“แต่ดูเหมือนตอนนี้สัญญานั่นจะมีช่องโหว่ไม่น้อยเลย” เย่เทียนเซี่ยฟังจบก็กระตุกยิ้มมุมปากแล้วพูดออกมาช้าๆ “ขอบเขตของโลกที่พวกนายทำข้อตกลงกันเอาไว้น่ะเล็กมาก......... ตอนนี้หลิงหยุนก็มาปรากฏตัวที่โลกใบนี้อย่างโจ่งแจ้งแล้ว แล้วก็ยังอยู่ในรายการจัดอันดับเลเวลท่ามกลางสายตาของผู้คนนับล้านด้วย ความทะเยอทะยานของตระกูลหยุนในโลกใบนี้น่ะััได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ การพัฒนาและการปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็ของพวกเขาในโลกใบนี้น่ะ หึ ดูเหมือนจะไม่ได้เป็การละเมิดสัญญาที่ตระกูลจั้วกับพวกเขาทำไว้ในตอนแรกสินะ”
จั้วพั่วจวินยังคงพยักหน้าแล้วถอนหายใจออกมา “พี่รอง ที่พี่พูดมาก็ไม่ผิดเลยสักนิด ไม่กี่วันก่อนหน้านี้พ่อของผมก็พูดแบบนี้กับผมเหมือนกัน........... ตอนที่รายชื่อสามชื่อในรายการจัดอันดับเลเวลปรากฏออกมาพ่อของผมก็นอนไม่หลับไปเลยล่ะ”
“เอ๋? สามชื่อ?” เย่เทียนเซี่ยเลิกคิ้ว
“ตระกูลหลิงคือตระกูลโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน ที่ดินที่เป็ของพวกเขาล้วนเป็โลกอีกใบทั้งสิ้น บนถนนก็มีแต่ยอดฝีมือที่คนทั่วไปจะเห็นได้แต่ในหนังเท่านั้น ในสามตระกูลนั้นยังมีอีกสองตระกูล หนึ่งในนั้นคือตระกูลชาง ตระกูลชางคือตระกูลโบราณที่มีความสามารถพิเศษที่ทำให้คนยิ่งหวาดกลัวและใ ทายาทในปัจจุบันมีชื่อว่า....... ชางเฉิน!”
ชางเฉิน? ชื่อนี้ทำให้เย่เทียนเซี่ยชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่ได้ลืมชื่อนี้ไป............ มันคือชื่อที่เขาเห็นเป็ครั้งแรกแล้วเงียบไปพักใหญ่ เพราะเมื่อครั้งแรกที่ประกาศรายการจัดอันดับเลเวลคนๆนี้คือคนที่พุ่งขึ้นมาอยู่ในรายการจัดอันกับเลเวลท่ามกลางคนเป็ล้านด้วยอาชีพที่กากที่สุดอย่างผู้อัญเชิญได้เป็คนแรก! ทำให้เขาในตอนนั้นถึงกับอึ้งไปเลย
ตระกูลความสามารถพิเศษ............... ทายาทตระกูลชาง...........ชางเฉิน!
“ห้าปีก่อนตอนที่ทำากับโม่หลัวเตี้ยน เซิ้งอวี้ได้รับความเสียหายมาก ปัจจุบันเหลือผู้ที่มีความสามารถพิเศษแค่สองร้อยกว่าคนเท่านั้น แต่ตระกูลชาง.......... คนของที่นั่นเหมือนกับมียีนส์พันธุกรรมที่น่ากลัวสุดๆ เด็กที่เกิดมาทุกๆสามคนจะปรากฏคนที่มีพลังพิเศษั้แ่อยู่ในครรภ์ การพัฒนาของเซิ้งอวี้จะต้องอาศัยการรวบรวมผู้มีพลังพิเศษท่ามกลางพื้นที่เป็ล้านๆไมล์บนโลก แต่ตระกูลชาง เพียงแค่คาดการณ์จำนวนของผู้มีพลังพิเศษในตระกูลนี้เพียงตระกูลเดียวก็คงไม่ต่ำกว่า 50 คน.......... นี่เป็ตัวเลขที่น่ากลัวมากเลยนะ”
เย่เทียนเซี่ยนิ่งงัน จากนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวๆ “เป็ตัวเลขที่น่ากลัวจริงๆ แล้วอีกตระกูลนึงล่ะ? เป็ยังไง?”
