สุดท้ายคนที่ได้สติก่อนคนอื่นคือมู่ชิงเซียว เขานั่งอยู่บนเตียงพลันรู้สึกได้ว่าคนที่นอนอยู่เบื้องหน้าเคลื่อนไหว ต่อมาได้ยินเสียงครางงึมงำเบาๆ เขาก้มหน้าลงไปดู พบว่าใบหน้าของท่านปู่ที่เมื่อสักครู่ยังดำคล้ำ เืออกจากทวารทั้งเจ็ด และไม่มีลมหายใจ มาบัดนี้สีดำคล้ำบนใบหน้ากลับจางหายไป ไม่เพียงเท่านี้ เปลือกตาของท่านปู่ยังขยับหลายครั้ง ริมฝีปากคล้ายกำลังขยับ ราวกับว่าท่านปู่กำลังจะตื่นขึ้น
เขาเอามือปิดปากด้วยความตื้นตันใจ น้ำตาสองสายไหลพรากลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาร่ำไห้ด้วยความยินดี
ท่านปู่ ท่านปู่เขา...
มีชีวิตจริงๆ!
ต่อมา คนที่ยืนอยู่ใกล้เตียงนอนที่สุดคือเซวียนหยวนเช่อ เขาเห็นสีดำคล้ำบนร่างกายของไท่ฟู่จางหายไป เขาตะลึงงัน เมื่อมองไปที่เปลือกตาของไท่ฟู่ที่กำลังกระพริบถี่ๆ เขารู้สึกแสบคอ กระบอกตาเปียกชื้นเล็กน้อย มือที่จับข้อมือของเฟิ่งเฉี่ยนคลายออกโดยไม่รู้ตัว
“ไท่ฟู่...ฟื้นแล้วหรือ!”
เขาถามขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำและสะท้านน้อยๆ ราวกับกำลังฉีดยาสงบใจให้กับทุกคน แต่ละคนเบิกดวงตากว้างเมื่อมองคนบนเตียงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ปากอ้าตาค้างไปตามๆ กัน
“อะไรนะ ฟื้นแล้วหรือ”
“ทั้งๆ ที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว คนที่เืออกจากทวารทั้งเจ็ด ถึงกับตายแล้วมีชีวิตอีกครั้งหรือ”
“นี่มันมหัศจรรย์เกินไปแล้ว!”
“ช่างเหลือเชื่อจริงๆ!”
คนทั้งหมดวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกรส เมื่อดังเข้าหูมู่ชิงหว่าน นางจึงเงยหน้ามองไปด้วยความสงสัย ประจวบเหมาะกับเห็นนิ้วมือขยับครั้งหนึ่ง นางร้องขึ้นมาว่า “ขยับแล้ว นิ้วมือของท่านปู่ขยับแล้ว!”
เพราะนางร้องะโจึงทำให้มู่ฮูหยินที่หมดสติอยู่ตื่นขึ้น นางค่อยๆ ลืมตาและเห็นนิ้วมือของท่านผู้เฒ่าขยับ นางยกมือขึ้นทาบอกอย่างตื้นตันใจและแทบไม่กล้าเชื่อ “ข้าไม่ได้ฝันไปกระมัง ท่านปู่ของพวกเ้าฟื้นแล้วหรือ”
มู่ชิงหว่านพยักหน้าแรงๆ “ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้วจริงๆ เ้าค่ะ!”
มู่ฮูหยินตะเกียกตะกายขึ้นมาจากบนพื้น เดินล้มลุกคลุกคลานมาถึงหน้าเตียง นางจับชีพจรของไท่ฟู่ดูแล้วคุกเข่าทั้งสองข้างลงไป “ท่านพ่อ ท่านตื่นแล้วใช่หรือไม่ ท่านตื่นแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่”
มู่ชิงเซียวจับแขนอีกข้างของมู่ไท่ฟู่แล้วพูดทั้งสะอึกสะอื้น “ท่านปู่ ท่านรีบตื่นขึ้นมาสิ! ข้าคือเซียวเอ๋อร์ ท่านได้ยินเสียงข้าหรือไม่ขอรับ”
ภายใต้การเรียกของคนทั้งสอง มู่ไท่ฟู่พยายามหลายครั้งในที่สุดจึงเปิดเปลือกตาขึ้นมาได้สำเร็จ น้ำเสียงแหบพร่านั้นกล่าวว่า “ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว...”
สองแม่ลูกประสานสายตากันแล้วร่ำไห้ด้วยความยินดี
“ท่านพ่อ--”
“ท่านปู่--”
ได้ยินเสียงคนในเรือนแสดงความยินดี
“ยินดีกับไท่ฟู่ด้วย นับว่าก้าวผ่านพ้นไปสักที”
“เป็เื่น่ายินดียิ่ง!”
“พ้นเคราะห์ใหญ่แล้วไม่ตาย ต่อไปจะต้องมีโชคลาภวาสนา”
“ยินดีกับไท่ฟู่!”
