ผู้ที่มากลับเป็จู้ชิงขวง เื่นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเวลานี้จู้ชิงขวงจะปรากฏตัวในสถานที่นี้และยังปรากฏตัวได้ทันเวลาพอดีเช่นนี้ เมื่อครู่นี้ถูกโม่ฉางชุนเล่นงานคราหนึ่งด้วยวิธีะเิตัวเอง ทำให้บรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์โกรธจัด จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์หลายคนที่ล้อมโจมตีบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลโหยวล้วนาเ็ไม่น้อย เวลานี้แต่ละคนจึงโผล่ขึ้นมาจากกลางมหาสมุทร เมื่อครู่นี้พวกเขาได้รับผลกระทบมากที่สุด
จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ล้วนทราบดี สองบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลโหยวถูกโม่ฉางชุนควบคุม สาเหตุที่เลือกะเิทำลายตัวเอง ต้องเป็ฝีมือของโม่ฉางชุนอย่างแน่นอน แต่โม่ฉางชุนก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า ขณะที่ตนคิดว่าสามารถฝ่าออกจากวงล้อมไปได้แล้วนั่นเอง ยามที่ตนมองเห็นทะเลและท้องฟ้ากว้างขวางไร้ขอบเขต จู้ชิงขวงกลับปรากฏตัวขึ้น ซึ่งดูเหมือนมีการวางแผนล่วงหน้าไว้แต่แรกแล้ว การปรากฏตัวของจู้ชิงขวงไม่ใช่เื่บังเอิญอย่างเด็ดขาด แต่คุมเชิงรอคอยอยู่ด้านข้างเนิ่นนานแล้ว รอคอยเพื่อโจมตีใส่ในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด
จู้ชิงขวงทำสำเร็จแล้ว เพียงแค่การโจมตีครั้งเดียว ถึงแม้ฐานบ่มเพาะของจู้ชิงขวงอยู่ที่จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางขั้นสูงสุด ต่ำกว่าโม่ฉางชุนขั้นหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาต้องทำไม่ใช่โจมตีโม่ฉางชุนจนพ่ายแพ้ แต่เป็การขัดขวางโม่ฉางชุนไว้ ทำให้เขาเข้ามาอยู่กลางวงล้อมอีกครั้งหนึ่ง
“โม่ฉางชุน ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าโม่ฉางชุนที่ข้าเสาะแสวงหาอย่างยากลำบากหลายทศวรรษ กลับเป็คนข้างกายข้าเอง ข้าสงสัยตลอดมาว่าเ้ามีร่างแปลงนับพันนับหมื่น เพียงแต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเ้ากลับปลอมตัวเป็สามีของท่านป้า…” ดวงตาจู้ชิงขวงเปล่งประกายความเกลียดชังที่ไร้สิ้นสุด ในที่สุดเขาก็หาโม่ฉางชุนพบอีกครั้ง ความเกลียดชังที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษ ทำให้ให้เขาะเิอารมณ์ออกมาทันใด
สีหน้าโม่ฉางชุนไม่น่าดูอย่างยิ่ง การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจู้ชิงขวง ทำให้แผนการหลบหนีของเขาพังทลาย เวลานี้สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือต่อสู้กรำศึกคนเดียว แต่ให้เขาไปเผชิญหน้ากับการโจมตีของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์กว่าสิบคน ต่อให้เป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ในที่นี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง ผลลัพธ์เป็อย่างไรเขาก็สามารถคำนวณได้
“ทุกสิ่งทั้งหมดในวันนี้ เ้าเป็คนวางแผน?” โม่ฉางชุนสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่งถามขึ้น