ตระกูลหนึ่งมีจำนวนผู้มีพลังพิเศษถึงหนึ่งในสี่ของจำนวนผู้มีพลังพิเศษที่หัวเซี่ยรวบรวมมาได้ คงต้องใช้คำที่ยิ่งกว่า “น่ากลัว” มาอธิบายซะแล้ว
จั้วพั่วจวินถอนหายใจเบาๆแล้วพูดต่อ “ตระกูลที่สามของตระกูลต้องห้ามคือตระกูลที่น่ากลัวที่สุด พลังโดยรวมแล้วยังเหนือชั้นกว่าตระกูลหลิงและตระกูลชางด้วยซ้ำ มันคือตระกูลที่ไม่สามารถต่อกรด้วยได้อย่างแท้จริง.......... คนของพวกนั้นทั้งหมดล้วนเป็สัตว์ประหลาดที่น่ากลัว ความเก่งกาจทั้งหมดของพวกเขาไม่ใช่ความเก่าแก่ ไม่ใช่พลังพิเศษ......... แต่จะพูดให้ถูกก็คือ พวกเขาไม่อาจนับได้ว่าเป็ตระกูลหนึ่ง แต่ต้องเรียกว่าเป็องค์กร เป็องค์กรหนึ่งที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไป มันมีชื่อว่า.......์แห่งฝันและเื!”
“์แห่งฝันและเื............” เย่เทียนเซี่ยทวนชื่อนั้นอีกครั้ง ตอนนั้นเองสมองของเขาก็ผุดข้อมูลบางอย่างขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นแล้วพูด “องค์กรนักฆ่าอันดับหนึ่งของโลก ์แห่งฝันและเืที่แท้ก็อยู่ในหัวเซี่ยของเรานี่เองหรอกเหรอ?”
“ถูกแล้วล่ะ” จั้วพั่วจวินพยักหน้า “์แห่งฝันและเืคือกลุ่มที่น่ากลัวที่สุดในสามตระกูลต้องห้าม แต่ความลับของพวกมันก็ทำให้พวกมันยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ตอนนี้เหตุผลที่มันสามารถอยู่ในหัวเซี่ยได้อย่างปลอดภัยไม่เพียงเพราะมันเคารพสัญญา แต่ยังช่วยพวกเราตระกูลจั้วฆ่าคนปีละหนึ่งคนด้วย............. และใน์แห่งฝันและเืผู้ชายจะใช้สกุลเสว่ ส่วนผู้หญิงจะใช้สกุลเมิ่ง”
ชายสกุลเสว่ หญิงสกุลเมิ่ง
ผู้หญิงใช้สกุลเมิ่ง.....................
