เล่มที่ 3 บทที่ 61
คนดื้อรั้นไม่ยอมก้มศีรษะแม้ตัวต้องตายก็ตาม แต่คนประหลาดเช่นจ้าวจื่อซินกลับโน้มตัวไปข้างหน้า เป็สาเหตุให้ลมหายใจเย็นๆ แผ่กระจายกระทบใบหน้า นางจึงรู้สึกราวกับว่ามันสามารถแช่แข็งเส้นขนบนิัได้อย่างไรอย่างนั้น
ชั่วขณะหนึ่งที่มู่หรงฉิงคิดว่าจ้าวจื่อซินกำลังจะฆ่านาง ทว่าพริบตาต่อมาสีหน้าเ็าของจ้าวจื่อซินกลับประดับไปด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้นทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกว่าโลกตรงหน้ากลับหัวกลับหาง คล้ายได้ยินคำพูดของนก ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ ราวกับเห็นการละลายของน้ำแข็งและหิมะและได้ยินเสียงกระแสน้ำไหล
ด้วยรอยยิ้มนั้นคล้ายอยู่ในฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้แย้มบาน มันคล้ายกับท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยสีสันหลากหลาย ส่งผลให้นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย
นางไม่นึกเลยว่าเวลาที่จ้าวจื่อซินยกยิ้ม มันจะน่าตื่นเต้นมาก มันงดงามน่าอภิรมย์ประหนึ่งมีกลีบดอกท้อล่องลอยไปทั่วท้องฟ้าในเดือนสาม และคล้ายกับยามที่แสงอาทิตย์ส่องประกายในเดือนหก
“มู่หรงฉิง ถ้าเ้ามีเหตุผลที่จะโน้มน้าวใจข้า การเดิมพันของเราจะยังคงดำเนินต่อไป”
มู่หรงฉิงยังไม่ฟื้นตัวจากรอยยิ้มอันน่าตื่นเต้นของจ้าวจื่อซิน นางได้ยินเสียงซึ่งแตกต่างจากเสียงเย็นะเืดุจน้ำแข็งดั่งปกติของจ้าวจื่อซินในระยะใกล้มาก
เสียงนั้นปราศจากความเ็าและหยิ่งผยอง มันเหมือนกระแสน้ำไหลรินที่มีอานุภาพอันน่าหลงใหล
ปิศาจร้าย
นั่นเป็ข้อสรุปเดียวที่มู่หรงฉิงได้รับหลังจากได้สติกลับมาอีกหน
ผู้ชายคนนี้เมื่อเ็าก็สามารถแช่แข็งคนได้ แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะมีด้านที่สดใสร่าเริงอยู่ด้วย
มันเป็การผสมผสานหลากหลายรูปแบบส่งผลให้คนเกิดภาพลวงตา ทั้งยังทำให้รู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่จ้าวจื่อซินอีกต่อไปแต่ถูกิญญาจิ้งจอกเ้าเล่ห์เข้าสิงในร่างของเขา
จ้าวจื่อซินเปลี่ยนไปแต่มู่หรงฉิงกลับมาเป็ปกติหลังจากรู้สึกอัศจรรย์ใจเล็กน้อยซึ่งทำให้จ้าวจื่อซินไม่มีความสุขอีกครั้ง
ท่านแม่... ท่านแม่บอกว่า ตราบใดที่ข้าจงใจสร้างความสับสนให้ผู้คน ข้าจะสามารถทำให้ผู้คนหลงใหลได้ถึงกับหาทิศเหนือไม่เจอ แต่ทำไมภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ผู้หญิงตัวเล็กคนนี้กลับเพิกเฉยต่อข้าอีกหนแล้ว
จ้าวจื่อซินกลับมาอารมณ์เสีย ลมหายใจที่คล้ายไม่ใช่ของเขาก็หายไปในทันที ชั่วครู่ก่อนมันคือดวงอาทิตย์อันอบอุ่นในเดือนสาม และครู่ต่อมามันกลับกลายเป็น้ำแข็งและหิมะ
ฮือ... นี่ต่างหากที่เป็จ้าวจื่อซินที่แท้จริง เมื่อหลายอึดใจก่อนเขาจะต้องถูกิญญาจิ้งจอกเ้าเล่ห์เข้าสิงเป็แน่
