เหตุผลที่ถังอีิะโออกมาเช่นนี้ก็เพราะเขามีเจตนาร้าย เขาสังเกตเห็นฉินอวี่ั้แ่แรกแล้ว และรู้ว่าฉินอวี่กำลังนั่งภูดูเสือกัดกัน
แต่หากเอาชนะอสูรร้ายตัวนี้ได้ ถังอีิคงไม่ปล่อยฉินอวี่ไปอย่างแน่นอน และอสูรร้ายก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความอันตราย ดังนั้นเขาจึงคิดจะใช้วิธีนี้ทำให้ฉินอวี่และพวกเขาต้องอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน หากเป็เช่นนี้ หากคนทั้งแปดตายไปแล้ว อสูรร้ายตัวนี้จะต้องไม่ปล่อยฉินอวี่ไว้อย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ถังอีิคาดไม่ถึงคือ จริงๆ แล้วฉินอวี่ได้มีแผนซ้อนแผนเอาไว้แล้ว และยังแช่งชักหักกระดูกพวกเขาไปแล้วด้วย
“เฉินซิงใช่หรือไม่? หากข้ามีชีวิตรอด จะไม่มีวันยอมให้เ้ามีชีวิตออกไปจากสำนักยุทธ์ว่านจ้ง” ถังอีิกล่าวอย่างเคียดแค้น ไม่ว่าฉินอวี่จะเข้ามาช่วยหรือไม่ ถังอีิก็จะไม่ปล่อยฉินอวี่ไป ขอเพียงกลับไปยังสำนักยุทธ์ว่านจ้งได้ ถังอีิจะต้องหาทางกำจัดเฉินซิงให้หายไปจากสำนักยุทธ์ว่านจ้งอย่างแน่นอน
ฉินอวี่หันกลับมาและเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเขตต้องห้าม
อสูรร้ายถอนมโนจิตกลับมาจากร่างของฉินอวี่
ฉินอวี่ยังไม่ได้เดินออกไปไกลมากนัก ห่างออกมาเพียงสามสิบลี้ และนั่งลงขัดสมาธิ วิชาเต๋าที่เกี่ยวกับการปกปิดจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในจิตใจ หลังจากเขาเลือกวิชาที่ช่วยปิดบังพลังปราณซึ่งเรียบง่ายที่สุดออกมาวิชาหนึ่งแล้ว ฉินอวี่ก็เดินตรงเข้าไปยังเขตต้องห้ามต่อไป
ไม่เพียงแต่ถังอีิที่ไม่มีวันปล่อยตัวฉินอวี่ แต่ฉินอวี่ก็ไม่มีวันปล่อยถังอีิไปเช่นเดียวกัน แม้ว่าถังอีิจะมีสถานะที่ไม่ธรรมดา แต่หากต้องตายในแดนขัดเกลา ก็ไม่มีผู้ใดสามารถหาสาเหตุการตายได้
ฉินอวี่ไม่สนใจว่าท้ายที่สุดแล้วในทั้งสองฝ่ายใครจะเป็ผู้ชนะ หากอสูรร้ายชนะ พวกถังอีิจะต้องหนีเตลิดอย่างหัวซุกหัวซุน ถึงตอนนั้นฉินอวี่ก็จะไล่ตามถังอีิไป และใช้โอกาสนี้สังหารเขา หากพวกถังอีิชนะ ฉินอวี่ก็จะไป่ชิงอสูรร้ายสายเืหยาจื้อตัวนั้นมาเป็ของตัวเอง
หากต้องปะทะกับกระบี่ัของสายเืัา ฉินอวี่ก็ยังต้องเสี่ยงมากเช่นกัน!
