“ย่าคะ ยางรัดผมนั่น” ซ่งวั่งซูเอ่ยเตือนหวังซิ่วอิงเสียงเบา
หวังซิ่วอิงกลอกตามองซ่งวั่งซูหนึ่งที “คิดว่าฉันจะฮุบของเธอไปหรือไง? เอาไปๆ”
หลังจากที่ซ่งวั่งซูรับยางรัดผมจากผู้เป็ย่าแล้ว เธอก็รีบใช้มันรัดผมของเธอไว้อย่างมีความสุข จากนั้นเธอก็สะบัดศีรษะเบาๆ และเลิกคิ้วให้ซ่งเสี่ยวสยาอย่างยั่วยุ
ซ่งเสี่ยวสยากระทืบเท้า หากเธอขอมันจากซ่งหานเจียงไม่ได้เช่นนั้นก็ได้แต่ต้องขอมันจากมารดาของตนแล้ว “แม่คะ...”
โจวเจี๋ยดึงซ่งเสี่ยวสยาออกไปด้านข้างและถลึงตาจ้องมองเด็กหญิง ของราคาแพงขนาดนี้ นอกจากน้องสามีโง่ๆ คนนี้แล้วจะยังมีใครยอมซื้อของแพงๆ แบบนี้ได้อีกเล่า?
ซ่งเสี่ยวสยาไม่กลัวโจวเจี๋ยเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงสร้างปัญหาต่อไป “แม่คะ หนูเองก็อยากได้ยางรัดผมเหมือนกันค่ะ”
โจวเจี๋ยไม่สนใจเธอ เพียงบอกว่า “ไปขอกับพ่อของลูกนู่น”
ซ่งเสี่ยวสยาหมุนตัวแล้ววิ่งไปหาซ่งซุนซานที่อยู่ในบ้านทันที ซ่งซุนซานกำลังฟังวิทยุที่กำลังเล่นจำอวดอยู่ เขากำลังหลงใหลไปกับมันจึงไม่ได้สนใจซ่งเสี่ยวสยาเท่าใดนัก
ซ่งเสี่ยวสยายังคงอยากได้ยางรัดผมอยู่เหมือนเดิมแต่ไม่ได้ก็รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็ยางรัดผมของซ่งวั่งซูแทน เธอแอบคิดในใจว่าต้องทำอย่างไรกันนะถึงจะแย่งยางรัดผมนั่นมาจากซ่งวั่งซูได้
มื้อเย็นวันนี้หวังซิ่วอิงปรุงอาหารมาถึงสามจานได้แก่ ไข่ผัดเห็ดหูหนู วุ้นเส้นตุ๋นหมูกับกะหล่ำปลีและผัดเห็ด
“เห็ดหูหนูนี่เป็ของที่สหายร่วมรบจากทางตะวันออกเฉียงเหนือของพี่ใหญ่แกส่งมาให้ แกลองชิมดูสิ!” ซ่งเป่าเถียนใช้ตะเกียบคีบเห็ดหูหนูแล้ววางลงบนจานของซ่งหานเจียง
ในบ้านหลังนี้ คนที่สามารถทำให้หัวหน้าครอบครัวที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยอย่างซ่งเป่าเถียนคีบอาหารให้ได้ มีเพียงซ่งหานเจียงแค่คนเดียวเท่านั้น
ซ่งหานเจียงยิ้มรับ “ขอบคุณครับพ่อ” จากนั้นเขาก็คีบอาหารให้ซ่งวั่งซูและซ่งตงซวี่บ้าง “ลูกสองคนกินเยอะๆ หน่อย ดูสิลูกสองคนผอมจนเหลือแต่กระดูกหมดแล้ว ดูอย่างเสี่ยวสยากับเสี่ยวจวินสิพวกเขากินกันเอร็ดอร่อยเชียว!”
