอเล่อเทียน...รอก่อน!”
“ระ...รอเดี๋ยว...”
เสียงหายใจหอบของหมอหลวงหลินดังขึ้นไม่หยุด
มู่จื่อหลิงแสร้งบิดคอไปมา มองหมอหลวงหลินหอบหายใจหนักหลังจากวิ่งได้ไม่กี่ก้าว
้าให้เปิ่นหวางเฟยลดตัวลงมารอเ้าหรือ? ฝันไปเถอะ!
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] จมูกสุนัข (狗鼻子) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า จมูกดี มีความสามารถในการรับกลิ่นที่ดีเยี่ยม
[2] หากติดตาม...ย่อมมีเนื้อกิน (跟着...就有肉吃) เป็วลี มีความหมายว่า หากติดตามคนผู้นี้หรือสิ่งนี้ย่อมมีชีวิตหรือมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น
[3] ยันต์คุ้มภัย (保命符) เป็เครื่องรางที่ใช้ในการช่วยชีวิตคน ช่วยปัดเป่าภัย คุ้มกันให้แคล้วคลาดปลอดภัย
[4] สุนัขผู้เชื่อฟัง (听话的狗) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์