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่เห็นท่าไม่ดีคือ มโนจิตของเขาััได้ถึงฉู่สยง และพวกฉู่เยว่ฉานที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา
ฉินอวี่ขมวดคิ้ว การมาถึงของพวกเขาทำให้ฉินอวี่ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก หากมีพวกฉู่สยงเพิ่มเข้ามา เื่ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป และอสูรร้ายตัวนั้นอาจถูกพวกเขาร่วมมือกันสังหาร แต่กระบี่ันั้น... ก็คงถูกอสูรร้ายกลืนกินเข้าไปแน่นอน หากอสูรร้ายตายไป กระบี่ันั้นก็คงจะหายไปพร้อมกับหยาจื้อ
หลังจากไตร่ตรองอยู่เป็เวลานาน ฉินอวี่ก็แอบถอนหายใจ เขาจึงได้แต่คอยดูการเปลี่ยนแปลง พูดจบ เขาก็ทำการคำนวณเส้นทางของพวกฉู่เยว่ฉานที่อาจกำลังมุ่งหน้าตรงไปทางพวกเขาอย่างไม่ตั้งใจ
เมื่อพวกฉู่สยงและฉู่เยว่ฉานทั้งเก้าคนมาถึงฟากฟ้าเหนือศีรษะของฉินอวี่ ก็มีคนคนหนึ่งมองลงมาทางฉินอวี่ และพูดอย่างประหลาดใจ “เอ๊ะ? ตรงนั้นมีคนอยู่จริงๆ”
เมื่อฉู่สยงก้มหน้ามองลงไปทางฉินอวี่ ม่านตาของเขาก็หดเล็กลง ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็ร่อนลงมาตรงหน้าฉินอวี่ และพูดอย่างเบิกบานใจ “ช้าก่อนศิษย์น้อง”
ฉินอวี่ที่สวมหน้ากากมองไปทางฉู่สยงด้วยสายตาแปลกใจ นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ศิษย์พี่ฉู่สยง ศิษย์ในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะอันดับที่เก้าหรือ?” หลังจากฉู่เยว่ฉานลงมาถึงพื้นดิน ฉินอวี่ก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ศิษย์ในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะอันดับที่สิบแปด ศิษย์พี่หญิงฉู่เยว่ฉาน?”
“พวกข้าเอง ศิษย์น้องมีนามว่าอะไรหรือ?” ฉู่สยงส่งสายตามองฉินอวี่และถามออกไป
“ข้ามีนามว่าหวังซิงเฉิน” ฉินอวี่แสร้งพูดราวกับกำลังปลาบปลื้มใจ
“ศิษย์น้องหวังอยู่คนเดียวหรือ? หรือว่า... เ้าเป็คนสังหารอสูริญญาที่พวกข้าเห็นก่อนหน้านี้?” ฉู่สยงกวาดสายตามองฉินอวี่อีกครั้ง และอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
ฉินอวี่ที่อยู่ภายใต้หน้ากากยิ้มขึ้นมาทันที แม้เขาจะคิดเอาไว้แล้วว่าซากศพของอสูริญญาจะต้องเป็ที่สนใจของพวกฉู่สยง แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอกับคำถามที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ ฉินอวี่ยังไม่รู้ว่า ตลอดเส้นทางที่พวกเขาเดินทางมานั้นได้พบกับศิษย์ไม่กี่คน ดังนั้นจึงสงสัยว่าเป็ฝีมือของฉินอวี่
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี่จึงรีบอาศัยจังหวะนี้ และพยักหน้าทันที “ข้าทำเื่น่าอายให้ศิษย์พี่ฉู่ต้องขบขันเสียแล้ว”
เมื่อฉู่สยงได้ยินดังนั้นรังสีแห่งความประหลาดใจและร้อนผ่าวก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา แต่กลับถูกเขาปกปิดเอาไว้ และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนฉู่สยงจะพูดต่อไป “ศิษย์น้องหวัง ข้าเคยเข้าไปเขตต้องห้ามเมื่อตอนเข้ามาแดนขัดเกลาในครั้งที่ผ่านมา และพบว่ามีสิ่งวิเศษอยู่มากมาย แต่ก็มีอันตรายอยู่มากมาย ไม่ทราบว่าศิษย์น้องหวังสนใจจะตามพวกข้าเข้าไปด้านในหรือไม่?”