เย่เทียนเซี่ยคิดถึงชื่อหนึ่งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว...............เมื่อประกาศรายการจัดอันดับเลเวลออกมารายชื่ออันดับที่สองของรายการจัดอันดับเลเวลก็คือ..................เมิ่งอวี่อี้
“เมิ่งอวี่อี้ ชางเฉิน หลิงหยุนดาบเดียว............... สามชื่อนี้แสดงถึงตระกูลต้องห้ามทั้งสาม แต่ทั้งหมดกลับโผล่ขึ้นไปในรายการจัดอันดับเลเวลที่เป็สัญลักษณ์แห่งพลังที่แข็งแกร่งที่สุด มันคือข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ และยังเป็การยั่วยุอย่างนึงด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเหงาหงอยอยู่กับความปลอดภัยนานเกินไป เมื่อมีโอกาสแบบนี้พวกเขาถึงไม่อาจปฏิบัติตามกฎได้อีกต่อไป จริงๆนี่ก็มากพอให้พ่อของนายนั่งไม่ติดแล้ว” เท้าของเย่เทียนเซี่ยยังคงก้าวต่อไป ก่อนจะพูดออกมาสบายๆ ไม่ว่าสามตระกูลต้องห้ามจะคงอยู่หรือไม่ หรือคิดอยากจะทำอะไร จริงๆแล้วก็ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด
“เอ่อ...........ก็อย่างนั้นแหละ” จั้วพั่วจวินตอบรับออกมา เขาอ้าปากพะงาบๆแล้วเก็บกลืนสิ่งที่อยากจะพูดกลับไป
เย่เทียนเซี่ยมองไปยังสีหน้าที่อ้ำๆอึ้งๆของเขาแวบหนึ่งแล้วก็พูดออกมายิ้มๆ “วันนี้นายพูดเื่นี้กับฉันละเอียดเป็พิเศษเลยนะ น่าจะไม่ใช่แค่ให้ฉันรู้เฉยๆหรอกมั้ง มีเื่อะไรก็พูดมาตรงๆดีกว่า.......... เอาล่ะ ให้ฉันเดานะ พ่อของนายไม่ใช่ว่าเคยพูดกับนายแล้วหรอว่าถ้ามีโอกาสก็ให้ฉันกดดันความห้าวหาญของพวกเขาหน่อย หรือจะพูดว่าเอามันให้ตายก็ได้งั้นสินะ”
จั้วพั่วจวินนิ่งอึ้งแล้วรีบพยักหน้าอย่างแรง แล้วพูดออกมาอย่างประชดประชัน “ที่แท้แล้วไม่ว่าเื่อะไรก็ไม่อาจซ่อนจากคนอย่างพี่รองได้เลยจริงๆ.......... พ่อของผมบอกว่าด้วยความเก่งกาจของเทียนโม่เซี่ย น่าจะมากพอที่จะสร้างาแให้จิติญญาของพวกเขา แล้วก็............”
“ท้าทาย ฉันไม่กลัวใคร แต่ถ้าตระกูลทั้งสามคิดจะทำการใหญ่ล่ะก็ มันจะมีแค่สามคนได้ยังไง? ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดขึ้นมาบนโลกใบนี้ หลังจากสร้างมันขึ้นมาแล้วก็ผนึกพลังรวมกันแล้วแทรกซึมไปสู่โลกจริง ถ้าเป็อย่างนั้น ฉันเพียงคนเดียวก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ การกดพวกมันให้ตายยิ่งเป็เื่ตลกเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าพวกมันเพียงแค่เข้ามาเล่นในนี้แค่ไม่กี่คน ฉันก็คงไม่จำเป็ต้องสร้างาแทางจิติญญาให้พวกมันหรอกมั้ง”
“เอ่อ...... แต่ว่าพี่รอง...............”
“เอาล่ะ มาถึงกันแล้ว เข้าไปข้างในก่อนเถอะ ค่อยคุยกันหลังจากนี้แล้วกัน” เย่เทียนเซี่ยเปิดประตูบ้านของตัวเองแล้วเดินนำเข้าไปก่อน
มู่หรงชิวสุ่ยดึงจั้วพั่วจวินที่ดูเหมือนจะชาไปทั้งร่างแล้ว จากนั้นก็เม้มริมฝีปากแดงอย่างหนัก “ไอ้อ้วน ด้วยนิสัยของพี่รอง ถ้ามีวันนั้นจริงๆนายคิดว่าเขาจะไม่ลงมืองั้นเหรอ? ห๊ะ?”
