ซ่งอีอีมีสาวใช้สองคนติดตามมาด้วย และท่าทางนั้นทำให้เหยาเชียนเชียนนึกถึงเป่ยเซวียนเฉิงเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ขึ้นมาทันที
นางมองไปรอบๆ โดยไม่รู้ตัว ด้วยเห็นว่าคุณหนูซ่งผู้นี้ไม่ได้ใจกว้างเหมือนเป่ยเซวียนเฉิง แต่แท้จริงแล้วนางพาสาวใช้ที่มีร่างกายบอบบางมาเพียงสองคนเท่านั้น
“ช่างบังเอิญเหลือเกินคุณหนูซ่ง” เหยาเชียนเชียนสอดตั๋วเงินเข้าไปในเสื้อและทักทายอย่างเป็ธรรมชาติ “เ้าก็มาซื้อของเหมือนกันหรือ”
ซ่งอีอีก้าวไปข้างหน้าช้าๆ แม้ใบหน้าจะประดับรอยยิ้ม แต่เหยาเชียนเชียนกลับรู้สึกถึงััอันตราย ทำให้นางตื่นตัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ท่านอ๋องกับหม่อมฉันจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ ก็เลยออกมาผ่อนคลายเสียหน่อย เพื่อจะได้ไม่ต้องอุดอู้อยู่ในห้องจนกังวลใจ หวังเฟยทรงเห็นด้วยหรือไม่เพคะ?”
ใช่แล้วๆ เหยาเชียนเชียนยิ้มเห็นด้วย รู้สึกว่าการสนทนานี้กระอักกระอ่วนเหลือเกิน นางสามารถหาทางรีบหนีออกไปก่อนได้หรือไม่
“ข้างหน้ามีโรงน้ำชา” ซ่งอีอีจับแขนของเหยาเชียนเชียนไว้ “ในเมื่อวันนี้มีวาสนาได้มาพบกันแล้ว ไฉนหวังเฟยไม่ไปนั่งพูดคุยกับอีอีสักครู่เล่า ถึงอย่างไรในอนาคตเราก็ต้องปรนนิบัติท่านอ๋องเช่นเดียวกัน ล้วนเป็พี่สาวน้องสาวกัน พูดคุยกันมากหน่อยก็ถือเป็เื่ดีนะเพคะ”
เหยาเชียนเชียนอยากแนะนำอย่างจริงใจว่ามิสู้ไปหาหลิ่วเหมยเอ๋อร์เสียยังดีกว่า สตรีผู้นั้นจะต้องยินดีที่จะพูดคุยกับซ่งอีอีอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรั้แ่นางเข้าจวนมา อี๋เหนียงผู้นั้นก็ไม่ได้หยุดสาปแช่งนางเลยแม้แต่วันเดียว สรุปคือว่างเสียจนเจ็บปาก
แต่สุดท้ายแล้วเหยาเชียนเชียนก็ยังคงถูกลากแกมบังคับไปที่โรงน้ำชาอยู่ดี
ทันทีที่เข้าไปภายในร้าน เหยาเชียนเชียนก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นไปอีก นี่มันสถานที่ทรุดโทรมแบบใดกัน กลางวันแสกๆ ก็ยังมีคนไม่มากนัก กิจการแย่ถึงเพียงนี้แสดงว่าชารสชาติไม่ดีเป็แน่
ทว่าเสี่ยวเอ้อของโรงน้ำชานี้กระตือรือร้นมาก เขาพาทั้งสองคนไปที่ห้องส่วนตัวชั้นสอง และวางชาลงพร้อมทั้งยืนเฝ้าที่หน้าประตูเพื่อสะดวกต่อการรับคำสั่ง
ซ่งอีอีนั่งตรงข้ามกับเหยาเชียนเชียน ส่วนสาวใช้สองคนยืนอยู่ข้างหลังอีกที ดูอย่างไรฉากนี้ก็เหมือนกำลังคุมเชิงกันอยู่
“คุณหนูซ่งมีอะไรจะคุยกับข้าหรือ?”
