มู่เฟิงเหลือบมองไปยังหลิ่วอีเสวี่ยที่อยู่ด้านข้าง ตลอดจนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวทำสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของหลิ่วอีเสวี่ยยังคงเรียบเฉย ส่วนมู่ขวงและไป๋จื่อเยว่อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางสตรีแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างมู่เฟิง พวกเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้มีใบหน้าที่งดงามเป็อย่างยิ่ง ซึ่งความงามอันน่าหลงใหลนี้ก็ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองเผลอตกอยู่ในภวังค์
“พี่สาวท่านนี้ช่างงามนัก พี่เฟิง ท่านไปรู้จักกับนางได้อย่างไร?”
มู่ขวงเอ่ยพึมพำออกมาอย่างเผลอตัว
ถึงอย่างไรหลิ่วอีเสวี่ยก็เป็สตรีผู้หนึ่ง ภายในใจของนางย่อมชมชอบที่จะได้รับคำชมเชย โดยเฉพาะจากเด็กหนุ่มที่กล่าวออกมาจากใจจริงเช่นนี้
“ดี ในเมื่อพวกเ้าอยู่พร้อมหน้ากันสามคนพอดี เช่นนั้นข้าก็จะจัดการไปพร้อมกันเลยทีเดียว หั่นร่างของเ้าเด็กสามคนนั้นให้ข้า ส่วนสตรีก็จับนางมัดเอาไว้”
กู้เฉิงกังหัวเราะออกมาดังลั่น สายตาของเขาฉายแววประหลาดใจตอนที่เหลือบไปเห็นหลิ่วอีเสวี่ย และฉับพลันนั้นภายในหัวของเขาก็มีความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาทันที
“ฆ่ามัน!”
ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่พุ่งตัวเข้าไปล้อมรอบเด็กหนุ่มทั้งสามในทันที คมดาบและคมกระบี่จำนวนมากกำลังพุ่งเข้าหาพวกเขาจากทุกทิศทาง นอกจากนี้ในบรรดาการโจมตีเ่าั้ยังมีปราณดาบและปราณกระบี่อีกจำนวนไม่น้อย
“เฮอะ!”
ในตอนนั้นเองหลิ่วอีเสวี่ยที่ยืนถือกระบี่เอาไว้ในมือโดยไม่พูดอะไรสักคำ นางทำเพียงแค่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเ็าเท่านั้น ฉับพลันชั้นพลังป้องกันสีน้ำเงินซึ่งมีความแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวดก็โอบล้อมร่างของนางและเด็กหนุ่มทั้งสามคนเอาไว้
เมื่อปราณดาบและปราณกระบี่เ่าั้พุ่งเข้าปะทะกับชั้นป้องกันนี้ พลังโจมตีทั้งหมดก็พลันสลายหายไปในทันที ไม่อาจสร้างาแให้ใครได้เลยสักคน
“พลังป้องกัน ยอดฝีมือระดับหนิงกัง?”
กู้เฉิงกังขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นภาพนี้
หลิ่วอีเสวี่ยก้าวเท้าออกมาข้างหน้า พลังปราณสีน้ำเงินอันทรงพลังพลันะเิออกมาราวกับคลื่นน้ำที่สาดซัดออกเป็วงกว้าง
“อ๊าก…”
“อ๊ากกก...”
ผู้คนที่ล้อมอยู่โดยรอบจำนวนหลายสิบคนต่างก็ถูกพลังปราณอันแข็งแกร่งนี้ซัดใส่ร่างจนลอยกระเด็นกลับหลังไปไกล พวกเขาเ่าั้ต่างก็มองมายังหลิ่วอีเสวี่ยด้วยสายตาหวาดกลัว อาศัยเพียงพลังปราณธรรมดาก็สามารถซัดร่างของพวกเขาจนลอยกระเด็นได้แล้ว หรือว่าคนผู้นี้จะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังจริงๆ?