พูดพึมพำในใจ มู่หรงฉิงถึงได้รู้สึกตัวกลับมาจริงๆ "จ้าวจื่อซิน พวกเรามาเล่นอะไรที่มันใหญ่มากกว่านั้น ข้าเชื่อว่าเ้าจะสนใจ"
“โอ้? ไหนลองพูดให้ฟังซิ?” ชายหนุ่มบอกอย่างเฉยเมย ท่าทางของเขาไม่มีความสุขทว่าไร้ความขุ่นเคืองเช่นเดียวกัน และความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านออกจากกระดูกได้ถูกส่งผ่านฝ่ามือเย็นะเืไปสู่ลำคอของนางเป็สาเหตุให้นางสั่นสะท้านและตื่นตัว
ผู้ชายคนนี้ตายแล้วหรือไม่? ร่างกายของเขาเย็นเยียบถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ในวันที่อากาศร้อนแทบจะสามารถใช้เขาแทนก้อนน้ำแข็งได้เลย
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ถึงสถานะของเ้า แต่ก็ไม่ยากเลยที่จะเดาว่า เ้าไม่ใช่คนประเภทที่รับใช้ผู้อื่น เฉินเทียนหยูกลายเป็เขาเช่นทุกวันนี้ แต่เ้ายังคงสามารถอยู่เคียงข้างเขาได้ พิสูจน์ให้เห็นว่าเ้าเป็คนที่รักษาสัญญา"
"อย่าเพิ่งยกยอก่อน ไม่ใช่ว่าพูดคำดีๆ สักสองสามคำ แล้วข้าจะยอม"
จ้าวจื่อซินไม่ได้ยอมรับการพูดประจบประแจงของมู่หรงฉิงแต่อย่างใด เดิมฝ่ามือของเขาสามารถปล่อยไปได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็เพราะเขา้าคุกคามนางต่อไป? หรือยังอาลัยอาวรณ์ที่จะแยกออกจากความรู้สึกที่ทำให้คนรู้สึกสบายอย่างรวดเร็วเช่นนั้น?
"เฉินเทียนหยูประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เขาเป็คนโง่งม และเ้าอยู่กับคนเช่นนั้นเป็เวลาสามปี และอาจจะต้องอยู่เคียงข้างเขาอีกสองปี เ้าไม่รู้สึกหดหู่ใจหรือ แม้แต่ข้ายังรู้สึกหดหู่ใจแทนเ้า" คำพูดประจบกึ่งเอาใจ นางมักจะใช้กับฮูหยินผู้เฒ่าเสมอตอนที่อยู่ในจวนท่านพ่อของนาง แต่นางไม่คิดเลยว่าครั้งแรกที่นางใช้มันกับจ้าวจื่อซินกลับไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น
จ้าวจื่อซินพยักหน้าเพื่อบอกเป็นัยว่าเห็นด้วยกับคำพูดของนาง พูดตรงตามความเป็จริง การอยู่เคียงข้างเฉินเทียนหยูใน่เวลาหลายปีที่ผ่านมานั้นช่างน่าหงุดหงิดและทรมานจริงๆ เขาไม่สามารถเอาชนะเฉินเทียนหยูยามที่อีกฝ่ายคลุ้มคลั่งได้ ในทางกลับกันเขาสามารถเอาชนะเฉินเทียนหยูที่โง่เขลาได้ง่ายดายมากเกินไป เป็่เวลาที่ทำให้คนแทบจะบ้าตายจริงๆ
เมื่อเห็นการตอบสนองซึ่งหาได้ยากยิ่งของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงจึงพยายามต่อไปด้วยการวางกับดักขนาดใหญ่ "ดังนั้นพวกเรามาเล่นสนุกๆ ที่ยิ่งใหญ่กันเถอะ รักษาเฉินเทียนหยูให้หายดี ในเวลาเดียวกันพวกเรามาดูกันว่าคนเ่าั้้าจะเล่นอะไร? พวกเรามาเล่นแก้ปมกัน พวกเขาผูกปม พวกเราแก้ปมออก หลังจากแก้ปมแล้ว พวกเราก็ผูกให้พวกเขาอีกหน”
“มู่หรงฉิง เ้าคิดว่าข้า, จ้าวจื่อซินเป็คนโง่จริงๆ หรือ? ถูกเ้าหลอกใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง และยัง้าที่จะถูกหลอกใช้ต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุดหรือ?”