“กระทำเื่ไร้คุณธรรมมากต้องดับสูญ คิดไม่ถึงว่าเ้ากลับโเี้อำมหิตถึงเพียงนี้ วางแผนการสังหารอันชั่วร้าย้ากวาดล้างเหล่าวีรบุรุษในใต้หล้าทั้งหมดในคราวเดียว เสียดายคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต คงคิดไม่ถึงว่าข้าจะถูกผู้าุโเหยียนเต้าจื่อช่วยเหลือออกมากระมัง!” จู้ชิงขวงแสร้งทำเป็ไม่ทราบว่าโม่ฉางชุนกำลังถามถึงสิ่งใด…
ในเวลาเช่นนี้ เขาย่อมไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาดว่าผู้ใดเป็คนวางแผนในวันนี้ ถึงแม้เขาทราบว่านี่คือแผนการของจ้านอู๋มิ่ง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่จ้านอู๋มิ่งทำกลับทำไปเพื่อเขาและจู้เชียนเชียน เพื่อให้เขามีโอกาสล้างแค้นหนี้เื เขาจะไปพูดจาที่เป็ผลร้ายต่อจ้านอู๋มิ่งในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร
ควรคราบว่าจ้านอู๋มิ่งพยายามอย่างยากลำบาก ชักจูงให้วีรบุรุษทั่วหล้าเคียดแค้นชิงชังโม่ฉางชุน และทำให้แต่ละสำนักนิกายใหญ่สูญเสียอย่างหนักในการต่อสู้ครั้งนี้ หากให้แต่ละสำนักนิกายทราบว่าทั้งหมดนี้ ล้วนเป็แผนทรมานสังขารที่จ้านอู๋มิ่งสร้างขึ้นมาและทำเพื่อจู้เชียนเชียนละก็ เกรงว่าจ้านอู๋มิ่งและเขาจะกลายเป็ศัตรูของใต้หล้าไปทันที เื่ราวที่มีเพียงตัวโง่งมจะกระทำเช่นนี้ ตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด
สิ่งที่สุดยอดที่สุดคือเื่นี้ เขาสามารถดึงเอาผู้นำฝ่ายธรรมะอย่างเหยียนเต้าจื่อออกมาด้วย! เมื่อเป็เช่นนี้ แต่ละสำนักนิกายใหญ่ก็จะไม่สงสัยเขาแต่อย่างใด ลองคิดดู หลังจากประสบกับทุกสิ่งมาด้วยตนเองแล้ว ต่อให้ไม่มีคำพูดของเหยียนเต้าจื่อก็ทำให้พวกเขาเชื่อถือคำพูดของจ้านอู๋มิ่งแล้ว เวลานี้มีคนที่ศักดิ์ฐานะอย่างเหยียนเต้าจื่อเป็พยานยืนยันอีก โม่ฉางชุนนับได้ว่าไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านล้วนกระทำการอย่างลับๆ ล่อๆ ลอบวางแผนในทางลับ ดังนั้น ถึงแม้ผลกระทบที่แฝงเร้นจะน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในแต่ละสำนักนิกายฝ่ายธรรมะล้วนไม่ทราบ ดังนั้น จึงเป็ไปไม่ได้ที่คนเหล่านี้จะเชื่อโม่ฉางชุนและไม่เชื่อถือเหยียนเต้าจื่อ
สีหน้าโม่ฉางชุนปรากฏรอยยิ้มขมขื่นขึ้นวูบหนึ่ง เขารู้ว่าจู้ชิงขวงก็เป็จิ้งจอกเฒ่าผู้หนึ่งเช่นกัน ย่อมไม่ยอมเปิดเผยช่องโหว่ออกมาอย่างเด็ดขาด และยิ่งไม่ให้โอกาสเขาได้จับจุดอ่อนใดๆ ยามนี้เขาแน่ใจได้ว่า เื่ราวในครั้งนี้จู้ชิงขวงจะต้องมีส่วนรู้เห็นอย่างแน่นอน…
เพียงแต่เขาเข้าใจอุปนิสัยของจู้ชิงขวงเป็อย่างดี คนผู้นี้ไม่สามารถมีแผนการที่เฉียบแหลมเช่นนี้ได้ และก็ไม่สามารถที่จะก่อตั้งค่ายกลที่ลึกซึ้งขนาดใหญ่เช่นนี้ได้เช่นกัน เนื่องเพราะวิเคราะห์จากรูปแบบของการก่อตั้งค่ายกลแห่งนี้ เขาถึงกับสังเกตเห็นเคล็ดวิชาที่เป็ลักษณะเฉพาะตัวของตระกูลโม่ ทั้งหมดนี้...ทำให้เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยขึ้นมาบ้างแล้ว…หรือว่าบิดาเดินละเมอมาก่อตั้งค่ายกลไว้ในที่นี้ แต่ตนเองก็ไม่มีความสามารถที่จะก่อตั้งค่ายกลที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้!