เมื่อััได้ถึงคลื่นพลังนี้ ใบหน้าของกู้เฉิงกังพลันเปลี่ยนไปทันที
“ผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตาน นะ ในเมืองเล็กๆ แบบนี้ เหตุใดจึงมีผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตานปรากฏตัวขึ้นได้!”
ดวงตาของกู้เฉิงกังแสดงออกถึงความตื่นตระหนก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานถือเป็ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหนานหลิง
เมื่อหลิ่วอีเสวี่ยจ้องมองมายังกู้เฉิงกัง เขาก็อดหวาดกลัวไม่ได้ จึงเผลอก้าวถอยหลังออกไปสองก้าว
แต่ทันใดนั้นเองร่างของหลิ่วอีเสวี่ยก็พลันเคลื่อนไหวอย่างว่องไว ร่างของนางดูเหมือนแสงสีน้ำเงินที่พุ่งผ่านตา ในขณะที่ทุกคนยังคงตกตะลึง หลิ่วอีเสวี่ยก็แวบมาอยู่ด้านข้างกู้เฉิงกังอย่างรวดเร็วแล้ว
ร่างของหลิ่วอีเสวี่ยพลันปรากฏขึ้นด้านหลังกู้เฉิงกัง ไม่รู้ว่ากระบี่ในมือของนางถูกดึงออกจากฝักั้แ่เมื่อไร นางถือกระบี่เล่มนั้นไว้ในมือ ในขณะที่ชุดสีขาวบนกายของนางยังคงพลิ้วไหวไปตามแรงลม
ปลายกระบี่มีหยดน้ำสีแดงสดหยดลงมาหนึ่งหยด
กู้เฉิงกังยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เขายกมือขึ้นมาััลำคอของตัวเอง ก่อนจะพบว่าตอนนี้มีเืสีแดงฉานกำลังไหลออกมาจากลำคอของเขา
ร่างของกู้เฉิงกังล้มพับลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เกิดการกระตุก ของเหลวสีแดงสดไหลนองไปทั่วพื้น พลังชีวิตของเขากำลังจะหมดลง พร้อมกับที่ร่างกายของเขาเริ่มคลายพลังปราณออกมา
ฉากนี้ทำให้มู่เฟิงและคนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบต่างก็ตกตะลึง พวกเขาจ้องมองสตรีในชุดคลุมสีขาวที่กำลังเก็บกระบี่ด้วยใบหน้าโง่งม เหตุการณ์เมื่อครู่ไม่มีใครมองเห็นเลยว่าหลิ่วอีเสวี่ยสังหารกู้เฉิงกังได้อย่างไร เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก
เขามองเห็นเพียงประกายแสงกระบี่ที่แวบผ่าน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่ากระบี่หลุดออกจากฝักั้แ่เมื่อใด จนกระทั่งกู้เฉิงกังถูกเชือดคอจนเสียชีวิต
การเคลื่อนไหวนี้ช่างเป็สิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งนัก
“อะ… อะไรกัน…”
“หัวหน้าใหญ่!”
“โอ้ ์ นี่มันพลังอะไรกัน?”