ศิษย์คนอื่นๆ ต่างชำเลืองมองฉินอวี่ โดยเฉพาะฉู่เยว่ฉาน ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางรู้สึกมีความคุ้นเคยกับหวังซิงเฉินผู้นี้เป็อย่างมาก หลังจากคิดทบทวนอยู่นาน ภาพของฉินอวี่ก็ปรากฏขึ้นมาในจิตใจ แต่ไม่นานนักก็ถูกนางลบทิ้งไป ฉินอวี่เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ย ไม่มีทางสังหารอสูริญญาได้มากขนาดนี้ และยิ่งไม่มีทางเข้ามาถึงชายขอบของเขตต้องห้ามได้
ฉินอวี่แสร้งทำเป็ลังเล และมองไปทางเขตต้องห้าม “ศิษย์พี่ฉู่ให้เกียรติเช่นนี้ หวังซิงเฉินก็ยินดีจะร่วมเดินทางไปกับศิษย์พี่ เพียงแต่... ข้าจำเป็ต้องรวบรวมเือสูริญญา ขอศิษย์พี่ฉู่ได้โปรดมอบให้ข้าด้วย”
“ก็แค่เือสูริญญาใช่หรือไม่ล่ะ? หากมี เ้าก็เอาไปเถอะ” ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างเฉยเมย
ฉู่สยงขมวดคิ้วแน่น เดิมทีเขาตั้งใจจะบอกว่าต้องดูสถานการณ์เสียก่อน แต่ศิษย์คนนั้นกลับชิงพูดเสียแล้ว เขาจึงไม่อยากจะพูดขัดออกไป หากเขาปฏิเสธ ก็เกรงว่าจะทำให้หวังซิงเฉินไม่สบายใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้แต่พยักหน้า
ฉินอวี่แอบยิ้มอยู่ในใจ ก่อนจะพูดขึ้นมา “เช่นนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเถอะ ข้าก็เคยได้ยินมานานแล้วว่าในเขตต้องห้ามมีความวิเศษยิ่งนัก เมื่อมีศิษย์พี่ ศิษย์พี่หญิง และศิษย์พี่ทุกท่านไปด้วยเช่นนี้ ข้าก็คงได้เรียนรู้เื่เขตต้องห้ามสักครั้ง”
“แน่นอนอยู่แล้วล่ะ พวกข้าศึกษาเื่เขตต้องห้ามนี้มานานพอสมควรแล้ว” ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
“พวกเราเดินไปคุยไปเถอะ” ดูเหมือนฉู่สยงจะร้อนใจที่จะเข้าไปในเขตต้องห้าม
ฉินอวี่พยักหน้า และ้ารีบเข้าไปด้านในเช่นกัน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
ฉู่สยงที่เดินอยู่กลางอากาศมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “รีบตามไป ข้างหน้ามีการต่อสู้!” พูดจบ ฉู่สยงก็พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับภาพลวงตา
ฉินอวี่รวมพลังปราณทั้งหมดลงสู่ปลายเท้าทันที และเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็ว
“ศิษย์พี่ฉู่ ช่วยข้าด้วย! ข้าถังอีิ!” แม้ห่างถึงสิบลี้ก็สามารถได้ยินเสียงะโที่หวาดกลัวของถังอีิได้อย่างชัดเจน
ฉินอวี่ใช้มโนจิตมองออกไป ก็พบว่ากลุ่มของถังอีิได้ตายไปแล้วห้าคน เหลือเพียงตัวเขาและศิษย์คนอื่นอีกสองคน ทั่วทั้งร่างของอสูรร้ายเต็มไปด้วยเปลวเพลิง กระบี่ัโผล่ออกมาให้เห็นเพียงปลายที่แหลมคมเท่านั้น
“ถังอีิ?” ฉู่สยงขมวดคิ้วแน่น และเพิ่มความเร็วของตนเอง พวกฉู่เยว่ฉานก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน
“ศิษย์พี่หญิงฉู่ ถังอีิคนนี้เป็ใครกัน?” ฉินอวี่เจตนาชะลอความเร็วของตนเอง และเหาะเคียงข้างไปกับความเร็วของฉู่เยว่ฉาน พลางพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
“เขาคือผู้าุโถังแห่งสายชีพจรฟ้า และเป็หลานคนเล็กของผู้นำศิษย์รุ่นสามแห่งสำนักยุทธ์ว่านจ้ง” ฉู่เยว่ฉานตอบ
ฉินอวี่ใอย่างยิ่ง ถังอีิผู้นี้เป็หลานของผู้นำศิษย์รุ่นสามหรือ?