สายตาของหวังซิ่วอิงจับจ้องอยู่บนเนื้อสองชิ้นนั้นหลายวินาที เมื่อเห็นซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่กินอาหารคำโต เธอปวดใจจนแทบจะเผยสีหน้าออกมาแต่ยังดีที่เก็บซ่อนสีหน้าไว้ได้อยู่
แต่ก่อนนั้นหากซ่งวั่งซูและซ่งตงซวี่กล้าคีบเนื้อบนจานล่ะก็ ซ่งเสี่ยวสยากับ่เี่ิจะต้องโวยวายอย่างแน่นอนแต่วันนี้ซ่งหานเจียงอยู่ด้วย เด็กทั้งสองคนต่างก็ประเมินสถานการณ์กันเป็อย่างดี พวกเขารู้ว่าหากตอนที่ซ่งหานเจียงกลับบ้านมา ทั้งปู่กับย่าและพ่อแม่ของพวกเขาจะไม่เข้าข้างพวกเขาทั้งสองคน ดังนั้นเพื่อที่จะกินเนื้อเพิ่มอีกสองคำเด็กทั้งสองจึงรีบตักอาหารเข้าปากกันอย่างรวดเร็ว
ซย่านีมองฉากที่ดูเหมือนจะอบอุ่นและกลมเกลียวบนโต๊ะอาหารนี้ ทว่าความจริงแล้วกลับมีคลื่นใต้น้ำซ่อนอยู่ เธออดสงสัยไม่ได้ว่าชาติที่แล้วในสมองของเธอคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมตัวเองจะต้องมาอดทนกับสถานการณ์ประหลาดๆ ของครอบครัวนี้กันนะ?
เป็เพราะว่าก่อนจะเข้ามาเมืองหลวง เธอถูกบิดามารดากำชับอยู่หลายครั้งว่า ‘ครอบครัวรักใคร่ปรองดองกัน ย่อมเจริญรุ่งเรือง’ หรือเปล่านะ? หรือว่าเป็เพราะเธอใส่ใจซ่งหานเจียงมากเกินไป ตัวเธอจึงมีความเกรงอกเกรงใจพ่อแม่ของซ่งหานเจียงไปด้วย ทำให้กลัวว่าหากตนเองทำอะไรไม่ดีหรือทำให้พ่อแม่ของซ่งหานเจียงขุ่นเคืองเข้าล่ะก็ คงจะไม่ดีนัก ดังนั้นเธอจึงกัดฟันทนทุกอย่างไม่ว่าสิ่งนั้นจะลำบากหรือทุกข์ยากแค่ไหน?
และคนครอบครัวอย่างหวังซิ่วอิงเอง ก็คงเห็นว่าเธอนั้นรังแกง่ายและไม่ตอบโต้อะไร ทำให้พวกเขาร่วมหัวกันรังแกเธอลับหลังซ่งหานเจียงทุกครั้งที่มีโอกาส
ชาติก่อนเธอโง่มากจริงๆ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน
“น้องรอง ฉันได้ยินมาว่ากลุ่มคนจากมหาวิทยาลัยของนายที่เคยถูกรัฐบาลส่งตัวไปเรียนที่อเมริกาน่ะ พวกเขากำลังจะกลับมาแล้วงั้นหรือ?” ซ่งซุนซานยัดเกี๊ยวเข้าปากหนึ่งคำ เขากินไปพลางเอ่ยถามไปด้วย
ซ่งหานเจียงพยักหน้าตอบ “ก็เห็นว่ามีเื่นี้อยู่จริงๆ” เมื่อปี 1978 เป็เวลาเที่ยงตรง ก่อนที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับสหรัฐอเมริกาได้มีการส่งนักศึกษากลุ่มหนึ่งไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในตอนนั้นเื่นี้ถือเป็เหตุการณ์ที่สั่นะเืครั้งใหญ่เลยทีเดียว หนังสือพิมพ์หลายฉบับรายงานข่าวนี้ติดต่อกันหลายสัปดาห์
ซ่งซุนซานถามต่อ “หลังจากที่พวกเขากลับมาแล้ว มหาวิทยาลัยของนายจะจัดการกับพวกเขายังไงต่อหรือ?”