“โม่ฉางชุน อสูรอย่างเช่นเ้า วันนี้ถ้าปล่อยให้เ้ามีชีวิตรอดไปจากที่นี่ ย่อมก่อให้เกิดหายนภัยวิบัติอย่างไม่มีสิ้นสุด ดังนั้นวันนี้เ้าต้องตาย” จู้ชิงขวงถมหินลงบ่อ[1] เขาตวาดเสียงดัง ครั้งนี้เขาเป็ผู้นำ ทะยานร่างเข้าไปหาโม่ฉางชุน อยากจะจัดการกับศัตรู ต้องติดตามบดขยี้เฉกเช่นตีสุนัขจมน้ำ
“อสูรชั่วร้ายนอกรีต ทุกคนต้องสังหารให้สิ้น!” เยว่หลิงซานก็แค่นเสียงเ็าคำหนึ่งเช่นกัน เขาเห็นบรรพบุรุษผู้เฒ่าเทียนฉาน เมื่อครู่ถูกสองบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลโหยวะเิตัวเอง ทำให้รับาเ็สาหัส เพลิงโทสะในใจลุกโหม ดังนั้นเขาจึง้าสังหารโม่ฉางชุนอย่างยิ่ง เสวียนเสวียนจื่อเห็นคนในสำนักตนาเ็ล้มตายจำนวนมากจากการะเิตัวเอง สำนึกฆ่าฟันยิ่งพุ่งพรวดอย่างบ้าคลั่ง
“ฆ่า…ฆ่า…” จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์หลายคนไม่ลังเลใจอีกต่อไป โจมตีใส่โม่ฉางชุนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กับก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้้ารั้งตัวเขาไว้เป็สำคัญ จึงไม่ได้หักหาญเข้าปะทะกันตรงๆ แต่เื่ราวบานปลายมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องพูดกันอีกแล้ว ทุกกระบวนท่าล้วนมุ่งสังหารปลิดชีวิต
เหล่าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ไม่ออมมืออีกต่อไป เนื่องจากเวลานี้มีกำลังคนมากเพียงพอ สามารถสังหารโม่ฉางชุนได้โดยตรง สำหรับเื่นี้ เจตนาของบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์คล้ายดั่งจะเห็นพ้องต้องกัน
ฐานบ่มเพาะของจู้เชียนเชียนทะลวงด่านยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในตอนท้ายทรงตัวที่ขอบเขตราชันาระดับสูงสุด…หากมิใช่้านิพพานแล้วจึงสามารถบรรลุจักรพรรดิาได้ เกรงว่าฐานบ่มเพาะของจู้เชียนเชียนคงจะยกระดับอย่างต่อเนื่อง
ฉินจงและคนอื่นๆ ไม่เคยคิดว่าใต้หล้าจะมีวิธียกระดับการบ่มเพาะที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ เหมือนเช่นลูกโป่งที่ถูกเป่าลมก็มิปาน ฐานบ่มเพาะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร่างกายที่ป่วยหนักไม่มีพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้แม้แต่น้อย กลายเป็ราชันาระดับสูงสุดผู้หนึ่ง การก้าวข้ามช่องว่างระหว่างขอบเขตอย่างก้าวะโนี้ ทำให้ผู้คนยากที่จะจินตนาการถึง วิธีเพียงหนึ่งเดียวที่จะสามารถอธิบายได้ก็คือปาฏิหาริย์
ระดับฐานการบ่มเพาะของจู้เชียนเชียน หยุดนิ่งที่ระดับขอบเขตราชันาสูงสุด แต่พลังคลุ้มคลั่งมากมหาศาลนั้นยังไม่ได้หยุดลง หลังจากที่ฐานการบ่มเพาะของจู้เชียนเชียนหยุดลง พลังงานเหล่านี้ปรับปรุงสมรรถภาพร่างกายของจู้เชียนเชียนอย่างต่อเนื่อง นางรู้สึกว่าชีพจรลมปราณแต่ละเส้นของตน ถูกพลังขัดเกลาผันแปรจนแข็งแกร่งขึ้น และอวัยวะภายในก็ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงจนสมบูรณ์ ด้วยพลังงานลึกลับนี้เช่นกัน…
จ้านอู๋มิ่งนำพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ชนิดต่างๆ ที่ดูดซับมาบีบอัดอย่างต่อเนื่อง แล้วบีบอัดอีก…ผันแปรเป็พลังปราณเที่ยงแท้อนัตตา…และทุกอณูตลอดทั่วทั้งร่างกาย ดูดซับพลังธาตุแห่งชีวิตที่แบ่งมาจากร่างกายจู้เชียนเชียนอย่างตะกละตะกลาม ทำให้กายเนื้อของตนแข็งแกร่งและทรงพลังมากยิ่งขึ้น
แต่จ้านอู๋มิ่งกลับทราบว่า เวลานี้สมควรถึงเวลาที่จะหยุดการทำงานของค่ายกลใหญ่แล้วเช่นกัน ถ้าให้จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์แต่ละสำนักนิกายมีเวลามาใส่ใจตนแล้วค่อยดำเนินการ เช่นนั้นตนอาจถูกเปิดเผยความจริงภายใต้สายตาของเหล่าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ได้มากที่สุด เวลานี้เขาไม่้ากลายเป็ศัตรูของทุกคนในใต้หล้า สาเหตุที่เขาทำเช่นนี้ ก็เพื่อ้าให้อำนาจที่ตระกูลโม่ของโม่ฉางชุนสร้างขึ้นมาในแผ่นดินแห่งนี้ถูกกำจัดทำลายหมดสิ้นโดยสิ้นเชิง!