ท่ามกลางเสียงแสดงความยินดีนั้น เซวียนหยวนเช่อผ่อนลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เขาพลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันมองไป แต่พบว่าร่างของเฟิ่งเฉี่ยนหายไปจากตรงนั้นั้แ่เมื่อใดไม่รู้
แววตาของเขาไหววูบเมื่อมีความรู้สึกยุ่งยากซับซ้อนพาดผ่าน
หลังจากออกมาจากห้องนอนของไท่ฟู่ เฟิ่งเฉี่ยนหงุดหงิดใจยิ่ง นางทุ่มเทจิตใจรักษาไท่ฟู่ คิดไม่ถึงว่าจะได้รับเพียงความแคลงใจจากทุกคน ทุ่มเทแรงกายแรงใจแต่กลับไม่ได้อะไรดีขึ้นมา ทว่าหลังจากความหงุดหงิดใจผ่านพ้นไปนางสงบสติอารมณ์แล้วคิดอะไรได้หลายเื่
สำหรับมนุษย์บนโลกนี้แล้ว ท้ายที่สุดตนเองก็เป็แค่คนที่เดินผ่านมา นางมีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องความไว้เนื้อเชื่อใจจากพวกเขากันเล่า
เมื่อคนเราได้ยิ่งมากก็ย่อมเกิดความละโมบในใจได้อย่างง่ายดาย!
อย่างไรช้าเร็วตนเองก็ต้องไปจากที่นี่อยู่แล้ว เช่นนี้ยิ่งดี ไม่มีใครติดค้างใคร นางจะได้ไปจากที่นี่อย่างสบายใจ
นางนอนอยู่บนพื้นสนามหญ้าในลานเรือน ใช้มือขวาหนุนรองด้านหลังศีรษะ ยกขาขึ้นมาไขว้ขาอีกข้างหนึ่ง ในปากคาบต้นหญ้าต้นหนึ่ง ปล่อยให้แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องบนร่างของนาง นางยังคงชื่นชอบความรู้สึกอิสระเช่นการมีแผ่นฟ้าเป็ผ้าห่มมีผืนดินเป็เตียงนอนเช่นนี้
ความง่วงงุนเข้ามาถามหาช้าๆ ขณะที่นางกำลังจะหลับนั้นพลันมีคนเดินเข้ามาบดบังแสงแดด นำมาซึ่งความเย็น ขณะเดียวกันก็มีเงาจากร่างใหญ่สายหนึ่ง
เฟิ่งเฉี่ยนลืมตาขึ้นช้าๆ นางมองเห็นเงาร่างของอีกฝ่ายชัดเจน นางโบกมือ “รบกวนท่านหลีกหน่อย ท่านบดบังแสงแดดของข้า!”
เขามองนางลงมาจากที่สูง น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นกล่าวขึ้นว่า “กลับวังกับเจิ้น”
เฟิ่งเฉี่ยนหลับตาลง เบ้ปาก ไม่แยแส
อาศัยอะไรท่านบอกว่ากลับวังก็ต้องกลับวังหรือ
หรือข้าเฟิ่งเฉี่ยนเป็คนที่ท่านจะเรียกมาเมื่อใดและผลักไสออกไปเมื่อใดก็ได้
“ข้าให้ทางเลือกเ้าสองทาง...”
เขาเจตนาเว้นจังหวะเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของนาง
ดวงตาทั้งคู่ของเฟิ่งเฉี่ยนปิดสนิท ยังคงไม่แยแสเขาเช่นเดิม
“ไม่อย่างนั้น ย้ายกลับตำหนักเว่ยยาง...”
เฟิ่งเฉี่ยนไม่เคลื่อนไหว เขาหมายความอย่างไร นี่คือการขอขมาใช่หรือไม่
“หรือไม่ก็ ตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึง”
ได้ยินคำว่าตั๋วเงินสองคำ เฟิ่งเฉี่ยนลืมตาขึ้นพรึ่บ ร่างของนางราวกับบรรจุลูกะุอย่างไรอย่างนั้น นางดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันที “ข้า้าตั๋วเงิน!”
ใบหน้าของเซวียนหยวนเช่อดำทะมึน กลิ่นอายเยียบเย็นกระจายออกมา
ทั้งๆ ที่เป็แสงแดดในฤดูวสันต์ แต่ไฉนกลับหนาวเหน็บยิ่งกว่าฤดูหนาวใน่ปลายปี
เขากลับโยนคำพูดมาประโยคหนึ่งว่า “ย้ายกลับตำหนักเว่ยยาง!”
พูดแล้วเขาก็หันหน้าเดินออกไป
ให้ตายเถอะ!
