จุดประสงค์ของงานเลี้ยงวันเกิดในวันนี้คือต้อนรับหลิงเมิ่งกลับสู่ตระกูลหลิง ด้วยความรักอย่างหาที่สุดมิได้ที่อู๋อู๋มีต่อบุตรสาวทำให้เธอพยายามอย่างดีที่สุดเพื่องานนี้ งานถูกจัดขึ้นในห้องจัดเลี้ยงชิงหลง เื่เชิญแขกที่มาร่วมงานเธอก็ใช้ความคิดมากเช่นกัน
ตระกูลหลิงเป็ครอบครัวที่มีหน้ามีตาในเมืองผิง แขกที่มาร่วมงานล้วนแต่มีฐานะไม่ธรรมดา
กฎระเบียบในประเทศจีน แขกที่มาถึงทีหลังยิ่งเป็แขกที่มีเกียรติ หลิงเมิ่งมาถึงแต่เช้าตรู่ เตรียมตัวเรียนรู้เื่มารยาท ยืนจนเอวเคล็ดและปวดหลัง ยิ้มจนหน้าจะเป็ตะคริว ยุ่งวุ่นวายตลอด่เช้า แต่กลับถูกซูอินที่มาทีหลังแย่งจุดสนใจจากแขกที่มาร่วมงาน
ราวกับว่าตอนนี้เธอกลายเป็แมลงวันไร้ตัวตนไปแล้ว
เมื่อกลับเข้าห้องพัก หลิงเมิ่งกระทืบเท้าอย่างอดไม่ได้ ยังดีที่มีอู๋อู๋อยู่ข้างกาย เมื่อเอ่ยเตือนแล้วเธอจึงนึกถึงเื่อื่นขึ้นมาได้
เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีแบบสมเหตุสมผล ได้พบปะผู้รอบรู้มากขึ้น และเพิ่มอิทธิพลทางสังคมเพื่อช่วยเื่คุณสมบัติในการยื่นขอเป็โรงแรมห้าดาว หลิงจื้อเฉิงจึงตัดสินใจทำงานการกุศล
เขาไม่สามารถเอาทุกอย่างไปเดิมพันที่ซูอินคนเดียว
งานเลี้ยงวันเกิดของหลิงเมิ่งวันนี้ เขาเชิญแขกผู้มีเกียรติในแวดวงต่างๆ มาซึ่งเป็โอกาสดีในการเสนอเื่ทำการกุศล
แน่นอนว่าเขาไม่อธิบายอย่างละเอียดเื่ผลประโยชน์ครั้งนี้ เพื่อให้หลิงเมิ่งมีความสุข อู๋อู๋จึงบิดเบือนเื่ราวพร้อมบอกว่าเพื่อเป็การต้อนรับหลิงเมิ่งกลับมา ผู้เป็บิดาจึงตัดสินใจบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจนในชนบท โดยเื่นี้อู๋อู๋จะเป็คนเสนอขึ้นในงานต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย
สองสามีภรรยายกบุตรสาวขึ้นมาเป็แรงบันดาลใจ ทำให้หลิงเมิ่งััได้ถึงความเอาใจใส่ของบิดามารดา
ใช่ เพราะเธอต่างหากที่เป็บุตรสาวตัวจริง ซูอินเป็เพียงเด็กบ้านนอกที่ถูกอุ้มผิดตัวมา อย่างไรก็ตามในตอนนี้แค่จำเป็ต้องใช้ประโยชน์จากซูอิน
เมื่อนึกถึงจุดนี้หลิงเมิ่งก็ใจเย็นลง แต่งตัวสวยแล้วมีประโยชน์ตรงไหน หลังจากนี้จะเอาอะไรมาเทียบกับเธอ
งานใกล้จะเริ่ม พวกเขาเดินออกจากห้องพัก เมื่อมาถึงประตู หลิงเมิ่งรีบสาวเท้าก้าวนำหน้าเบียดซูอินออกไป ระหว่างที่เดินแทรกก็เงยหน้าเชิดคาง ปรายตามองซูอินพร้อมเบ้ปาก การแสดงออกที่ชัดเจนนั้นราวกับมีคำว่า “แล้วคอยดู” สามคำนี้แปะอยู่บนหน้าเธอ
แน่นอนว่าซูอินต้องเห็น
เธอเข้าใจว่าเหตุใดหลิงเมิ่งจึงเปลี่ยนจากไก่อ่อนที่พ่ายแพ้มาเป็ผู้มีจิติญญาแห่งการต่อสู้ภายในเวลาอันสั้น
เื่มันเกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้วในชาติก่อน จึงมีหลายเื่ที่เธอจำไม่ค่อยได้ แต่เื่สำคัญบางอย่างกลับไม่สามารถลืมเลือน งานเลี้ยงวันเกิดเมื่อชาติก่อนที่เหมือนกับครั้งนี้ มีการประกาศการกลับมาของหลิงเมิ่ง อีกทั้งเ้าตัวยังได้ขึ้นไปเล่าชีวิตที่แสนรันทดในชนบทตลอดสิบหกปี จากนั้นเรียนเชิญผู้มีจิตเมตตาร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กยากไร้ในชนบท
เงินบริจาคก้อนนี้ได้ก่อตั้ง “กองทุนเงินช่วยเหลือหลิงกวง” ในเวลาต่อมายุคที่สื่อโซเชียลกำลังพัฒนา หลิงเมิ่งได้แสดงตัวตนจนได้รับความนิยมอันดับหนึ่งบนเวยป๋อในนาม “สปอนเซอร์ช่วยเหลือทุนการศึกษาหลิงกวง”
ในวันนั้นสองสามีภรรยาตระกูลซูอุตส่าห์จ้างรถตู้มารับเธอั้แ่เช้า ช่างใจดีเหลือเกิน อันที่จริงซูอินก็ไม่อยากทำให้พวกเขาผิดหวัง แต่เมื่อหลิงจื้อเฉิงพูดถึงงานฉลองวันเกิด เธอจึงนึกขึ้นได้และเกิดความลังเล
อยากเป็โต้โผในการบริจาค “นำเงินที่หักเปอร์เซ็นต์” ไปซื้อรองเท้า กระเป๋า ได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ควบคู่กัน
ไม่มีทาง!