ซ่งหานเจียงพูดไปตามเหตุผล “แน่นอนว่าคงให้พวกเขารับหน้าที่สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยหรือไม่ก็ให้ทำการวิจัยในห้องทดลองนั่นแหละ” หลังจากจบการศึกษาและกลับประเทศมาย่อมต้องทำหน้าที่รับใช้ประเทศชาติไปโดยปริยาย
“พวกเขาคงถูกใช้งานอย่างหนักเลยล่ะสิ?”
“แน่นอน” ซ่งหานเจียงกล่าวต่อ “พวกเขาได้นำความรู้ขั้นสูงที่ได้ไปศึกษาจากอเมริกากลับมาพัฒนาบ้านเกิดถือเป็อัจฉริยะที่ประเทศขาดไปไม่ได้ จะต้องมีความสำคัญมากอย่างแน่นอน”
“แล้วนายมีโอกาสที่จะได้ไปอเมริกาบ้างไหม?” ซ่งซุนซานถามขึ้นทันที เขากลั้นหายใจและดูกังวลเล็กน้อย
ซ่งหานเจียงส่ายหัว “ปีนี้ฉันเพิ่งจะเรียนอยู่ปีสามเองยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเลย ฉันยังไม่มีคุณสมบัติที่จะไปหรอก”
ซ่งซุนซานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ปากก็พูดต่อว่า “น่าเสียดายจริงๆ” ทว่าเมื่อดูสีหน้าของเขาแล้วกลับไม่มีแววรู้สึกเสียดายเลยสักนิด
ซ่งหานเจียงผู้เป็น้องชายนั้นเก่งกาจกว่าเขามากนัก ั้แ่เด็กซ่งซุนซานก็อาศัยอยู่ใต้เงาของน้องชายคนนี้มาโดยตลอด โชคดีที่ซ่งหานเจียงแต่งงานกับสะใภ้จากชนบทคนหนึ่ง สะใภ้สาวคนนี้ทั้งขี้เหร่และไม่มีการศึกษาไม่มีข้อดีอะไรเลยสักอย่าง จึงทำให้ในใจของซ่งซุนซ่านรู้สึกเท่าเทียมขึ้นมาได้บ้างแต่ตอนนี้ หากซ่งหานเจียงมีโอกาสได้ไปเรียนต่อต่างประเทศจริงๆ เขาจะไม่ด้อยกว่าซ่งหานเจียงลงไปอีกหรือ? เื่นี้ทำให้ซ่งซุนซานรู้สึกไม่สบายใจเป็อย่างยิ่ง
ซ่งเป่าเถียนแสดงความเสียใจออกมาเช่นกัน ทว่าความเสียใจของเขากลับมีมากเกินไป “หากตอนนั้นแกไม่ได้มัวแต่เล่นกีฬาแล้วตั้งใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยล่ะก็ แกคงได้เป็หนึ่งในนักศึกษากลุ่มแรกที่ได้ไปเรียนต่างประเทศในปี 1978 แล้ว”
ซ่งหานเจียงยิ้มบางๆ พลางส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “สหายที่ประเทศเราส่งไปเรียนต่อล้วนแต่เป็คนที่โดดเด่นมากทั้งนั้น ผมยังมีข้อบกพร่องอีกมาก ไม่แน่ใจ ว่าตัวเองจะถูกเลือกให้ไปเรียนต่อในปีนั้นหรอกครับ”
ซย่านีแอบพูดในใจ ‘ไม่หรอก นายน่ะเก่งมากๆ หลังจากนี้อีกหนึ่งปี นายก็จะถูกเสนอชื่อให้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแล้ว’
ส่วนหวังซิ่วอิงนั้นมีจุดมุ่งหมายต่างออกไป “ฉันได้ยินมาว่า หลังจากที่นักศึกษาพวกนี้ไปเรียนต่อที่อเมริกาก็ซื้อของหายากมากมายกลับมาฝากครอบครัวกัน ได้ยินว่ามีเครื่องโทรทัศน์แบบมีสีด้วยนะ!”