ทันทีที่มู่หรงฉิงพูดจบ จ้าวจื่อซินก็โต้กลับโดยไม่ไว้หน้ากันแม้แต่เศษเสี้ยว "เ้าให้ข้าไปแก้ปม ปมแรกที่จะต้องแก้ก็คือปมของมู่หรงซิวใช่หรือไม่? มู่หรงซิวดูเหมือนว่าจะเป็พี่ชายใหญ่ของเ้าใช่หรือไม่? พวกเขา้าฆ่าพี่ชายใหญ่ของเ้า เ้าให้ข้าแก้ปมออกจากกัน นั่นก็คือการช่วยชีวิตพี่ชายใหญ่ของเ้า มู่หรงฉิง, เ้าเสพติดการวางแผนแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่? เ้าคิดว่าข้าเก่งแค่รำดาบแต่ไม่มีสมองใช่หรือไม่?”
เอ่อ... ก็ได้ ปรากฏว่าเ้ามีสมอง
อดไม่ได้ที่จะพูดนินทาคนตรงหน้าในใจเวลาที่จ้าวจื่อซินคนนี้ทะเลาะกับใคร เขาไม่ไว้หน้าคนอื่นเลยจริงๆ ภายใต้สถานการณ์ปกติ มันควรจะพูดอ้อมค้อมให้เป็ปริศนาที่โง่เง่าไม่ใช่หรือ? ถ้าไม่ฝึกไทเก๊กก็อย่าพูดตรงๆ ได้หรือไม่?
เ้าชอบปิดปากคนโดยตรง ท่านแม่ของเ้ารู้หรือไม่?
ในใจก่นด่าจ้าวจื่อซินไปหลายตลบ เื่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือนางรู้สึกทรมานจริงๆ เ้าสารเลวสมควรตาย เขาจะเบามือกว่านี้ไม่ได้แล้วใช่หรือไม่? นางรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกบีบคอตายจริงๆ
มู่หรงฉิงหายใจเข้าออกอย่างหนักเพื่อบอกให้รู้ว่านางรู้สึกไม่สบายอย่างมาก คงหาได้ยากที่จ้าวจื่อซินจะแสดงความเมตตา ทว่าแรงมือที่บีบลำคอของนางก็คลายลง มู่หรงฉิงถูกบีบคอจนรู้สึกเ็ปทรมาน จึงไม่ได้สังเกตว่า มือที่เกาะลำคอของนางเปลี่ยนจากการบีบเป็การทำอย่างอื่นแทนแล้ว
“ให้โอกาสเ้าอีกครั้ง ถ้าไม่สามารถพูดเงื่อนไขที่ทำให้ข้าพอใจได้ ข้าจะให้เ้าดูมู่หรงซิวถูกฆ่า”
ถ้อยคำคุกคามถูกเอ่ยออกมาอย่างเบาสบายคล้ายกับว่าสิ่งที่กำลังจะตายไม่ใช่คนแต่เป็หญ้าและต้นไม้ก็มิปาน
ฝั่งมู่หรงฉิงถึงกับตกตะลึงทันทีที่ได้ยิน นางไม่สามารถคาดเดาจ้าวจื่อซินคนนี้ได้จริงๆ สมมติว่าจะบอกว่าเขาไม่มีสมอง บางครั้งเขาก็มีไหวพริบมาก แต่สมมติจะบอกว่าเขามีสมอง เขาก็หยิ่งทระนงและโง่เขลาเป็อย่างมาก
ไม่เช่นนั้น การที่แม่รองเฉินมีข้อพิรุธมากมาย ทำไมเขาไม่เคยคิดที่จะไปสืบเสาะเลยล่ะ?