จู่ๆ ฉินอวี่ก็นึกถึงตอนที่เขาไปหอตำราครั้งก่อน และเห็นลี่อวิ๋นยืนเหม่ออยู่หน้าประตู ก่อนจะพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ไม่รู้ใครกันที่ไปยั่วยุหลานของผู้นำศิษย์รุ่นสาม” เป็ไปได้หรือไม่ว่าลี่อวิ๋นกำลังพูดถึงถังอีิ? และคนที่สายตาสั้นทำเื่เช่นนั้นก็คือตนเอง?
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่พูดไม่ออกคือ ถังอีิผู้นี้มีนิสัยที่เห็นได้ชัด อย่าว่าแต่เื่จิตใจคับแคบเลย แต่ยังกล้าทำเื่ขัดศีลธรรมปล้นชิงศิษย์ในสำนัก และหากเื่นี้ถูกเผยแพร่ออกไป คงจะทำให้ผู้นำศิษย์รุ่นสามเสียหน้าเป็อย่างยิ่ง
เมื่อฉินอวี่และพวกฉู่เยว่ฉานมาถึง ฉู่สยงก็เข้าร่วมการต่อสู้แล้ว
พวกถังอีิทั้งสามคนต่างมีาแอยู่ทั่วทั้งตัว จนต้องแอบวิ่งไปด้านข้างเพื่อกินโอสถบรรเทาความเ็ป แต่ถังอีิยังเหมือนไม่วางใจ ก่อนะโเสียงดัง “ศิษย์พี่หญิงฉู่และศิษย์น้องทุกคน พวกเรามาร่วมกันโจมตีอสูรร้ายตัวนี้เถอะ พละกำลังของอสูรร้ายตัวนี้น่ากลัวยิ่งนัก” พูดจบ สายตาของถังอีิก็มองตรงไปยังฉินอวี่ และหยุดลงด้วยความสงสัย
ฉู่เยว่ฉานและคนอื่นๆ ต่างทยอยกันเข้าโจมตี และฉินอวี่เองก็ไม่อยู่เฉย เรียกกระบี่ิญญาออกมาเล่มหนึ่งและล้อมเข้าร่วมปิดล้อมอสูรร้าย
เมื่อเป็เช่นนี้ เกรงว่าในวันนี้อสูรร้ายคงต้องจบชีวิตอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ
“โฮก...” อสูรร้ายส่งเสียงคำรามออกมาเบาๆ มันได้รับาเ็จากการสู้กับพวกถังอีิทั้งแปดคน และในตอนนี้พวกของฉินอวี่ทั้งสิบคนทำให้เกิดพลังกดดันอสูรร้ายตัวนี้มากยิ่งขึ้น ในใจของมันคิดจะถอยออกไป สายตาจ้องตรงมาทางฉินอวี่อย่างโเี้ ราวกับกำลังโกรธเคืองและไม่พอใจอย่างยิ่ง
ลักษณะของมันในตอนนี้เหมือนกับหญิงสาวที่ถูกทอดทิ้งจากคำหลอกลวง
ฉินอวี่ทำเป็มองไม่เห็น ในตอนนี้เขาได้เลิกใช้กระบี่ิญญา หันมาโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดที่มี บีบบังคับให้อสูรร้ายกลืนกินกระบี่ั ถึงตอนนั้น พลังของกระบี่ัก็จะแพร่กระจายอยู่ในเืของมัน และเมื่อเขาได้ดูดซับเืของอสูรร้าย ก็จะได้รับพลังของกระบี่ัที่หลงเหลืออยู่เช่นกัน