ไม่ต้องพูดถึงความเคียดแค้นที่มีต่อหลิงเมิ่ง ต่อให้ไม่มีความแค้น เธอก็จะไม่ยอมให้เื่แบบนี้เกิดขึ้นเป็อันขาด
เธอยกชายกระโปรงก่อนจะเดินตามหลังสามคนพ่อแม่ลูกตระกูลหลิงขึ้นบันไดไป
งานเลี้ยงวันเกิดในครั้งนี้มีโต๊ะหกสิบสี่ตัวเต็มห้องจัดเลี้ยงชิงหลง บนเวทีซูอินกับหลิงเมิ่งแยกกันยืนอยู่ข้างกายหลิงจื้อเฉิงและอู๋อู๋สองมีภรรยาตระกูลหลิง
พิธีกรที่กำลังบรรยายคือเพื่อนของหลิงจื้อเฉิง และยังเป็พิธีกรที่น่าเชื่อถือของสถานีโทรทัศน์ประจำเมือง พูดแค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวา จากนั้นเขาจึงส่งไมโครโฟนให้หลิงจื้อเฉิง
หลิงจื้อเฉิงเดินขึ้นไปและยืนตัวตรง เขาลูบกระดุมบนชุดสูท แล้วเริ่มพูดโดยไม่มีสคริปต์
“ท่านผู้บริหารทั้งหลาย เพื่อน และญาติๆ ขอขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลามาร่วมงานฉลองวันเกิดของเด็กสาวตัวน้อยอายุสิบหกปี มิใช่หกสิบ และไม่ใช่เด็กสาวอายุสิบแปดที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ปีนี้คือ่เวลาที่น่าจดจำ เหตุใดวันนี้ผมจึงเชิญแขกมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของบุตรสาวมากขนาดนี้น่ะหรือ ทุกท่านคงได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า ก่อนหน้านี้ตระกูลหลิงของผม…”
คำพูดประโยคนี้ซูอินจำได้ว่ามันเหมือนกับในชาติก่อนไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่น้ำเสียงก็ไม่เปลี่ยนไปสักนิด เมื่อได้ยินอีกครั้ง ไม่ว่าตอนนี้ในใจของเธอจะรู้สึกอย่างไร แต่เธอกลับยืนเรียบร้อยอยู่บนเวที ตามองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น ั้แ่อารมณ์ความรู้สึก ไปจนถึงกิริยาที่ยังคงสง่างาม และท่าทีที่เหมาะสม
ละสายตาไม่มองสิ่งที่เหมือนความจริงในวันนั้นที่กำลังเกิดขึ้นข้างกาย เธอกำลังครุ่นคิดถึงปัญหา จะทำอย่างไรให้ได้พูดก่อนหลิงเมิ่ง
เธอจำได้ชัดเจน ในชาติก่อนหลังจากที่หลิงเมิ่งเอ่ยจบ ทุกอย่างก็เข้าทางหลิงเมิ่งอย่างถูกจังหวะและเป็ขั้นตอน
เธอจะขัดขวางอย่างไรไม่ให้เสียมารยาท และไม่ดูเป็การสอดแทรกอย่างกะทันหันจนเกินไป
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดถึงปัญหานี้ จู่ๆ หลิงจื้อเฉิงก็เปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน “เมิ่งเมิ่งต้องพลัดถิ่นไปอยู่ที่อื่นมาหลายปี ผมและอู๋อู๋รู้สึกเสียใจมาก แต่หลายปีมานี้พวกเราก็เลี้ยงดูอินอินมาตลอด หัวใจคนเรามันก็เป็ก้อนเนื้อ จะไม่มีความรู้สึกได้อย่างไร ดังนั้นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดในครั้งนี้ ตัวเอกในงานก็คือบุตรสาวของผม บุตรสาวทั้งสอง!”