“โธ่! หลังจากสอนเฉินเทียนหยูให้นับเลข ข้าพบว่า ที่จริงแล้ว การนับเลขก็นับว่าเป็เื่ที่สนุกมากเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นข้าจะนับหนึ่งถึงสิบ ถ้าเ้าไม่สามารถเอ่ยออกมาได้หนึ่งหรือสองคำ หลังจากที่ข้านับครบสิบแล้ว คงไม่สามารถโทษข้าได้ถ้าบอกว่าเ้าไม่น่าเชื่อถือ" เพราะมือนั้นจับดาบยาวและปลายนิ้วบางๆ หยาบกร้าน ดูเหมือนจะบดคอของนางโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ และการกระทำนั้นเชื่อมโยงกับคำพูดของเขา กลายเป็การเพิ่มภัยคุกคามมากขึ้นไปอีก
นาง้าเขา นาง้าพลังเื้ัของเขา ้าความช่วยเหลือจากเขา วันนี้นางเป็เหมือนคนจมน้ำที่ลอยอยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ และจ้าวจื่อซินเปรียบเสมือนขอนไม้ลอยในน้ำ นางทำได้เพียงปีนป่ายขอนไม้ท่อนนั้นนางถึงจะมีโอกาสเอาตัวรอด และสามารถหาทางช่วยเหลือพี่ใหญ่ให้หนีรอดจากหายนะ
“หนึ่ง สอง…” ขณะมองมู่หรงฉิงที่พยายามทำเป็สงบนิ่ง มือทั้งสองข้างได้กระชับแน่นขึ้นเนื่องจากตึงเครียดมากเกินไป ทว่าอารมณ์ของจ้าวจื่อซินดีขึ้นมากจนไม่สามารถดีขึ้นไปกว่านั้นได้แล้ว หากใช้คำพูดของมู่หรงฉิง เขาเป็จำพวกแปลกประหลาดมากที่สุด
เมื่อเห็นว่าจ้าวจื่อซินนับถึงแปด จิตใจของมู่หรงฉิงกลับยังคงว่างเปล่า นางไม่สามารถคิดหาเหตุผลดีๆ ได้เลย นางทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้นและทำเหมือนปล่อยวาง "ในการละเล่นในคราวนี้ เ้าจะได้กำไรที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน มันจะต้องสนุกมากอย่างแน่นอน"
เฮอะ... หลังจากพูดจบ มู่หรงฉิงคงได้รับาเ็ภายในก่อนเป็อันดับแรก
โธ่! นางกระวนกระวายจนพูดไม่เลือกคำเลยจริงๆ มันช่างตลกจริงแท้
นางรู้สึกเศร้าใจ ทำไมนางต้องเจอคนเลวทรามเช่นเขาด้วย? แต่เดิมก็พูดอย่างกระจ่างแล้วว่าเป็การเดิมพัน ทว่ากลับลงเอยด้วยการไม่รักษาสัญญา
ถ้าอีกฝ่ายอยากเป็คนพาล นางคงทำอะไรไม่ได้ และคงไม่ต้องถึงกับจะต้องมัดเขาด้วยเชือก ก่อนให้เขาไปช่วยพี่ชายใหญ่ใช่หรือไม่?
ช่างน่าตลกจริงแท้ ในเวลานี้นางยังเป็ปลาอยู่บนเขียงอยู่เลย นางจะเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็ชัยชนะ ทำให้เขาเชื่อฟังได้อย่างไรหรือ?