ฝูงชนต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน กลุ่มทหารรับจ้างเพลิงโชนมองไปยังศพของผู้เป็หัวหน้าใหญ่ที่นอนกองอยู่บนพื้น ก่อนจะส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา แต่ไม่นานเหล่าทหารรับจ้างก็วิ่งแตกกระเจิงไปทั่วสารทิศเพื่อหลบหนี ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นชั่วขณะ ความแข็งแกร่งของสตรีผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
หลิ่วอีเสวี่ยเก็บกระบี่ก่อนจะมุ่งหน้าเดินเข้าไปในเมืองขนาดเล็กที่อยู่ตรงหน้าเพียงลำพัง ผู้คนรอบข้างต่างก็จ้องมองนางด้วยสายตาหวาดหวั่น บุคคลที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามได้มาเยือนถึงเมืองหุบเขาอัคคีแล้ว
มู่เฟิงและเด็กหนุ่มอีกสองคนต่างก็หันมามองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็ทำการลากศพของกู้เฉิงกังและคนอื่นๆ ที่ถูกสังหารไปกองไว้บริเวณพงหญ้าข้างถนน
หลังจากมู่เฟิงดูดซับพลังเืจากศพเสร็จแล้ว เขาก็ปล่อยพลังปราณเพลิงออกมาเพื่อเผาร่างของศพเ่าั้ จากนั้นกลุ่มเด็กหนุ่มก็ตามหลิ่วอีเสวี่ยเข้าไปในเมือง
เมื่อสถานการณ์สงบลง กลุ่มฝูงชนที่อยู่โดยรอบก็เริ่มแยกย้ายกันไป โดยในระหว่างนั้นพวกเขาก็ยังคงกล่าวถึงกระบี่ที่อัศจรรย์ของหลิ่วอีเสวี่ยอย่างไม่หยุดปาก
“พี่เฟิง หญิงงามผู้นั้นเป็ใครกัน เหตุใดความแข็งแกร่งของนางถึงน่ากลัวนัก”
ไป๋จื่อเยว่เอ่ยปากถามในระหว่างที่เดินไปด้วยกัน
“นางคือผู้าุโที่มีวรยุทธ์ระดับหยวนตาน ข้าบังเอิญพบนางในหุบเขาอัคคี"
มู่เฟิงตอบ
“วรยุทธ์ระดับหยวนตาน นั่นเป็ผู้แข็งแกร่งที่สามารถบินขึ้นฟ้าและมุดลงดินได้เชียวนะ”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นที่ได้พบบุคคลระดับนี้
ส่วนมู่ขวงไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก เพราะเขาเคยพบเจอบุคคลระดับนี้มาก่อน ถึงอย่างไรในตระกูลสายหลักก็มีผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตานอยู่หลายคน
เด็กหนุ่มทั้งสามกลับเข้ามาในเมืองหุบเขาอัคคีและเข้าพักในโรงเตี๊ยมเดียวกับหลิ่วอีเสวี่ย มู่เฟิงถอดเสื้อผ้าที่สกปรกออก จากนั้นก็ลงไปแช่ตัวในอ่างไม้ขนาดใหญ่ เขาหวนคิดทบทวนเกี่ยวกับเื่ราวที่เกิดขึ้นใน่นี้
ศพของงูเจียวไฟและทรัพย์สมบัติของอีกฝ่ายคือเป็ผลประโยชน์ชิ้นใหญ่ที่สุดที่เขาสามารถเก็บเกี่ยวได้ในครั้งนี้ นอกจากนี้เขายังได้รับเม็ดบัวอัคนีมาสี่เม็ดและยังมีผลิญญาสีแดงที่เหลืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งเม็ดบัวอัคนีและผลิญญาสีแดงเหล่านี้จะทำให้เขาสามารถฝึกฝนวิชาะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยาจนบรรลุระดับสมบูรณ์ได้สำเร็จในระยะเวลาอันสั้น
แต่ถึงแม้จะสามารถฝึกฝนวิชาะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยาจนบรรลุระดับสมบูรณ์ได้สำเร็จแล้ว แต่เกรงว่าด้วยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้คงไม่สามารถแสดงอานุภาพพลังของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ เพราะถึงอย่างไรพลังปราณในร่างของเขาก็ยังน้อยเกินไป
ทักษะพลังปราณระดับนี้ หากเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานที่เป็คนแสดงมันออกมา เกรงว่าคงสามารถแยกภูผาสะบั้นธาราได้เลยทีเดียว เมื่อหันกลับมองมาที่เขา อย่างมากคงทำได้เพียงโค่นต้นไม้ใหญ่เพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น นี่คือช่องว่างความต่างของระดับวรยุทธ์
ขณะที่มู่เฟิงกำลังแช่น้ำ เขาก็นำร่างของเสี่ยวเทียนมาวางไว้ด้านข้าง หลังจากได้ดูดซับพลังเืจากแก่นโลหิตของงูเจียวไฟ เสี่ยวเทียนก็นอนหลับใหลมาจนถึงตอนนี้
มู่เฟิงที่กำลังนั่งแช่น้ำอยู่ในอ่างไม้กลืนเม็ดยาโลหิตลงไปก่อนจะเริ่มบ่มเพาะพลัง โดยในเวลานั้นเขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าเสี่ยวเทียนที่อยู่ด้านข้างกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น บริเวณท้องอันอ่อนนุ่มของมันมีบางสิ่งค่อยๆ งอกออกมาทีละน้อย...