สี่คำข้างหลัง หลิงจื้อเฉิงเอ่ยเสียงดัง
นี่…
ซูอินถูกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ชะงักเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงการกระทำที่เพียรพยายามของหลิงจื้อเฉิงเมื่อไม่นานมานี้ เธอจึงรีบตอบสนองอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกเธอยังหัวเสียอยู่ว่าจะหาโอกาสอย่างไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอมาเช่นนี้
ไม่ต้องใช้ความพยายามให้เหนื่อย
เมื่อสังเกตเห็นท่าทีของคนข้างกายที่เปลี่ยนไป การแสดงออกของซูอินจึงเป็ธรรมชาติมากขึ้น เมื่อหลิงจื้อเฉิงกล่าวจบและให้สัญญาณ เธอก้าวขึ้นไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล
เธอยกชายกระโปรงขึ้นและก้าวไปยังโพเดียม ขณะที่เดินผ่านหลิงเมิ่ง เธอชะงักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพ
ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ในใจของหลิงเมิ่งััได้ถึงวิกฤตที่กำลังก่อตัว
ไมโครโฟนถูกปรับให้อยู่ในความสูงที่เหมาะสม ซูอินยืนอยู่ข้างหลังโพเดียม โค้งตัวเล็กน้อยให้คนที่อยู่หน้าเวทีพร้อมกับยิ้ม หลังจากก้มศีรษะแสดงท่าทีขอบคุณแล้วจึงกล่าวเข้าประเด็นหลักทันที
“กล่าวตามตรง ตอนที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตั้งรับไหว เพราะั้แ่เล็กจนโตก็อาศัยอยู่ในครอบครัวตระกูลหลิงมาตลอด จะมีเด็กคนไหนคะที่สงสัยว่าตนเองใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อแม่หรือเปล่า ใน่เวลานั้นฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเดินละเมอ ไม่รู้ว่าจะข้ามผ่านมันไปได้ยังไง”
เอ่ยด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยม ซูอินจงใจหยุดเล็กน้อย มองแขกเบื้องล่างที่ถอนหายใจ และเมื่อรู้สึกว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วจึงพูดต่อ
“แต่ว่าเมฆดำจะเลือนหายไปเสมอ สุดท้ายฉันก็ตื่น ตั้งใจทบทวนและเตรียมสอบเข้ามัธยมปลาย ในขณะเดียวกันสิ่งที่น่าแปลกคือ ฉันอดไม่ได้ที่อยากรู้จักบุตรสาวแท้ๆ ของตระกูลหลิง ทุกคนที่นี่ก็คงรู้ว่าหลิงเมิ่งถูกอุ้มไปผิดตัวและเติบโตขึ้นในชนบท แน่นอนว่าั้แ่เด็กจนเข้าเรียน ฉันเองก็เติบโตมากับคุณปู่คุณย่าในชนบท จึงเข้าใจสภาพแวดล้อมที่นั่นเป็อย่างดี
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เธอมองไปทางหลิงเมิ่ง
“สมัยนี้ภาพยนตร์และโทรทัศน์ชอบถ่ายทำให้ชนบทดูสวยงาม กระท่อมหลังเล็กๆ ปลูกเรียงรายอย่างมีสไตล์ ทุ่งนากว้างใหญ่ ดอกคาโนลาสีเหลืองอร่าม แต่นั่นล้วนเป็สถานที่ท่องเที่ยว หรือไม่ก็วิวที่ตั้งใจถ่ายภาพออกมา อันที่จริงสภาพในชนบทเป็ยังไง ฉันคิดว่าหลายคนคงรู้ดี บ้านเก่าทรุดโทรม ทำนาใต้แสงแดดแผดเผา ผลเก็บเกี่ยวจะเป็ยังไงก็ขึ้นอยู่กับชาวนา ไม่มีน้ำประปา เด็กหลายคนไม่ได้เข้าเรียน…พูดกันตามจริง หากชนบทดีจริง อยู่แบบสุขสบาย จะมีคนมากมายยอมจากบ้านเกิดเพื่อมาทำงานในเมืองหรือคะ หลิงเมิ่งใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นหลายปีก็คงลำบากไม่น้อย ถึงแม้ว่าการถูกอุ้มผิดตัวจะไม่ใช่ความผิดของฉัน แต่ฉันก็รู้สึกละอายใจ”
เอ่ยถึงตรงนี้ ท่าทีของหลิงเมิ่งก็เปลี่ยนไปทันที
คำพูดประโยคนี้ของซูอิน เนื้อหาเ่าั้ไม่ต่างไปจากสคริปต์ที่เธอเตรียมไว้ รวมกับความรู้สึกเมื่อก่อนหน้านี้ที่เจอวิกฤต เธอมั่นใจว่าอีกฝ่ายคิดจะทำเื่บางอย่างแน่นอน
ม่านตาของเธอเบิกกว้าง เมื่อมองเด็กสาวสวมกระโปรงเป็ชั้นเค้กสีชมพูที่กำลังยืนอยู่บนโพเดียม เธอตรวจจับคำใบ้ในการยั่วยุจากคำพูดของอีกฝ่าย
จับเธอไว้!