มู่หรงฉิงลดสายตาลงด้วยความเศร้า ในใจนั้นเอ่ยถามว่าทำไม์ถึงโเี้นัก? แต่จ้าวจื่อซินกลับมองนางด้วยความขบขัน เขามองนางอย่างเงียบๆ พิจารณาทุกกระเบียดนิ้วราวกับว่าจะวาดภาพใบหน้าของนางอย่างไรอย่างนั้น
เวลาค่อยๆ ผ่านไป มู่หรงฉิงถูกจ้าวจื่อซินจี้จุดเซวีย ดังนั้นจึงได้แต่ยืนอยู่ในห้องด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง ทว่าทางด้านจ้าวจื่อซินซึ่งวางมืออยู่บนลำคอของนาง ดูจากท่าทีของเขา มันเหมือนเขากำลังจะบีบคอของนางให้หัก
ชิงยวี่ผู้ซึ่งอยู่ด้านนอกหน้าต่างทอดสายตามองดูสถานการณ์ภายในห้องจากระยะไกล ก่อนจะหันมองปี้เอ๋อร์ผู้ที่ถูกจี้จุดเซวียซึ่งอยู่ด้านข้างและมีสีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ในจังหวะที่ชิงยวี่กำลังคิดว่า จ้าวจื่อซินกำลังพิชิตใจ ทันใดนั้นเขาก็เห็นจ้าวจื่อซินโน้มตัวเข้าใกล้อีกฝ่าย ทำให้ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองชิดใกล้กัน จากมุมมองตรงจุดนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะแนบชิดกันมาก
มู่หรงฉิงรู้สึกเพียงว่า ลมหายใจของจ้าวจื่อซินอยู่ด้านข้างใบหูของนาง แต่คำพูดของเขาทำให้นางลอบโล่งใจ "มู่หรงฉิง ข้าควรทำอย่างไรดี? ข้าคิดว่าเ้าสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว รอบนี้เ้าชนะเนื่องจากเ้า้าเล่นต่อไป ข้าก็จะเล่นกับเ้าแต่เ้าต้องจำไว้ว่า ถ้าข้าไม่บอกว่าหยุด เ้าก็อย่าหยุดเด็ดขาด!"
หลังจากจบถ้อยคำนั้น มู่หรงฉิงคิดว่าเขาน่าจะเอ่ยคุกคามด้วยคำอื่นๆ นางไม่ทันได้นึกว่าจะไม่ได้ยินคำพูดอื่นแต่กลับต้องรู้สึกเ็ปที่ใบหูส่วนล่าง
นางถึงใกับการกระทำของจ้าวจื่อซิน อย่างไรก็ดีหลังจากจ้าวจื่อซินกัดใบหูของนาง เขาก็ปล่อย ก่อนจะพูดต่อ "นี่คือการลงโทษ และนี่ก็เป็การตักเตือนด้วย ถ้าวันข้างหน้า เ้ายังกล้าหลอกใช้ข้าอีก ข้าไม่ถือสาที่จะกินเนืุ้์สักครั้ง"
ซี้ด!
มู่หรงฉิงกัดฟันสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปาก นางรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าน่ากลัวมากกว่าเฉินเทียนหยู อย่างน้อยเฉินเทียนหยูทำให้ผู้คนหวาดกลัวเมื่อเขาคลุ้มคลั่ง แต่ผู้ชายคนนี้สามารถทำให้คนหวั่นกลัวได้ตลอดเวลา
การปรึกษาหารือกับเสือด้วยกัน เพื่ออยากได้เนื้อหนังของมัน ปรากฏว่ามันไม่ง่ายเลยจริงๆ อย่างน้อยๆ ที่สุดอาจจะถูกทำร้ายกล้ามเนื้อและกระดูก แต่ถ้าหนักมากๆ จะกลายเป็ศพที่ไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก
มู่หรงฉิงจึงเริ่มคิดทบทวน จ้าวจื่อซินเป็คนเดียวที่สามารถช่วยเหลือนางได้ใช่หรือไม่? นางตั้งเป้าหมายที่เจาะจงเกินไปหรือไม่?