“โทรทัศน์มีสีงั้นหรือ” โจวเจี๋ยอุทานอย่างตกตะลึง “จริงหรือ?”
“จริงแท้แน่นอน” ซ่งเหม่ยอวิ๋นเชิดหน้าขึ้น เธอเป็คนเล่าเื่นี้ให้หวังซิ่วอิงฟังเองกับปาก “ฉันได้ยินพี่เสวี่ยหรูพูดว่าพ่อของเธอเป็รองหัวหน้าโรงงาน และรู้จักคนเยอะแยะ ในกลุ่มคนที่ถูกส่งไปศึกษาต่อต่างประเทศเมื่อปี 1978 นั้น มีคนรู้จักของพ่อพี่เสวี่ยหรูอยู่ด้วย คนๆ นั้นซื้อของดีๆ มากมายกลับมาฝากที่บ้านเชียวล่ะ ไม่ใช่แค่โทรทัศน์มีสีหรอกนะแต่ยังมีตู้เย็นกับเครื่องปรับอากาศอีกด้วย”
“ครอบครัวเขารวยมากเลยหรือ?” ทั้งโทรทัศน์มีสี ตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ ของพวกนี้แค่ชิ้นเดียวก็มีราคาแพงมากๆ แล้ว หากรวมกันเกรงว่าคงมีราคาเหยียบหนึ่งหมื่นหยวน
ซ่งเหม่ยอวิ๋นทำหน้ามุ่ยพลางกล่าวว่า “ครอบครัวของเขาต่างก็บอกว่านั่นเป็เงินที่ได้จากการทำงานที่ต่างประเทศ เหมือนว่าค่าแรงที่ต่างประเทศจะสูงมาก แค่ทำงานล้างจานก็หาเงินได้มากมายแล้ว แต่พี่เสวี่ยหรูบอกว่าก่อนหน้านี้ตระกูลของเขาน่ะสืบเชื้อสายมาจากชนชั้นสูงในสมัยราชวงศ์ชิงเชียวนะ จะอย่างไรตระกูลของพี่เสวี่ยหรูก็คงจะต้องเก็บซ่อนความร่ำรวยเอาไว้บ้างล่ะมั้ง? หากวันนี้เกิดยากจนขึ้นมาก็แค่เอาพวกทรัพย์สมบัติอย่างแหวนอัญมณีหรือกำไลหยกอะไรเทือกนั้น ไปขายที่ต่างประเทศเพื่อแลกเป็เงินก็ได้แล้ว”
ในเมื่อพูดถึงหลี่เสวี่ยหรูขึ้นมาเช่นนั้นก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันพฤหัส
“เหม่ยอวิ๋น เธอกับเสวี่ยหรูมีสัมพันธ์อันดีต่อกันนี่นา เธอช่วยเล่าเื่คนรักเก่าของเสวี่ยหรูให้ฟังหน่อยสิ มันจริงหรือไม่จริงกันแน่?” ่นี้ภายในโรงงานยุ่งมาก โจวเจี๋ยต้องทำงานล่วงเวลาอยู่หลายครั้งจึงพลาดเื่ซุบซิบนินทาไปเยอะเลย
“เหอะ” พอพูดถึงเื่นี้ขึ้นมาก็ทำเอาซ่งเหม่ยอวิ๋นโกรธทันที “คนรักเก่าอะไรกัน พี่อย่าไปฟังเื่ไร้สาระจากข้างนอกให้มากนัก! พี่เสวี่ยหรูไม่มีคนรักเก่าอะไรนั้นหรอก!”
ตอนที่ซ่งเหม่ยอวิ๋นพูดประโยคนี้ก็เหลือบมองไปทางซ่งหานเจียง เห็นชัดว่าเธอกำลังอธิบายเื่นี้ให้ซ่งหานเจียงฟัง
แต่ความสนใจของซ่งหานเจียงกลับอยู่ที่ลูกสาวของเขาเท่านั้น เวลานี้เขากำลังอธิบายให้ซ่งวั่งซูฟังว่าอะไรคือความหมายของคำว่า ‘รัฐบาลสนับสนุนให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ’
