กระทั่งป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งยังสั่นคลอนไปชั่ววูบหนึ่ง หรือจะมีผีจริงๆ “จริง... เป็ความจริงเหรอ?”
ครั้นเจิ้งเทียนหู่เห็นแม่ดูไม่เชื่อในสิ่งที่ตนพูดก็เริ่มร้อนรน “จริงอยู่แล้วสิ!” เขาโวยวายพร้อมชี้ดวงตาตนเอง “ผมเห็นมากับตา
ผมเห็นกับตาว่าเธอลอยเข้ามา แม่รู้ไหม มันลอยเข้ามา! แม่เคยเห็นคนไหนเคลื่อนที่ด้วยการลอยแบบนั้นไหมล่ะ? อีกอย่างเส้นผมของเธอยาวเฟื้อยเลย ยาวจนถึงข้อเท้าแน่ะ!”
เจิ้งหยวนใช้น้ำแข็งแห้งเพื่อสร้างหมอก พอหมอกพวยพุ่งขึ้นมาถึง่เอวเธอ ประกอบกับเจิ้งเทียนหู่ตอนนั้นตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดและหวาดกลัวสุดขีด เขาเลยรู้เพียงว่าเป็ผีสาวผมยาวมากตนหนึ่ง แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนพิสูจน์ให้คนอื่นเชื่อ สมองจึงประมวลภาพน่าหวาดกลัวเกินความเป็จริงให้เขาโดยอัตโนมัติ
คงพูดได้เพียงว่าความสามารถแต่งเป็ผีของเจิ้งหยวนสุดยอดเกินไป เลยทำให้สมองเจิ้งเทียนหู่หลอกตัวเองเสียอย่างนั้น
เจิ้งเทียนหู่หายใจหอบแรงด้วยสีหน้าหวาดผวา พูดจาสะเปะสะปะ “ผม— ผมยังััมือของผีสาวนั่นด้วย มือเธอเย็นเฉียบ เย็นอย่างกับก้อนน้ำแข็ง!”เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็อดตัวสั่นไม่ได้
หลังจากได้ยินลูกชายบอกและจินตนาการภาพของผีสาวตนนั้นตามคำของลูกชาย ความเย็นะเืพลันคืบคลานขึ้นมาบนกระดูกสันหลัง
หรือจะเป็ความจริง? มีผีสาวอยู่จริงหรือ? นังหวังเฉี่ยวเอ๋อร์... หญิงแพศยานั่นกลับมาแก้แค้นแล้วหรือ? อยู่ดีๆ
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งก็นึกหน้าตาและเสียงของหวังเฉี่ยวเอ๋อร์ได้ ผู้หญิงคนนั้น...
แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้ยังจำได้ชัดเจนอยู่เลย นังนั่น...
นังผู้หญิงที่เหมือนปีศาจจิ้งจอกนั่น มีั์ตาจิ้งจอก
ไม่ว่าปรายตามองชายใดก็สามารถทำให้ร่างกายเขาอ่อนยวบยาบไปครึ่งแถบราวกับติดตะขอไว้ในดวงตาได้แล้ว! แต่ต่อให้เป็แบบนี้แล้วอย่างไรเล่า เธอตายไปแล้วนี่? แขวนคอตายอยู่บนคานในกระท่อมหลังนั้นอย่างน่าอนาถ
ลิ้นสีดำม่วงห้อยจุกปาก ดวงตาเบิกโพลงแทบถลนออกจากเบ้าใช่แล้ว เธอตายตาไม่หลับ
ดังนั้น เธอจึงกลับมา
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งหวาดกลัวจนไม่อาจควบคุมสติได้แล้ว
ใช่ ปีนั้นป้าสะใภ้เจิ้งเองก็เคยด่าเธอ ซ้ำร้ายยังบีบคั้นหวังเฉี่ยวเอ๋อร์พร้อมกับคนอื่นๆ แถมยังเคยโยนรองเท้าขาดๆ และสาดน้ำโคลนสกปรกใส่เธอด้วย แต่ใครใช้ให้นังจิ้งจอกนั่นยั่วผู้ชายในหมู่บ้านทั้งวันเล่า! ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่เธอคนเดียวสักหน่อยที่ล่วงเกิน
ทำไมหล่อนต้องเลือกแก้แค้นเจิ้งเทียนหู่ ลูกชายของเธอด้วย?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็ทั้งโกรธทั้งกลัดกลุ้มจนอดบ่นไม่ไหว “แกบอกมา แกไปทำอะไรที่นั่นดึกๆ ดื่นๆ ! หากแกไม่ไป นังหวังเฉี่ยวเอ๋อร์นั่นจะหลงแก เอาแกเป็เ้าบ่าวได้ยังไง! หวังเฉี่ยวเอ๋อร์เป็ผู้หญิงใจง่ายที่เห็นผู้ชายแล้วทำอะไรเองไม่เป็
…” เธอพูดไม่ทันจบก็หยุดชะงักฉับพลัน และมองไปรอบๆ เหมือนหวั่นเกรง
กลัวหวังเฉี่ยวเอ๋อร์อยู่แถวนี้แล้วจะได้ยินเธอล่วงเกิน
เขาไปที่นั่นทำไม ก็นังเฝิงิเยว่นัดเขาไปน่ะสิ! ไม่รู้เมื่อคืนพี่สะใภ้ไปหรือเปล่า
เธอจะเห็นผีสาวเหมือนกันไหม…เฮ้อ ซวยจริงๆ เลย! ไม่เพียงไม่ได้นอนกับพี่สะใภ้ ยังโดนผีสาวหลอกอีก
ตัวเขารู้ดีว่าบอกเื่นี้กับแม่ไม่ได้ บ้านเขาไม่ถูกโฉลกกับครอบครัวอารองแค่ไหน
แม่ก็ไม่มีทางยอมให้เขาหลับนอนกับพี่สะใภ้หรอก แม่ยังอยากแต่งภรรยาดีๆ ให้เขาอยู่
หากเื่นี้หลุดออกไป จะหวังแต่งภรรยาดีๆ ได้อีกหรือ? แต่… ครั้นนึกอะไรขึ้นมาได้ เจิ้งเทียนหู่จึงเอ่ยถามแม่ของเขา
“หมายความว่ายังไง? เอาผมเป็เ้าบ่าวหมายถึงอะไร? จริงสิ แม่ ผมกลับมาได้ยังไง? ผมจำได้ว่าตอนนั้นใมาก แล้วภาพก็ตัดไปเลย” เขาหันมองซ้ายแลขวา
“แม่กับพ่อพาผมกลับมาเหรอ?”