นางได้พบกับซ่งอีอีเพียงแค่ครั้งเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะชิงผิงอ๋อง ตลอดทั้งชีวิตพวกนางคงไม่สามารถมานั่งดื่มชาด้วยกันได้ แม้ว่าพวกนางจะได้อาศัยอยู่ในจวนอ๋องร่วมกันในอนาคต ทว่าคนหนึ่งเป็ชายาเอกและอีกคนเป็ชายารอง คิดดูแล้วคงไม่มีความรักแบบพี่น้องลึกซึ้งเช่นนั้น
“หม่อมฉันมีเื่จะขอร้องจริงๆ เพคะ” ซ่งอีอีจ้องมองเหยาเชียนเชียนเขม็ง บอกว่ามีเื่ขอร้อง แต่คำพูดของนางกลับไม่ทำให้ผู้ฟังััได้ถึงความจริงใจเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อของหม่อมฉันเป็เฉิงเซี่ยงแห่งราชสำนัก และหม่อมฉันก็เป็บุตรสาวที่ท่านพ่อรักที่สุด หม่อมฉันฝึกฝนงานเย็บปักถักร้อยและงานฝีมือของสตรีมาั้แ่เด็ก ทั้งยังเชี่ยวชาญศิลปะทั้งสี่แขนง [1] หม่อมฉันเกิดมาก็เป็เ้าคนนายคน หวังเฟยน่าจะทราบเื่นี้อย่างกระจ่าง”
เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้ว นางไม่ได้ยินคำพูดโอ้อวดเช่นนี้มานานแล้ว นางอยากจะหัวเราะแต่ทำไม่ได้ หากอีกฝ่ายคิดว่านางตั้งใจดูถูกและยั่วโทสะ มีแต่จะทำให้เกิดปัญหามากขึ้น ดังนั้นนางจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับชื่อเสียงของคุณหนูซ่งในฐานะสตรีที่มีความสามารถมาเช่นกัน”
ซ่งอีอีกลั้นยิ้ม หากจะพูดถึงสตรีที่มีความสามารถในนครหลวงจริงๆ ทุกคนมักจะนึกถึงแต่เหยาเชียนเชียนเท่านั้น แต่นั่นเป็เพราะบารมีขององค์ชายสาม และถ้าพูดถึงพร์ที่แท้จริง อีกฝ่ายคงเทียบนางไม่ได้
ยามนี้เหยาเชียนเชียนพยักหน้ายอมรับราวกับเห็นด้วยต่อหน้านาง เป็ไปได้หรือไม่ว่านางจงใจแกล้งทำไปส่งเดช? คาดว่าในใจนางคงจะไม่ยอมรับกระมัง
ซ่งอีอีส่งเสียง ‘หึ’ เบาๆ “ในเมื่อหวังเฟยก็คิดว่าหม่อมฉันมีพร์เหนือผู้อื่น หากเปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างหวังเฟยและองค์ชายสาม เช่นนั้นหม่อมฉันมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็หวังเฟยมากกว่าหรือไม่ ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็รักท่านอ๋องเพียงผู้เดียว และข้างกายของหม่อมฉันก็ไม่เคยมีผู้ใด”
ในเมื่อความสามารถของทั้งคู่ใกล้เคียงกัน มีรูปลักษณ์สูสีกัน สถานะวงศ์ตระกูลของอีกฝ่ายเหนือกว่าเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อประกอบกับความรู้สึกที่มีต่อชิงผิงอ๋อง ตำแหน่งชายาเอกนี้ก็ควรจะเป็ของนาง
ในที่สุดเหยาเชียนเชียนก็เข้าใจจุดประสงค์ของการสนทนาในวันนี้ ที่กล่าวมาเมื่อครู่คือสิ่งที่ซ่งอีอี้าจะบอกว่านางคือสตรีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับชิงผิงอ๋อง ส่วนเหยาเชียนเชียนไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้ั้แ่แรก
หลังจากคิดได้กระจ่างแล้ว เหยาเชียนเชียนก็พบว่ามันน่าขันเหลือเกิน ในตำหนักวันนั้น คนที่สาบานอย่างจริงใจต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ว่าตนเต็มใจที่จะเป็อนุของชิงผิงอ๋องไม่ใช่นางหรอกหรือ?