ฉู่สยงสามารถเข้าเป็ศิษย์อันดับเก้าในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะได้เช่นนี้ พลังที่เขามีก็ต้องแข็งแกร่งอยากหาผู้เปรียบได้อย่างแน่นอน เขาถือกระบี่หนักขนาดใหญ่ ทุกครั้งที่เขาฟันกระบี่ออกไปดูเหมือนจะแฝงไปด้วยพลังกว่าหมื่นจุน แต่ละครั้งที่ฟันกระบี่ออกไป ทำให้อสูรร้ายต้องจมลงไปในดิน และเมื่อรวมเข้ากับการโจมตีของฉู่เยว่ฉานและคนอื่นๆ อสูรร้ายจึงยิ่งาเ็สาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตายเสียเถอะ!”
ฉู่สยงะโขึ้นไปในอากาศอย่างรุนแรง กระบี่หนักในมือถูกแทงขึ้นไปในอากาศ กลายเป็รัศมีกระบี่สูงกว่าสิบจ้าง ก่อนจะผ่าตรงลงมายังอสูรร้าย
“โฮก!” ดูเหมือนอสูรร้ายจะรู้สึกได้ถึงสิ่งอันตรายถึงชีวิต ดวงตาของมันแดงก่ำ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แหงนหน้าขึ้นฟ้าส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง ก่อนจะกลืนกินปลายกระบี่ที่เหลืออยู่เข้าไปทันที
ทันใดนั้น เกล็ดสีแดงเพลิงทั่วทั้งร่างก็ตั้งขึ้น กลายเป็เปลวไฟที่ลุกโชติ่ มีบางสิ่งงอกนูนขึ้นมาบนศีรษะ จากนั้นก็มีเขาัค่อยๆ โผล่ออกมาให้เห็นอย่างเลือนราง ในขณะที่ขาทั้งสี่หดสั้นลง เป็สัญญาณอ่อนๆ ว่าอสูรร้ายกำลังจะกลายร่างเป็ั!
“โฮก!” ในขณะที่กระบี่ของฉู่สยงกำลังฟาดฟันลงมา ศีรษะที่เริ่มกลายเป็ัก็แหงนมองขึ้นมาทันที ก่อนจะปล่อยเสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวสั่นะเืทั้งฟ้าดิน แสงสีแดงทั่วทั้งร่างกลายเป็ม่านแสงที่แข็งแกร่ง ในม่านแสงนี้มีเปลวไฟของัไหลเวียนอยู่อย่างจางๆ
ฉู่สยงมองดูอสูรร้ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญกับอสูรระดับห้า
ขณะที่เขากำลังในั้น อสูรร้ายส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง และหันศีรษะกลับไปอย่างรวดเร็ว พลางพุ่งตรงเข้าหาฉินอวี่...
“เกิดอะไรขึ้น?”
ฉู่สยง ฉู่เยว่ฉาน และคนอื่นๆ ต่างจ้องตรงไปทางอสูรร้ายที่หมายจะสู้กับฉินอวี่อย่างสุดกำลัง...
“ให้ตายเถอะ! ข้าไปยั่วยุเ้าหรืออย่างไร? อยากจะสู้แบบสุดชีวิตก็ไปหาถังอีิสิ มาหาข้าทำไม?” ฉินอวี่รู้สึกกลัวมาก จนก่นด่าออกมาอย่างโกรธเคือง