เช่นนั้นให้แต่ละสำนักนิกายล้วนรู้สึกถึงวิกฤตของชีวิต เจ็บแค้นเกลียดชังผู้คนกลุ่มนี้จากส่วนลึกของจิติญญา นี่ก็คือวิธีที่ง่ายดายที่สุด เมื่อตระกูลโม่กลายเป็ศัตรูของทุกคนของแผ่นดินแห่งนี้แล้ว ผลกระทบจากอิทธิพลของพวกเขาก็จะลดลงถึงจุดต่ำสุด
จ้านอู๋มิ่งยกจู้เชียนเชียนออกจากลวดลายยันต์สีแดงเืทันที จากนั้นฟาดฝ่ามือกระแทกหินที่ยื่นออกมาโดยแรง ลวดลายยันต์สีแดงเืนั้นก็แตกสลายกลายเป็เศษธุลีไปทันที
จู้เชียนเชียนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทันใด ร่างกายตกลงมาจากอากาศเข้าไปภายในอ้อมแขนของจ้านอู๋มิ่ง พลันก็รู้สึกขวยเขินอย่างไร้สิ้นสุด
“รู้สึกเป็อย่างไรบ้าง?” จ้านอู๋มิ่งกอดจู้เชียนเชียนที่ตกลงมาจากกลางอากาศไว้ ถามขึ้นอย่างปีติยินดี
จู้เชียนเชียนพิจารณาร่างกายอย่างละเอียดคราหนึ่ง รู้สึกแต่ว่าทั่วทั้งร่างกายตนกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ความอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงอย่างที่ผ่านมาหายไปเหมือนปลิดทิ้ง อดที่จะดีใจจนลืมตัวไม่ได้ สวมกอดจ้านอู๋มิ่งเอาไว้ พูดอย่างมีความสุขว่า “ข้าหายดีแล้ว ข้ารู้สึกว่าร่างกายดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน! ขอบคุณเ้ามาก อู๋มิ่ง!”