เฟิ่งเฉี่ยนโมโหจนหน้าบึ้ง นางยกเท้าขึ้นก้าวตามไป “นี่ ไฉนท่านจึงกลับคำพูดไปมาเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ท่านควรให้ข้าเป็คนเลือก และข้าย่อมเลือกตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึง!”
คนเบื้องหน้าแค่นเสียงดังฮึ แล้วเร่งฝีเท้าขึ้นอีก
เฟิ่งเฉี่ยนไล่ตามไปด้วยโทสะ นางเร่งฝีเท้า “นี่มันทางเลือกอะไรกัน ชัดเจนเหลือเกินว่านี่ไม่ใช่ทางเลือก! ไม่ถูกต้อง กระทั่งคำถามก็ไม่ใช่ ชัดเจนเหลือเกินว่าท่านเอาความคิดของตนเป็ใหญ่ ท่านเผด็จการเกินไปแล้ว!”
ลั่วหยิ่งที่ไล่ตามหลังมาอยู่ด้านข้างรีบเกลี้ยกล่อม “เหนียงเหนียง ท่านอย่าได้ยั่วโทสะฝ่าาอีกเลย! ท่านเพิ่งจะถูกส่งตัวเข้าตำหนักเย็น ว่ากันตามเหตุผลแล้วต้องถูกกักบริเวณ ตอนนี้ฝ่าาอนุญาตให้ท่านย้ายกลับตำหนักเว่ยยาง นี่เท่ากับเป็เมตตาเทียมฟ้าแล้ว ไฉนท่านจึงไม่ดีใจเลยเล่า”
เฟิ่งเฉี่นกลอกตาขาวใส่เขา “ตำหนักเว่ยยางมีอะไรดี เขาคิดจะส่งตัวข้าเข้าตำหนักเย็นเมื่อใดก็ได้ ล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดของเขาเพียงประโยคเดียวหรือ ต้องมีชีวิตอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน ไม่สู้รับตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงทำให้จิตใจสงบไม่ดีกว่าหรือ!”
“อุ๊บ...” ลั่วหยิ่งจนปัญญาที่จะโต้แย้ง ความคิดและตรรกะของเหนียงเหนียงดูเหมือนจะมีเหตุผลเช่นกัน
แต่ในฐานะสตรีของตำหนักใน เื่การแย่งชิงความโปรดปรานนั้นมาอันดับหนึ่งมิใช่หรือ เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่า สำหรับเหนียงเหนียงแล้ว เงินดึงดูดใจกว่าฝ่าาเล่า
นางขึ้นรถม้าตามเซวียนหยวนเช่อ ในเมื่อเื่ที่นี่ได้รับการคลี่คลายแล้ว นางไม่จำเป็ต้องรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป
รถม้ากำลังจะออกเดินทาง มู่ฮูหยินนำคนทั้งหมดของสกุลมู่สิบกว่าคนออกมาส่งเสด็จ
“แม่นางเฟิง ก่อนหน้านี้เข้าใจเ้าผิด ทำให้เ้าต้องได้รับความลำบากเช่นนี้ ช่างเป็เื่ที่ข้าอภัยให้ตนเองไม่ได้! โปรดรับการคำนับด้วย!”
มู่ฮูหยินประสานมือกำลังจะคำนับ ทว่าถูกมู่ชิงหว่านยับยั้งเอาไว้ “ท่านแม่ เหตุใดท่านต้องคำนับนางด้วย นางเกือบจะทำร้ายท่านปู่จนต้องเสียชีวิต!”
“หุบปาก!” มู่ฮูหยินถลึงตาใส่บุตรสาวด้วยโทสะและตำหนินางว่า “ทุกคนล้วนเห็นทั้งสิ้น เป็แม่นางเฟิงที่ช่วยชีวิตท่านปู่ของเ้า เหตุใดเ้าจึงได้ดื้อดึงเช่นนี้”
มู่ชิงหว่านกลับแค่นเสียงฮึ “นั่นเป็เพราะนางโชคดี จับพลัดจับผลูโดยบังเอิญเท่านั้น! หรือกล่าวได้ว่า ท่านปู่มีวาสนาบารมี จึงรอดชีวิตมาได้ เกี่ยวอะไรกับนางด้วย”
มู่ฮูหยินเหลือบสายตามองสีหน้าท่าทางเฟิ่งเฉี่ยนปราดหนึ่ง แล้วออกแรงกระตุกแขนเสื้อของบุตรสาว “แม่นางเฟิงช่วยชีวิตท่านปู่ของเ้า นี่เป็เื่จริงที่ไม่ต้องถกเถียงกัน! หากเ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ระวังจะถูกดัดนิสัยด้วยกฎบ้าน!”
มู่ชิงหว่านฟังไม่เข้าหูแม้แต่น้อย นางกระทืบเท้าอย่างโมโหโทโส “ท่านแม่ ไฉนพวกท่านล้วนเข้าข้างนาง าแบนร่างของลูก ล้วนเป็เพราะนางทั้งสิ้น!”
