“ท่านย่าอย่าได้โมโหไปเลยขอรับ” หลี่ลั่วเอ่ยขึ้น “หลานรู้ว่าสุขภาพของท่านไม่ดีนัก หลายปีมานี้มาพักฟื้นที่จวนโหวสุขภาพก็ไม่ได้ดีขึ้น ดังนั้นจึงกังวลว่าสุขภาพของท่านป้าจะย่ำแย่ตามท่าน มิสู้เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ขอรับ วันนี้ท่านย่าและท่านป้าต่างไปพักผ่อนกันก่อนสักครู่ เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยงมารดาค่อยไปเชิญพวกท่านมา”
หลี่จิงตกตะลึง จากนั้นจึงหัวเราะออกมา “ลั่วเกอเอ๋อร์พูดถูกแล้ว มารดามาอยู่ที่จวนโหวห้าปีกว่าแล้ว น้องสะใภ้เพิ่งจะย้ายมาท่านก็มาพักฟื้นที่นี่ จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น คิดดูแล้วฮวงจุ้ยของจวนโหวน่าจะไม่เหมาะสมที่จะให้ท่านมาพักฟื้น”
“พี่ใหญ่ช่างเป็ผู้ที่เอาใจใส่ต่อสุขภาพของท่านแม่เป็ที่สุดเ้าค่ะ” ภรรยาหลี่ฮุยเอ่ยขึ้น “ไม่แน่ว่าฮวงจุ้ยอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการพักฟื้นจริงๆ ก็เป็ได้เ้าค่ะ ข้าได้ยินมาว่า่นี้ฉือหย่งซือไท่[2]อยู่ในเมืองหลวง มิสู้หาวันดีเชิญนางมาตรวจดูฮวงจุ้ยของจวนโหวนะเ้าคะ”
“เช่นนั้น การเลือกวันดีมิสู้เลือกวันสะดวกนะเ้าคะ” เป็สตรีชนชั้นสูงอีกท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น
หลี่ลั่วมองไปที่นาง สตรีชนชั้นสูงผู้นี้เขาไม่รู้จัก
“นี่เป็หลานสะใภ้ของท่านย่าเ้า ซื่อจื่อฮูหยินของจวนชิ่งป๋อ” หลี่หยางซื่อแนะนำให้หลี่ลั่วรู้จัก “และเป็น้องสะใภ้ฝั่งครอบครัวมารดาของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของเ้า ตามลำดับาุโแล้ว เ้าเรียกนางว่าจิ้วหมู่เถิด”
“จิ้วหมู่” หลี่ลั่วยังคงแสดงตนเป็เด็กน่ารักต่อไป ราวกับเื่การมาพักฟื้นเมื่อสักครู่ไม่ใช่เขาที่เป็คนเปิดประเด็นขึ้นมา
“ตายจริง ช่างเป็เด็กที่น่ารักยิ่งนัก” ซื่อจื่อฮูหยินจากจวนชิ่งป๋อยิ้มบางๆ พร้อมกับหยิบของขวัญออกมา “นี่เป็ของขวัญพบหน้าที่จิ้วหมู่มอบให้เ้า”
“ขอบคุณจิ้วหมู่ขอรับ”
“ล้วนเป็ญาติ เป็ครอบครัวเดียวกัน ขอบคุณอันใดกัน” พูดแล้ว ซื่อจื่อฮูหยินจวนชิ่งป๋อก็ลูบศีรษะหลี่ลั่ว จากนั้นพูดต่อว่า “ได้ยินมาว่าฉือหย่งซือไท่มาเมืองหลวงเพื่อสวดมนต์ภาวนาให้แก่ฉินเหล่าฮูหยิน มิสู้ข้าไปประเดี๋ยวนี้ อาจจะสามารถเชิญมาได้เ้าค่ะ”