เื่ผ่านมาไม่นานเท่าไรก็คิดว่าตนสามารถเลื่อนขั้นตัวเองมาเป็ชายาเอกได้แล้วหรืออย่างไร
“คุณหนูซ่งลืมไปแล้วหรือ คนที่กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่ายินยอมเป็อนุโดยสมัครใจและจะไม่เสียใจ เพียงแค่อยากอยู่เคียงข้างท่านอ๋อง ไม่ขอฐานะและชื่อเสียง ก็คือคุณหนูซ่งเองมิใช่หรือ แม้ว่าคุณหนูซ่งจะลืมไปแล้ว แต่ฝ่าาและท่านอ๋อง รวมถึงทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นจะช่วยให้คุณหนูซ่งจดจำได้ เวลาผ่านไปแค่คืนเดียวเท่านั้น คำพูดของคุณหนูซ่งกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือ คงไม่ได้ยังอยู่ในความฝันและยังไม่ตื่นกระมัง”
เมื่อรวมกับสิ่งที่ซ่งอีอีพูดเมื่อวันก่อนล้วนเป็เพียงลมปาก ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรักลึกซึ้งกระทั่งเหยาเชียนเชียนเองก็พลอยเชื่อไปด้วย เมื่อคืนนางยังซาบซึ้งในความรู้สึกอันโง่เขลาอยู่เนิ่นนาน วันนี้จึงกลายเป็การตีแสกหน้าตัวเอง
ที่แท้คนที่โง่จริงๆ ก็คือตัวนางเอง อีกฝ่ายไม่เคยอยากเป็อนุมาั้แ่แรกอยู่แล้ว
“หวังเฟยหมายความว่าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะสนับสนุนอีอีหรือเพคะ?”
ซ่งอีอียกมือรินชาให้ตนเองหนึ่งจอก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ราวกับว่านางไม่แปลกใจกับคำพูดของเหยาเชียนเชียนมากนัก
“หม่อมฉันรู้อยู่แล้วว่าพระองค์คงไม่เห็นด้วย พระองค์จะสละตำแหน่งหวังเฟยที่ได้มาอย่างยากลำบากได้อย่างไร?”
ใบหน้าของซ่งอีอีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุหมุน เหยาเชียนเชียนมองดูความอ่อนโยนบนใบหน้าของนางที่หายไปทีละน้อย และแทนที่ด้วยสีหน้าเสียดสีและดูถูกเหยียดหยาม
ซ่งอีอีจ้องมองเหยาเชียนเชียนเขม็งด้วยสายตาเ็า โชคดีที่เหยาเชียนเชียนได้พัฒนาความสามารถในด้านการต้านสายตาแช่แข็งมาจากชิงผิงอ๋องแล้ว ดังนั้นน้ำแข็งเล็กน้อยเท่านี้จึงไม่สามารถทำอะไรนางได้
“คุณหนูซ่ง วันนั้นเ้าจงใจกล่าวเช่นนั้นต่อท่านอ๋องและฝ่าาหรือ นั่นถือเป็ความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง” เหยาเชียนเชียนกล่าวเตือนนาง “ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ราชโองการถูกเผยแพร่ออกไปแล้วและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คุณหนูซ่งมาบอกเื่นี้กับข้าแล้วข้าจะทำอย่างไรได้เล่า”
การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้ฟังความคิดเห็นของนางั้แ่แรก เป็ซ่งอีอีที่เสนอเื่นี้ขึ้นมาเอง ชิงผิงอ๋องล้มเหลวในการปฏิเสธและเป็ฮ่องเต้ที่รับปากด้วยพระองค์เอง กล่าวได้ว่าคำพูดของคนที่ต่ำต้อยนั้นย่อมไม่มีน้ำหนัก
ถ้านางบอกว่านางยินดีหลีกทางให้แล้วอย่างไร ฮ่องเต้ก็จะรับปากและออกราชโองการใหม่ทันทีเลยหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นคือนางจะไม่มีทางรับปากเื่นี้
นางไม่ได้โง่เสียหน่อย
“หม่อมฉันแค่กลัวว่าท่านอ๋องจะไม่รับรู้ความรู้สึกของหม่อมฉันในวันนั้น ดังนั้นสิ่งที่หม่อมฉันพูดไปเ่าั้ หวังเฟยคงไม่คิดว่าลูกสาวของอัครมหาเสนาบดีผู้มีเกียรติจะยอมจำนนต่อผู้อื่นและเต็มใจที่จะเป็อนุจริงๆ หรอกกระมัง?”