“เ้าช่างน่ารำคาญเสียจริง เ้าต้องไม่มีคนรักอย่างแน่นอน”
นางเปล่งเสียงพึมพำออกมาโดยไม่ทันคิดซึ่งเป็จังหวะเดียวกับที่จ้าวจื่อซินแก้จุดเซวียของนางอย่างประจวบเหมาะ ครั้นได้ยินคำพูดของนาง เขาก็อึ้งงันก่อนจะเปล่งเสียงฮึ "คนที่รักข้าหรือ? หึ! ข้าไม่สนใจผู้หญิง"
เมื่อหมุนตัวหันหลังกลับ เขาจึงเห็นชิงยวี่และปี้เอ๋อร์ยืนอยู่ในลานเรือน จากนั้นเขาก็จำได้ว่าชิงยวี่ได้รับาเ็
จ้าวจื่อซินเหลือบมองออกไปด้านนอกลาน สายตาของมู่หรงฉิงมองตามออกไปด้วยเช่นกัน แต่หลังจากเห็นชิงยวี่ นางกลับกลืนคำพูดที่้าเอ่ยกับจ้าวจื่อซิน และมองไปทางชิงยวี่ด้วยสายตาซับซ้อนทันควัน
เห็นว่าทั้งสองคนพูดคุยกันเสร็จแล้ว ชิงยวี่ถึงได้คลายจุดเซวียของปี้เอ๋อร์ ทำให้ปี้เอ๋อร์วิ่งปรี่เข้าไปในห้องราวกับสายลมกระโชกแรงในทันทีทันใด ฝั่งชิงยวี่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดแต่รู้สึกว่าสายตาของมู่หรงฉิงดูแปลกๆ เล็กน้อย เป็ความหมายลึกซึ้งที่เขาไม่สามารถเข้าใจอย่างกระจ่างได้
ชิงยวี่รู้สึกงงงันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แต่ก่อนที่ชิงยวี่จะเข้าใจความหมายในสายตาของฮูหยินน้อย เขากลับได้ยินถ้อยคำบางอย่างจากเ้านายของตนที่ทำให้เขาแทบไม่อาจยืนอย่างมั่นคง
“ชิงยวี่มาคำนับเ้านายของพวกเรากันเถอะ”
“เ้า... เ้านายของพวกเราหรือ?” ชิงยวี่พูดทวนคำพูดของเ้านายอย่างตะกุกตะกัก ดูเหมือนกำลังยืนยันว่าคำพูดของเ้านายผิดหรือไม่?
จ้าวจื่อซินพยักหน้า “ในภายภาคหน้าทุกสิ่งที่เ้านายของพวกเราสั่งให้ทำ พวกเราก็จะต้องทำอย่างตั้งใจ อย่าทำให้เสียงานล่ะ”
เดินไปที่โต๊ะและนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจอะไร จากนั้นยกเท้าขึ้นวางบนเก้าอี้ด้วยท่าทางอิดโรย “ก่อนอื่นถามเ้านายของพวกเราว่ามีอะไรจะสั่งการหรือไม่?”
หลังจากที่จ้าวจื่อซินกล่าวเช่นนั้น สีหน้าของชิงยวี่ยิ่งดูน่าเกลียดราวกับว่าเขาเพิ่งกินแมลงวันเข้าไป
เ้านาย เ้านายรับรองได้หรือไม่ว่าสมองของตนเองไม่ได้รับาเ็? เขาพึมพำถามตัวเองในใจ ชิงยวี่เลื่อนสายตามองไปทางมู่หรงฉิง โดยหวังว่ามู่หรงฉิงจะสามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลแก่เขาได้