“คนโง่ ไฉนต้องขอบคุณ เ้ามิใช่บอกว่า้าเป็สตรีของข้าหรอกหรือ? ทำให้สตรีของตนเองสามารถมีความสุข สุขภาพแข็งแรงและมีโชคลาภวาสนา นี่ยังมิใช่สิ่งที่ข้าสมควรกระทำหรอกหรือ!” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว มองดูท่าทางขวยเขินของจู้เชียนเชียน เขาก้มลงจุมพิตริมฝีปากแดงอย่างรักใคร่เสน่หา
จู้เชียนเชียนสะท้านไปทั้งตัว จิตใจวาบหวิวสั่นสะท้านบอกบรรยายมิถูก อ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว ภายใต้อารมณ์กระวนกระวายไม่สนใจแล้วเช่นกันว่าเป็สถานที่ใด ตอบสนองต่อจ้านอู๋มิ่งอย่างอบอุ่น ในจิตใจของนาง รู้สึกขอบคุณและมีความสุขอย่างไร้สิ้นสุด บุรุษผู้นี้เองที่ทำให้นางหายจากความเ็ปที่คอยรุมเร้ามาตลอดทั้งชีวิต ทำให้นางได้กลับมาเป็คนปกติเช่นคนทั่วไปอีกครั้ง มิใช่ สมควรพูดว่าผู้ฝึกฌานบ่มเพาะที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง
ผ่านไปเนิ่นนาน ริมฝีปากสองคนแยกจากกัน ดวงตาทั้งสี่จ้องประสาน จู้เชียนเชียนยิ่งขวยเขินอย่างไร้สิ้นสุดกว่าเดิม ไม่กล้าเผชิญกับดวงตาของจ้านอู๋มิ่งที่เต็มไปด้วยความปรารถนานั้น พูดเสียงเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่น้องของเ้ายังอยู่ด้านโน้น”
จ้านอู๋มิ่งใวูบ ตั้งสติกลับคืนมา เขาเลียริมฝีปาก คล้ายดั่งกำลังหวนคำนึงถึงรสจุมพิตอันเร่าร้อนเมื่อครู่อยู่ มีความรู้สึกชิงชังเหล่าบรรดาศิษย์พี่น้องกับอาจารย์อาและอาจารย์ลุงที่ไม่รู้เื่อะไรเสียเลยอยู่บ้างจริงๆ ไม่รู้จักช่วยตนได้มีเวลาส่วนตัวบ้างหรืออย่างไร กลับยังล้อมวงมองดูผู้เยาว์เขาจุมพิตกันอีก นี่ไม่สมควรจริงๆ เลยนะ
“แค่ก แค่ก…อู๋มิ่งเื่นี้น่ะ พวกเราไม่ได้เห็นอะไรทั้งสิ้น พวกเ้าสามารถดำเนินต่อไปได้...ดำเนินต่อไปได้ ถือว่าพวกเราไม่ได้อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน!” ฉินจงเห็นสายตาจ้านอู๋มิ่งมองมาทางพวกเขา ท่าทางเคอะเขินนั่นน่ะ! เมื่อครู่นี้ตนกลับนำศิษย์ชั้นยอดสำนักบริบาลเดรัจฉานกลุ่มหนึ่งเฝ้าดูศิษย์หลานจุมพิตกัน…ยามนี้หวนคิดขึ้นมาแล้ว ตนอายุปูนนี้แล้ว รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องอยู่บ้างจริงๆ แต่จ้านอู๋มิ่งที่สมควรตายนี่ กลับไร้ขื่อไร้แปอุกอาจถึงเพียงนี้ กลับหาญกล้าคว้าจุมพิตแรกของสุดที่รักในความฝันของพวกเขาไปแล้ว ต่อหน้าคนหนุ่มของแผ่นดินนี้…
เห็นจุมพิตของจู้เชียนเชียนค่อนข้างใสซื่อ ฉินจงคิดเอาเองว่านี่ก็คงจะเป็จุมพิตครั้งแรกกระมัง! แน่นอน เื่นี้ผู้อื่นเขาไม่ยอมรับกัน ผู้ใดสามารถพูดให้ชัดเจนว่าเป็จุมพิตครั้งแรกใช่หรือไม่กันเล่า? และก็ไม่ใช่กิจกรรมเช่นนั้นครั้งแรกสักหน่อย นั่นสามารถสังเกตดูว่ามีสิ่งใดขวางกั้นหรือเปล่า มีการหลั่งโลหิตอันใดออกมานั่นอีก เื่จุมพิตครั้งแรกนี้เป็เื่มิสามารถระบุชัดเจน…เพ้ย ผายลม…เพ้ย…เพ้ย! เกี่ยวข้องกับผายลมบิดาอันใดด้วยเล่า บิดากำลังครุ่นคิดวุ่นวายอะไรอยู่นะ…
จ้านอู๋มิ่งพูดไม่ออก นี่หากยังจะดำเนินต่ออีก ก็ลองสังเกตดูบรรดาศิษย์พี่น้องกับอาจารย์อาและอาจารย์ลุงแต่ละคนก็กลืนน้ำลายกันแล้ว เหมือนเช่นปีศาจหิวโหยที่ไม่ได้เจอหญิงสาวมาเป็พันปีก็มิปาน ลักษณะท่าทางนั่น ทำให้จ้านอู๋มิ่งมิกล้าที่จะตกลงแล้ว นี่หากว่าดำเนินต่อไปละก็ บางทีอาจารย์ลุงกับอาจารย์อาและศิษย์พี่น้องเหล่านี้จะเข้ามาขอเปลี่ยนคนตรงๆ หรือเปล่านะ…