เหยาเชียนเชียนโกรธจนหัวเราะออกมา เหตุใดถึงกลายเป็อย่างที่นางคิดไปเสียได้ เห็นได้ชัดว่าการที่ซ่งอีอีพูดต่อหน้าทุกคนในวันนั้น ยามนี้นางได้รับความโปรดปรานจากทุกคนแล้ว แต่นางยัง้าได้รับตำแหน่งชายาเอกอีกด้วย
สมกับเป็ลูกสาวของอัครมหาเสนาบดี นางอยากจะโดดเด่นกว่าคนธรรมดาทั่วไปจริงๆ
“มันไม่สำคัญว่าข้าจะคิดอย่างไร สิ่งที่สำคัญคือท่านอ๋องและฝ่าาทรงคิดอย่างไรต่างหาก” เหยาเชียนเชียนยิ้มเยาะ “ในเมื่อทุกคนจดจำความหลงใหลในรักของคุณหนูซ่งได้ เช่นนั้นก็แค่นั่งบนตำแหน่งของเช่อเฟยอย่างเชื่อฟัง ปลาและอุ้งเท้าหมีจะได้มาพร้อมกันมิได้”
นอกจากชิงผิงอ๋องแล้ว เหยาเชียนเชียนไม่เคยกลัวผู้ใดเลยจากก้นบึ้งของหัวใจ
ซ่งอีอีผู้นี้เป็ใครกัน ยังไม่ทันเข้าจวนก็ทำให้ตัวเองอับอายเสียแล้ว เมื่อคนผู้นี้เข้าจวนมาแล้วจริงๆ คงจะเหยียบหัวนางวันเว้นวัน เมื่อถึงเวลานั้นชีวิตก็จะยิ่งลำบากมากขึ้น
ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถแสดงอำนาจได้ทั้งนั้น ยามนี้นางยังคงเป็ชายาของชิงผิงอ๋องที่แท้จริงอยู่
“หวังเฟย” ซ่งอีอีคว่ำถ้วยชาลงบนโต๊ะและมองมาด้วยสายตาเ็า ทว่าน้ำเสียงของนางฟังดูสบายๆ และเป็กันเอง
“หม่อมฉันเรียกพระองค์ว่าหวังเฟย แต่พระองค์คิดจริงๆ หรือว่าพระองค์จะสามารถแสดงท่าทีเหมือนหวังเฟยต่อหน้าหม่อมฉันได้? เหยาเชียนเชียน ข้ากำลังพยายามโน้มน้าวเ้าอยู่ กล่าวด้วยดีไม่ชอบ เ้าอย่าบีบให้ข้าต้องลงไม้ลงมือเลย”
นี่คือเริ่มขู่แล้วหรือ?