มู่หรงชิวสุ่ยโบกมือเท่ๆแล้วเดินตามหลังเย่เทียนเซี่ยเข้าไป จั้วพั่วจวินลูบหน้าอกป้อยๆ แล้วก็รีบเดินตามเข้าไปด้วยดวงตาที่ฉายแววยิ้มแย้ม
เมื่อก้าวเข้าไปด้านในเท้าของเย่เทียนเซี่ยก็หยุดลงที่ข้างสระว่ายน้ำ หญิงสาวที่มีใบหน้างดงามคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างสระน้ำพร้อมกับรอยยิ้มสูงส่ง เธอใช้ผิวที่ขาวราวกับหยกััดอกไม้ที่อยู่ข้างสระน้ำ และดอกไม้สีแดงอันโดดเด่นสะดุดตาก็เบ่งบางภายใต้ความงดงามของหญิงสาวราวกับดวงดาวภายใต้วันคืนอันอบอุ่นที่ทำให้ทุกอย่างจืดชืดไป
เธอค่อยๆยืนขึ้น การกระทำที่แสนจะธรรมดาแต่โครงร่างที่ปรากฏออกมากลับทำให้หัวใจคนมองสั่นไหว ต่อหน้าสายตาของเย่เทียนเซี่ยและพวกอีกสี่คนหลิ่วชีเยว่กระตุกยิ้มมุมปากแล้วรอยยิ้มอ่อนหวานก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ ความสดใสที่ปรากฏขึ้นมาในชั่วพริมตานั้นราวกับจะทำให้แสงสว่างโดยรอบสดใสขึ้นมาทันที เมื่อสายตาของเธอหันไปหยุดลงที่เฉินซินที่เดินคู่มากับซูเฟยเฟยรอยยิ้มของเธอก็ยิ่งฉายแววโศกเศร้ามากยิ่งขึ้น “น้องเทียนเซี่ย ไม่เจอกันแค่แป๊บเดียวนายก็พาเพื่อนคู่คิดที่น่ารักมาให้พี่สาวเจออีกแล้วเหรอ”
เย่เทียนเซี่ยมีแววเขินอายแล้วหลบสายตาไปอย่างไม่รู้จะทำยังไง “เจ๊ใหญ่กลับมาั้แ่เมื่อไรครับ”
จั้วพั่วจวินสำรวจใบหน้าของเธอแล้วเสนอหน้าออกไปอย่างถูกเวลา “เอ๋? เจ๊ใหญ่ เจ๊ได้บัตรเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ผมจะบอกเจ๊ไว้ก่อนเลยว่าอีกเดี๋ยวพี่รองจะมีของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ๊แหละ เจ๊เตรียมตัวเตรียมใจดีๆล่ะ อย่า.............”
“เอ๋? น้องเทียนเซี่ยมีของขวัญจะให้ฉันอย่างนั้นเหรอ? มันเป็ของขวัญชิ้นใหญ่อะไรล่ะ?” หลิ่วชีเยว่ไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจ คิ้วเรียวของเธอกลับยกขึ้นน้อยๆก่อนจะกัดริมฝีปากแล้วแย้มยิ้มออกมา ดวงตาอันอ่อนโยนที่เหมือนจะมีหยดน้ำไหลลงมาจ้องมองไปที่ใบหน้าเย่เทียนเซี่ย ใบหน้าอันงดงามค่อยๆขึ้นสีชมพูระเรือที่ละน้อย ท่าทางที่ดูเหมือนหัวเราะเล็กๆทำให้บรรยากาศที่ชวนใจสั่นของเธอยิ่งงดงามจนทำให้คนมองแทบจะสูญเสียการควบคุม
“ปีศาจ เจ๊ใหญ่ต้องเป็ปีศาจแหงๆ” จั้วพั่วจวินเบนสายตาออกไป เขาเกรงว่าถ้าตัวเองมองนานกว่านี้อีกนิดดวงตาของเขาอาจจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แม่ของหลิ่งชีเยว่คือป้าของเขา เมื่อตอนที่เขาเพิ่งจำความได้ก็เดินตามตูดหลิ่วชีเยว่ต้อยๆแล้วเอาแต่ร้องเรียกพี่สาวๆไม่หยุด เขาคุ้นเคยกับเธอมากจนไม่รู้จะมากกว่านี้ได้ยังไงแล้ว แต่ถึงจะเป็อย่างนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับบรรยากาศที่เธอลงมือปลดปล่อยออกมาเขาก็ยังคงนิ่งอึ้งไปอยู่ดี
