สายลมหนาวพัดผ่านช่องระบายอากาศของตู้รถไฟ เสียงล้อรถไฟกระทบกับรางเหล็กดังกึกก้อง ฉึกฉัก…ฉึกฉัก…. ในเวลานั้นชายหนุ่มหน้าหวานได้ลืมตาขึ้นมาจากการนอนหลับ ภายในดวงตาบ่งบอกความมึนงงก่อนที่ดวงตาสวยจะค่อยๆ มองเห็นภาพเบื้องหน้าชัดขึ้น เขาพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งที่ทำจากไม้แข็งๆ ภายในตู้รถไฟ ตรงหน้าของเขามีภาพผู้คนมากมายทั้งผู้ชายและผู้หญิง กำลังนั่งเบียดเสียดกันอยู่เต็มตู้ บางคนนั่งหลับตาพิงไหล่เพื่อน บางคนกำลังพูดคุยกัน หัวเราะส่งเสียงดัง และทุกคนใส่เสื้อผ้าเหมือนกับชุดทหาร
ความสับสนและความกลัวเข้าครอบงำสติของพระพาย ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ และที่นี่คือที่ไหน ทำไมทุกคนถึงพูดภาษาจีนกัน และทำไมเขาถึงฟังรู้เื่ พระพายจำได้ว่าตัวเองกำลังขับรถออกมาจากบ้านของคนรัก เพื่อกลับบ้านพ่อแม่ ระหว่างนั้น..ก็มีรถขับมาตัดหน้ารถของเขา ก่อนที่เขาจะหักหลบ…! ทำให้รถที่ขับมาด้วยความเร็วชนเข้ากับต้นไม้!?ตอนนี้เขาที่ควรจะถูกพาไปโรงพยาบาลสิ!กลับมานั่งอยู่บนรถไฟได้ยังไง และผู้คนก็แต่งตัวแปลกๆ
พระพายไม่เข้าใจเลยมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมอยู่ๆเขาก็ตื่นมานั่งอยู่บนรถไฟเก่าๆแล้ว ไม่นานความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยและดูคุ้นเคย ก็เริ่มปรากฏขึ้นมาในหัวเป็ภาพเลือนราง ภาพของชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างผอมบาง ผิวขาวและใบหน้าสวยหวานอย่างกับผู้หญิง ไม่นานพระพายก็ได้รู้ว่าตอนนี้เขาไม่ใช่พระพายคนเดิมอีกแล้ว
แต่เขามาอยู่ในร่างของผู้ชายที่ชื่อว่าฝูซินอี๋ ในปี1976 และตอนนี้ฝูซินอี๋คนนี้กำลังเดินทางไปชนบท เพื่อเป็อาสาสมัครหรือเรียกอีกอย่างว่ายุวชนผู้มีการศึกษา ที่ถูกส่งลงไปทำงานเป็แรงงานช่วยเหลือผู้คนในชนบท ฝูซินอี๋เกิดมาในตระกูลที่ดีในปักกิ่ง ครอบครัวเป็ครอบครัวที่อบอุ่นไปด้วยความรัก ฝูซินอี๋เป็ลูกชายคนรองของครอบครัว ในบ้านนอกจากพ่อแม่แล้ว ก็ยังมีพี่ชายและน้องชายอีกอย่างละคน
และการที่ฝูซินอี๋ต้องเดินทางจากเมืองหลวงมาชนบทนั้น เพราะเป็ทางเลือกของฝูซินอี๋เอง ฝูซินอี๋ที่เป็ลูกชายคนรองของครอบครัว และอาสาลงมาที่ชนบทแทนพี่ชายคนโต โดยถูกพ่อแม่พี่ชายและน้องชายคัดค้านไม่เห็นด้วย ฝูซินอี๋เป็ผู้ชายที่ร่างเล็กและมีความเป็ผู้หญิงมากกว่าจะเป็ผู้ชาย ทำให้ครอบครัวให้ความรักและการดูแลที่ดีมาก การจะลงไปทำงานหนักในชนบททำให้ครอบครัวไม่เห็นด้วยและเป็ห่วงมาก
ในความทรงจำที่พระพายกำลังเห็นนั้น เป็ความทรงจำั้แ่เด็กจนถึงปัจจุบัน และความทรงจำในต้อนนี้ เป็ความทรงจำที่ฝูซินอี๋กำลังคุยกับครอบครัว ก่อนที่จะเดินทางไปชนบท