เหยาเชียนเชียนยกมุมปากขึ้น ถ้าพูดถึงการข่มขู่จริงๆ ความน่ากลัวของซ่งอีอีคงเทียบไม่ได้กับความน่ากลัวของชิงผิงอ๋องแม้เพียงเส้นผม
นางไม่ใช่คนที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ซ่งอีอีกล้ากล่าวคำเหล่านี้กับนางอย่างเปิดเผยเพราะมั่นใจว่านางจะไม่สามารถทำอะไรเ้าตัวได้ แต่ไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน
จากฐานะบุตรสาวของอัครมหาเสนาบดี หรือว่าจากความหลงระเริงที่กำลังจะได้แต่งงาน?
“คุณหนูซ่งโปรดอย่าลืม เมื่อวานนี้ที่ตำหนักท่านอ๋องปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ ต้องให้ข้าเตือนคุณหนูซ่งว่าท่านอ๋องไม่ได้แสดงออกว่ายินดีกับการแต่งงานครั้งนี้หรือไม่?”
“เ้า!”
ซ่งอีอีตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น นี่เป็สิ่งเดียวที่นางไม่สามารถพูดถึงได้
เป็เช่อเฟยไม่เป็ไร นางมั่นใจว่านางสามารถชิงตำแหน่งชายาเอกมาได้เสมอ แต่สิ่งเดียวที่ทำให้นางเสียใจคือการแสดงออกของชิงผิงอ๋องเมื่อวานนี้ นางเดิมพันกับศักดิ์ศรีและเกียรติยศทั้งหมดของนางเพียงเพื่อที่จะได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่นางหลงรัก
ทว่าชิงผิงอ๋องไม่เคยแม้แต่จะมองนางเลยสักครั้ง นางมองเหยาเชียนเชียนอย่างเกลียดชัง อย่างไรก็ตาม สตรีผู้นี้ต่างหากที่ทำให้ท่านอ๋องสับสน ไม่เช่นนั้นเขาจะเพิกเฉยต่อความจริงใจของนางมากขนาดนี้ได้อย่างไร
ในอดีตสตรีผู้นี้เคยสมคบคิดกับองค์ชายสาม ความสัมพันธ์พัวพันไม่ชัดเจน ยามนี้ไม่รู้ว่านางมอมเมาท่านอ๋องอย่างไร เหยาเชียนเชียนเป็สตรีที่มากเล่ห์และช่างกำเริบเสิบสานเหลือเกิน ท่านอ๋องต้องถูกเหยาเชียนเชียนผู้นี้ทำเสน่ห์ใส่เป็แน่ ดังนั้นเขาจึงไม่ชายตาแลนางเลย
“เ้าภูมิใจอะไรหรือ เมื่อข้าเข้าจวนไป ข้าจะทำให้ท่านอ๋องได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเ้าอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเ้ายังคิดว่าจะสามารถรักษาตำแหน่งหวังเฟยไว้ได้อีกหรือ?”