“วันเช่นนี้มิสู้...” หลี่หยางซื่อพูดได้เพียงครึ่งประโยคก็ถูกซื่อจื่อฮูหยินจวนชิ่งป๋อขัดจังหวะ “วันนี้ทุกคนต่างก็อยู่ที่นี่ ฉือหย่งซือไท่นั้นเป็คนระดับใด เชิญมาแล้วยังสามารถแสดงธรรมให้ทุกคนได้ฟังอีกด้วย ข้าไปเชิญมาเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ” พูดจบนางก็โค้งกายให้หลี่เหล่าไท่ไท่และจงกั๋วกงฮูหยินจากนั้นเดินออกไปทันที
ไม่ให้ผู้อื่นมีโอกาสแม้แต่จะพูดจา
ซื่อจื่อฮูหยินจวนชิ่งป๋อเดินออกไปแล้ว บรรยากาศภายในห้องโถงพลันเงียบลงในทันที
“ฉีอ๋องเสด็จ” ทันใดนั้น เสียงก็ดังมาจากหน้าประตู
ฉีอ๋องหรือ? คนทั้งหมดต่างลุกขึ้นยืน หลี่เหล่าไท่ไท่มองหลี่หยางซื่อ หลี่หยางซื่อส่ายหน้า นางจะส่งเทียบเชิญให้แก่ฉีอ๋องได้อย่างไรกัน เช่นนั้นฉีอ๋องมาได้อย่างไรเล่า?
เวลานี้ ชายหนุ่มสองคนก็เดินเข้าประตูมา คนหนึ่งดูแล้วกระตือรือร้นร่าเริง อีกคนหนึ่งดูแล้วสง่างามสูงส่ง “ขออภัย ข้ามาสายเสียแล้ว” หลี่ต้านหัวเราะฮิๆ “ข้ากับฝ่าาทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฝ่าาได้ยินว่าข้าจะมาจวนโหวเพื่ออวยพรให้กับลิ่วถังตี้ ก็เลยมาร่วมสนุกด้วย”
คนอย่างฉีอ๋องจะมาร่วมสนุกกับผู้ที่ไม่รู้จักกันได้เช่นนั้นหรือ?
“ถวายบังคมฉีอ๋อง” ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนคารวะพร้อมกัน กระทั่งผู้าุโอย่างจงกั๋วกงเหล่าฮูหยินก็ยังต้องลุกขึ้น
“วันนี้เป็งานเลี้ยงส่วนตัวของสกุลหลี่ ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ” กู้จวิ้นเฉินพูดเรียบๆ “ข้าไม่ทราบว่าเสี่ยวโหวเหฺยชมชอบสิ่งใด ถือเสียว่าสิ่งนี้เป็ของขวัญพบหน้าก็แล้วกัน” พูดแล้วก็ปลดหยกพกออกจากข้างเอว
“ท่านอ๋องเสด็จมาเยือนจวนโหว ถือเป็เกียรติแก่จวนโหวยิ่งนัก ไฉนเลยจะกล้ารับของขวัญล้ำค่าจากท่านอ๋องเพคะ” หลี่เหล่าไท่ไท่กล่าว
กู้จวิ้นเฉินมองหลี่ลั่ว “ชอบหรือไม่?”
หลี่ลั่วรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย คนในยุคโบราณล้วนแต่ชอบให้หยกกันหรือไร? ฝ่าาพระราชทานหยก จงกั๋วกงฮูหยินมอบหยกให้ ฉีอ๋องท่านนี้ก็ยังมาประทานหยกให้เขาอีก ขนาดเขาสลับกันใส่ ยังใส่ไม่ครบเลย
“ชอบพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วยิ้มอ่อนหวาน รับหยกพกจากกู้จวิ้นเฉินมาแล้วผูกไว้ที่ข้างเอวของตน ยังดีที่วันนี้เขาไม่ได้ประดับอะไรเอาไว้ที่เอว แต่เมื่อเป็ของที่ฉีอ๋องประทานให้ เขาย่อมต้องชมชอบอยู่แล้ว
[1] ซือไท่ (师太) หมายถึงนักบวชหญิงระดับอาจารย์ หากเป็ผู้ชายจะเรียกว่า ซือฟุ