แม้แต่เขายังเป็ถึงขนาดนี้ ไม่ต้องถามถึงคนอื่นเลย............การที่ชายสองคนแห่งตระกูลหยุนทางเหนือและตระกูลตู้กูทางใต้ต่างก็ห้ำหั่นกันเพื่อเธอล้วนไม่แปลกเลยสักนิด แต่ต่อให้พวกเขาต่อสู้กันจนถึงจุดจบที่มีใครตายไปข้างก็เป็แค่สิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นมาเองเท่านั้นว่าผู้ที่มีชีวิตรอดจะได้หญิงสาวที่งดงามราวกับหลี่ชุนสุ่ย พวกเขาคิดไปเองว่าตัวเองคือคนสองคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาคนหนุ่มสาวทั้งหมดในหัวเซี่ย แล้วยังทึกทักเอาเองว่ามีเพียง “เทียนจื่อ” และ “เสินจื่อ” ที่ต้องต่อสู้กันเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ หลิ่วชีเยว่ไม่มีทางที่จะเลือกคนที่สามอย่างแน่นอน แต่ทว่าหัวใจของหลิ่วชีเยว่ไม่เคยอยู่ที่สองคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆ..........ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ วันนี้อากาศดีจังเลยนะ สายลมและแสงแดดล้วนงดงาม เป็บรรยากาศที่น่าชื่นชมวิวทิวทัศน์มากเลย เ้าสี่พวกเราไปเดินเล่นที่สวนด้านหลังกันเถอะ ไปดูดอกไม้ใบหญ้าสักหน่อยน่าจะรู้สึกไม่เลว” จั้วพั่วจวินดึงมู่หรงชิวสุ่ยไปแล้วรีบวิ่งไปที่สวนด้านหลังทันทีโดยไม่เหลือไว้แม้แต่เงา
เย่เทียนเซี่ยหันหลับมาแล้วพูดกับซูเฟยเฟยที่มีสีหน้าแปลกๆอย่างเห็นได้ชัด “เฟยเฟย เธอจะพาเฉินซินเดินชมที่นี่หน่อยแล้วกัน ฉันจะคุยเื่โฉนดที่ดินกับเจ๊ใหญ่หน่อย”
ซูเฟยเฟยเม้มปากแน่นแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอหันไปพูดกับเฉินซินแทน “มาเถอะน้องสาว ฉันจะพาเธอเดินดูที่นี่ก่อน....... นี่ มันใหญ่เหมือนกับที่ฉันบอกหรือเปล่า”
จริงๆแล้วสิ่งที่เธออยากจะพูดก็คือ............ โฉนดที่ดินแผ่นนั้นน่ะเหรอ ทำไมต้องพูดคุยกับเธอเพียงลำพังด้วยล่ะ.......
ั้แ่เฉินซินเดินเข้ามาในที่แห่งนี้เธอก็มีท่าทางมึนงงมาโดยตลอด หรือจะบอกว่าไม่ว่าใครเดินเข้ามาที่นี่ก็ล้วนถูกคฤหาสน์หรูโอเวอร์แห่งนี้ทำให้อึ้งจนไม่อาจฟื้นคืนสติมาได้ในระยะเวลาสั้นๆแน่นอน............ และเมื่อเธอได้เห็นหลิ่วชีเยว่สองตาของเธอก็อึ้งค้างราวกับว่าได้เห็นนางฟ้าก็มิปาน แต่ทันใดนั้นความสับสนก็ฉายชัดบนใบหน้าของเธอทำให้เธอก้มหน้าลงอย่างกังวลและไม่กล้ามองสบตาหลิ่วชีเยว่อีก
เมื่อซูเฟยเฟยและเฉินซินที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผ่านข้างกายของหลิ่วชีเยว่ไป หลิ่วชีเยว่กลับหมุนตัวเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องสาวคนนี้พวกเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?”
เท้าของเฉินซินหยุดชะงักไป จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม สองมือของเธอกำเข้าหากันแน่นอย่างกังวล น้ำเสียงที่เธอพูดออกไปมีความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด “ฉัน........... เธอ........ ไม่หรอก พี่สาวจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ”
หลิ่วชีเยว่ครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้าน้อยๆพร้อมกับยิ้มอ่อน “ฉันน่าจะจำคนผิดเองแหละ”