“อาจารย์อา ท่านดูบริเวณน่านน้ำมหาสมุทรแถบนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายปีศาจ บรรยากาศน่ากลัวอยู่บ้าง พวกเราไม่มีความจำเป็จะต้องรั้งอยู่ตรงนี้ พวกสารเลวที่ก่อกวนก็เสียชีวิตไปมากพอสมควรแล้ว รีบกลับเมืองวันสิ้นโลกกันแต่เนิ่นๆ กันเถอะ พวกที่ต่อสู้กันอยู่บนท้องฟ้านั้นพวกเราก็ไม่อาจสอดมือเข้าไป ถ้ามีโอกาสมิสู้เก็บแหวนจักรวาลอะไรนั่นสักหน่อย…” พูดพลาง สายตาจ้านอู๋มิ่งมองไปยังซากศพที่เกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น คนเสียชีวิตมากขนาดนี้ ภายในแหวนจักรวาลของพวกเขาจะมีของดีอยู่มากมายเพียงใดหนอ…
ฉินจงตาเป็ประกาย พลันเข้าใจทันที เื่หาโชคลาภจากคนตาย จ้านอู๋มิ่งเป็ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แม้แต่เขายังพูดเช่นนี้ นั่นย่อมไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน! โชคลาภครั้งนี้ ถ้าไม่เอาละก็เสียของเปล่าๆ จริงๆ
พลันศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานที่ไม่เห็นแม้แต่เงาตอนต่อสู้ระยะประชิดเมื่อครู่นี้ เหมือนเช่นเสือดุร้ายหลุดออกจากกรงก็มิปาน พวกเขากระโจนเข้าสู่สนามต่อสู้ที่ค่อนข้างสงบลงแล้ว แต่ที่ทุกคนต้องปากอ้าตาค้างก็คือ พวกคนกลุ่มนี้ไม่ได้เข้าไปช่วยสำนักนิกายต่างๆ ต่อสู้แต่อย่างใด แต่กลับไปแย่งคว้าแหวนจักรวาลมาเก็บไว้แทน ไม่ว่าจะเป็ผู้เสียชีวิตของตระกูลโหยว หรือผู้เสียชีวิตของเมืองวันสิ้นโลก ตลอดจนวีรบุรุษผู้ล่วงลับของแต่ละสำนักนิกายใหญ่! ขอเพียงเผลอเพียงเล็กน้อย แหวนจักรวาลนั้นก็เปลี่ยนเ้าของแล้ว ยังมีศิษย์ส่วนหนึ่งะโลงไปในมหาสมุทรโดยตรง ในซากศพที่จมอยู่ในมหาสมุทรเหล่านี้ ก็มีของดีอยู่จำนวนไม่น้อยเช่นกัน! ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มดำเนินการภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการกอบกู้ศพขึ้นมาแล้ว…
ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานเปลี่ยนเป็สัตว์ป่าดุร้ายไปทันใด…แต่กลับมิมีผู้ใดกล้าไปตอแยง่ายๆ เนื่องเพราะยามนี้มีแต่สำนักบริบาลเดรัจฉานที่รักษากำลังไว้และเข้มแข็งที่สุด เื่นี้ทำให้สำนักนิกายอื่นๆ กังวลครั่นคร้ามอยู่บ้าง นอกจากนี้ ใครๆ ล้วนทราบกันว่าจ้านอู๋มิ่งผู้นั้นก็คือราชันปีศาจป่วนโลกนั่นเอง หากผู้ใดไปตอแยเข้า ก็จะมีปัญหาไม่จบไม่สิ้นอย่างแน่นอน แม้แต่บรรพบุรุษผู้เฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลจู้หลายคน ยังถูกเขาด่าจนอาเจียนเป็เื คนอื่นๆ ที่เหลือหากไปล่วงเกินราชันปีศาจป่วนโลกผู้นี้เข้า เช่นนั้นยังจะมีวันเวลาที่สงบสุขอีกหรือ? ดังนั้นคนเหล่านี้จึงเลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่งกับพฤติกรรมของศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉาน ผู้ใด้าเข้าไปยุ่งก็เข้าไปเถอะ ขอเพียงไม่ได้มาแย่งกันบนศีรษะตนเองก็พอ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนปล่อยให้พวกเขาทำไป…
[1] ซ้ำเติมอีกฝ่ายยามเพลี่ยงพล้ำ