วันต่อมา มู่เฟิงเคาะประตูห้องพักของหลิ่วอีเสวี่ย แต่เขากลับพบว่าไม่มีเสียงตอบรับใดจากอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเรียกอีกฝ่ายอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับใด ดังนั้นเขาจึงเปิดประตูเข้าไปโดยพลการ ไม่นานมู่เฟิงก็พบว่าภายในห้องนั้นว่างเปล่า
มีเพียงจดหมายและขวดหยกวางไว้บนโต๊ะ
มู่เฟิงเปิดจดหมายและเห็นว่ามีตัวอักษรที่ละเอียดอ่อนเพียงไม่กี่ตัว
“ข้าต้องไปแล้ว”
จดหมายนี้เป็ของหลิ่วอีเสวี่ย
“ไม่คิดจะบอกลากันเลยหรือ?”
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด ภายในใจของมู่เฟิงจึงรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย
เขาเปิดขวดหยกและพบว่าภายในขวดบรรจุเม็ดยาเอาไว้สามเม็ด
ยาอายุวัฒนะทั้งสามเม็ดล้วนมีลายเส้นโอสถจำนวนสี่เส้น พลังปราณที่แผ่ออกมาจากตัวมันทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตะลึง คาดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้จะเป็ยาครอบจักรวาล!
“หลิ่วอีเสวี่ย...”
มู่เฟิงพึมพำกับตัวเอง สตรีผู้นี้ได้ทิ้งตัวตนของนางเอาไว้ในความทรงจำของเขาก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอยราวกับดอกไม้ไฟ
มู่เฟิงเก็บยาเ่าั้ มุมปากของเขากระตุกยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ
‘สักวันหนึ่งข้าจะสามารถยืนหยัดอยู่กลางอากาศได้เหมือนกับนาง ไม่สิ ข้าอาจจะเหนือกว่านางด้วยซ้ำ!’
มู่เฟิงคิดกับตัวเองในใจ
หลังจากหลิ่วอีเสวี่ยจากไปแล้ว มู่เฟิงก็ไปเรียกมู่ขวงและไป๋จื่อเยว่ที่ยังนอนเกียจคร้านอยู่บนเตียง ไม่นานเด็กหนุ่มทั้งสามก็ควบม้าเดินทางออกจากเมืองหุบเขาอัคคี มุ่งหน้ากลับสู่จวนตระกูลมู่ในเมืองอันหนาน
หลังจากเร่งเดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดพวกเขาสามคนก็กลับมาถึงจวนตระกูลมู่ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
พวกเขาต่างก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเวลานี้หน้าประตูจวนตระกูลหวงที่ถูกล้างสังหารก่อนหน้านี้ กำลังมีชายผู้หนึ่งยืนมองจวนตระกูลหวงที่เหลือเพียงคราบเืด้วยสายตาเคียดแค้นจนยากที่จะลืมเลือน
ชายหนุ่มผู้นี้สวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงิน ใบหน้าของเขามีบางส่วนที่คล้ายคลึงกับหวงอี้ เพียงแต่มีความเป็ผู้ใหญ่กว่า
“ตระกูลมู่ มู่เฟิง... ท่านพ่อ น้องรอง ท่านวางใจเถอะ ข้าจะทำลายตระกูลมู่และมู่เฟิงผู้นั้นเพื่อล้างแค้นให้พวกท่านเอง”
คนผู้นี้คือบุตรชายคนโตของหวงไท่นามว่าหวงปิ่ง เขาเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกัง ซึ่งตอนนี้กำลังรับราชการทหารอยู่ในกองทัพของหนานหาว...