บ้านครอบครัวฝูซินอี๋ ในเมืองปักกิ่ง ในห้องรับแขกที่ตอนนี้มีบรรยากาศตึงเครียด แสงไฟสลัวๆส่องกระทบใบหน้าเคร่งเครียดของสมาชิกในครอบครัว เสียงนาฬิกาแขวนผนังเดินไปอย่างเชื่องช้าราวกับเวลาหยุดนิ่ง ในห้องรับแขกทุกคนในครอบครัวนั่งเรียงรายบนโซฟาไม้ ใบหน้าของทุกคนแสดงออกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
เสียงถอนหายใจเบาๆของแม่ดังขึ้นเป็ระยะๆ ตัดกับความเงียบที่หนังอึ้งในใจของเธอ
ฝูเจิ้นห่าวที่นั่งกอดอกหน้าแสดงออกถึงความกังวล ก่อนจะพูดกับลูกชายว่า"ซินอี๋…ลูกคิดดีแล้วหรือ ที่จะไปชนบทแทนพี่ชายของลูก"
ฝูซินอี๋ในความทรงจำของพระพาย แสดงสีหน้ามั่นใจและตอบว่า"พ่อครับ ทุกคนผม้าจะไปชนบทในฐานะยุวชนแทนพี่ชายจริงๆครับ ทุกคนไม่เห็นต้องเป็กังวลกันเลย ผมก็เป็ผู้ชายคนหนึ่งนะครับ ไม่จำเป็ต้องเป็ห่วงผมมาก"
หม่ายี่หรานน้ำตาคลอเบ้าจับมือลูกชายและพูดกับลูกชายคนรองของเธอ“ลูกเป็ผู้ชายก็จริง แต่ลูกไม่เคยลำบากมาก่อนเลย ลูกจะไปชนบทเพื่อทำงานหนักได้ยังไง!ดูมือที่นุ่มนิ่มและขาวผ่องของลูกสิ พี่ใหญ่ของลูกแข็งแรง ร่างกายก็ใหญ่โตทนทำงานหนักได้อยู่แล้ว ปล่อยให้พี่ชายจองลูกไปลำบากเถอะ”
“คุณแม่พูดถูกแล้ว นายไม่ต้องไปชนบทแทนฉันหรอกนะ ฉันเป็พี่ชายคนโตที่แข็งแรงจะให้น้องชายที่ตัวเล็กกว่าไปทำงานหนักแทนได้ยังไง นายอยู่บ้านเป็เพื่อนพ่อแม่ไปเถอะ”ฝูซินหยวนกล่าวกับน้องชาย
“พี่ใหญ่พูดถูก พี่รองพี่จะไปทำไมชนบทนะ ลำบากจะตายและไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่เมืองหลวงได้อีกหรือเปล่า ผมไม่อยากแยกจากพี่รองเลย พี่อย่าไปนะ…ให้พี่ใหญ่ไปคนเดียวเถอะ”น้องเล็กของที่บ้านฝูซินหรงพยายามเอ่ยห้ามพี่ชายคนรองสุดสวยของเขาอย่างเต็มที่ ผู้ชายทุกคนในตระกูลฝูของพวกเขามีแต่คนตัวสูงๆใหญ่ๆกันทั้งนั้น มีแต่พี่ชายคนนี้ของเขาที่ตัวเล็กและดูน่าทะนุถนอม ด้วยคนอื่นพากันสูง180ขึ้น มีแค่ฝูซินอี๋คนเดียวที่สูง175 ซม.อยู่คนเดียว
“ซินหรง ถึงนายจะสูงกว่าพี่แต่พี่ก็ยังเป็พี่ของนายนะ”ฝูซินอี๋พูดกับน้องชายและเอ่ยกับพี่ชายคนว่า"พี่ใหญ่ ให้ฉันไปแทนเถอะ ฉัน…ฉันอยากไปจากปักกิ่ง"
คำพูดของฝูซินอี๋ ทำให้ทั้งครอบครัวใ พ่อแม่ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไรที่ลูกชายคนรองของพวกเขา ้าไปจากปักกิ่งที่เป็บ้านเกิดเพราะอะไร ส่วนพี่ชายและน้องชายกับหันมามองหน้ากัน ก่อนจะที่ฝูซินหยวนจะบอกพ่อแม่ว่า"พ่อแม่ ผมขอคุยกับน้องรองตามลำพังได้ไหมครับ"
สองสามีภรรยา พยักหน้าให้ลูกชาย ฝูซินหยวนพาน้องชายคนรองไปที่ห้องนอน เพื่อพูดคุยกันในเื่ที่พ่อแม่ไม่สามารถรู้ได้
ฝูซินหรงเห็นพี่ชายพาพี่ชายคนรองออกไปกันสองคน ก็รีบเรียกและขอไปคุยกัน
“น้องเล็ก นายอยู่ด้านนอกนั่งคุยเป็เพื่อนพ่อแม่อยู่นี้แหละ เดี๋ยวพวกพี่ก็ออกมาแล้ว”ฝูซินหยวนบอกน้องชาย และใช่มือดันหลังน้องชายคนรองให้เดินกลับไปที่ห้องนอน
ฝูซินหรงมองตามพี่ชายทั้งสองออกไป ก่อนจะรำพันพูดกับตัวเองเบาๆ ว่า"ทำอย่างกับผมไม่รู้ ว่าพวกพี่จะคุยเื่อะไรกัน"