เหยาเชียนเชียนจิบชา ฟังคำพูดของนางเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ราวกับเป็เพียงคำพูดไร้สาระ
ปล่อยนางพูดไปเถิด ถึงอย่างไรผู้คนมากมายก็ได้เห็นแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ที่บังคับให้แต่งงานก็ยังรู้สึกได้ว่าชิงผิงอ๋องไม่ชอบซ่งอีอีผู้นี้
นี่เป็สิ่งที่แน่นอนและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าซ่งอีอีจะปลอบใจตัวเองมากเพียงใด แต่นางก็ไม่สามารถทำให้ชิงผิงอ๋องตกหลุมรักนางได้ในทันที ส่วนเหยาเชียนเชียนก็คือหวังเฟยผู้เป็ที่รักของชิงผิงอ๋องในสายตาของทุกคน ซ่งอีอีจะเอาอะไรมาเทียบเสมอนาง
ละครรักในอดีตล้วนไม่แสดงไปโดยไร้ประโยชน์ ในยามนี้เหยาเชียนเชียนอารมณ์ดี นางค่อยๆ ดื่มชาจนหมดจอกก่อนจะมองใบหน้าของอีกฝ่าย
“เหตุใดหวังเฟยเช่นข้าผู้นี้จะต้องกังวลในตัวคุณหนูซ่งเล่า ตำแหน่งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเ้า หัวใจของท่านอ๋องไม่ได้อยู่ที่คุณหนูซ่ง ถึงเ้าจะงดงามและมีความสามารถแล้วอย่างไรเล่า” เหยาเชียนเชียนหัวเราะเบาๆ “ถึงอย่างไรเ้าก็ไม่ใช่อยู่ดี”
เมื่อเหยาเชียนเชียนยืนขึ้นจึงเห็นได้ว่านางสูงกว่าซ่งอีอีเล็กน้อย หลังจากกลั้นรอยยิ้มในดวงตาแล้ว ร่างกายของนางก็เต็มไปด้วยพลังมวลหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ มันเป็ความมั่นใจที่พวยพุ่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ท่านอ๋องจะมีข้าในฐานะหวังเฟยเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เขาสัญญาไว้กับข้า เว้นแต่ว่าข้าจะไม่เห็นด้วยกับคำสัญญานั้น ถึงแม้ว่าข้าจะยอมสละตำแหน่งหวังเฟย แต่ท่านอ๋องก็คงไม่เห็นด้วย ตำแหน่งชายาชิงผิงอ๋องนี้ แม้ว่าข้าจะตายไปแล้ว แต่ก็จะมีเพียงข้าผู้เดียวเท่านั้น ผู้อื่นอย่าได้คิดเื่นี้เลย”
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยประกายไฟ นางพูดด้วยท่าทางสงบและผ่อนคลาย ไม่มีผู้ใดตั้งคำถามถึงความถูกต้องของคำพูดนางเพราะเป่ยเหลียนโม่ได้มอบความภาคภูมิใจในดวงตาให้นาง เหยาเชียนเชียนมั่นใจว่าเป่ยเหลียนโม่จะไม่มีวันแต่งงานกับผู้อื่นและแต่งตั้งคนผู้นั้นเป็หวังเฟย
นางจะเป็หวังเฟยเพียงคนเดียวในชีวิตของเขา!
“เอาเถิด ข้าประเมินเ้าต่ำไป” ซ่งอีอีดูมืดมน นางก้าวไปข้างหน้าและจับมือเหยาเชียนเชียนไว้ ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินออกไปข้างนอก
“นางคนชั่วผู้นี้มอมเมาท่านอ๋อง อีกทั้งยังกล้าบ้าบิ่นถึงที่สุด ข้าจะทนเ้าได้อย่างไร!”
เหยาเชียนเชียนถูกซ่งอีอีจับโดยไม่ทันตั้งตัว นางไม่เคยคิดเลยว่ากลางวันแสกๆ ท่ามกลางสายตาของคนหมู่มาก ซ่งอีอีจะกล้าลงมือกับนาง แม้แต่เหตุการณ์ครั้งที่แล้วเป่ยเซวียนเฉิงก็ยังไม่กล้า!
ก่อนที่เหยาเชียนเชียนจะเอ่ยอะไร ซ่งอีอีก็ผลักนางตกบันได สถานการณ์อันตรายเช่นนี้ทำให้นางมีเวลาคิดเพียงแค่ปกป้องศีรษะของนางไว้เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอาการปวดอย่างรุนแรงที่ด้านหลังศีรษะ การมองเห็นพลันมืดลง จากนั้นนางก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย
“ขอข้าดูหน่อยเถิดว่าหลังจากที่เ้าตายไปแล้ว ท่านอ๋องจะแต่งงานกับผู้อื่นหรือไม่!”
เชิงอรรถ
[1] ศิลปะสี่แขนง หมายถึง ศิลปะที่เหล่าปัญญาชนจีนในสมัยโบราณต้องเรียนรู้และชำนาญ อันประกอบด้วย ดนตรี หมากล้อม การเขียนอักษร และการวาดภาพ