เมื่อเอ่ยถึงจุดนี้ ป้าสะใภ้ใหญ่ก็อยากร้องไห้ เธอกอดเจิ้งเทียนหู่ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง “ลูกชายผู้อาภัพของฉัน ลูกยังไม่รู้สินะ ลูกโดนหวังเฉี่ยวเอ๋อร์นั่นเลือกไปเป็เ้าบ่าวแล้ว! หวังเฉี่ยวเอ๋อร์เปลื้องผ้าลูกจนเปลือยเปล่าแล้ววางไว้บนเตียง
แถมยังเขียนตัวอักษรมงคลบนตัวลูก! นังนั่น้าบอกทุกคนว่าต่อไปลูกคือสามีของเธอแล้ว
อนาคตแม่จะหาภรรยาให้ลูกยังไงดี!” เธอคร่ำครวญพลางลูบรอยข่วนตามร่างกายของลูกชาย
สีหน้าของป้าสะใภ้เจิ้งยามนี้ไม่ดีนัก เต็มไปด้วยความสงสารเวทนา
ทั้งยังสะอึกสะอื้น “ลูกชายผู้น่าสงสารของฉัน ลูกชายผู้น่าสงสารของฉัน…”
เจิ้งเทียนหู่สับสนมึนงงไปหมด “หา? ตัวอักษรอะไร?” เขารีบเลิกคอเสื้อขึ้นแล้วก้มดูอย่างถี่ถ้วน
แต่ตัวอักษรมันอยู่ไหนล่ะ! “มีตัวอักษรที่ไหนกัน?”
คราวนี้ทำป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว! เธอชะโงกหน้าไปมองและยื่นมือไปจับเสื้อผ้าของเจิ้งเทียนหู่ไว้
เมื่อบนหน้าท้องไม่มีก็แหวกดูทั้งหน้าอกเขา ทว่าตัวอักษรอยู่ตรงไหนล่ะ? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามีตัวอักษร ตัวอักษรจะหายไปไหนได้? ทั้งๆ ที่เธอยังไม่ได้ล้างให้เขาเลย แต่ตัวอักษรล่ะ?
“พ่อ! พ่อ!” ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งร้องเรียกลุงใหญ่เจิ้ง แต่เขาไม่ขานรับ เธอจึงลุกขึ้นวิ่งโซซัดโซเซออกไปข้างนอก
ลุงใหญ่เจิ้งกำลังนั่งยองๆ สูบยาเส้นอยู่กลางลานเรือน พอได้ยินเสียงะโของภรรยาที่แสนน่าหนวกหูก็ตวาดเธอ “ะโทำไม เรียกิญญาหรือไง!”
“พ่อ! ตัวอักษรบนตัวหู่จื่อหายไปแล้ว” เสียงของเธอสั่นระริก ตอนออกจากตัวบ้านยังสะดุดธรณีประตูจนเกือบล้มคะมำ ต้องจับวงกบประตูไว้ถึงยืนได้มั่นคง ก่อนพูดซ้ำปนสะอื้น “ตัวอักษรบนตัวเขาหายไป!”
พอได้ยินเช่นนั้น ลุงใหญ่เจิ้งก็ใกลัวไม่ต่างกัน เขาเห็นตัวอักษร ‘สี่’ บนตัวเจิ้งเทียนหู่กับตาตัวเอง ไอเย็นะเืเริ่มคืบคลานจากกระดูกก้นกบขึ้นมาตามแนวสันหลัง เขาต้องดุภรรยาตัวเองด้วยสีหน้าดำคล้ำ “เธอ... เธอล้างให้เขาใช่ไหม?”
“ฉันเปล่านะ!”
“เธอคิดดูอีกที เธอลืมไปหรือเปล่า?” สิ้นเสียง
ลุงใหญ่เจิ้งก็พยักหน้าเหมือนเป็ไปตามที่คาด และหันหน้ากลับไปแสร้งเคาะบ้องสูบยา
“ใช่แล้ว ต้องลืมแน่ๆ บนโลกใบนี้มีผีที่ไหนกัน”
“ฉันไม่ได้ล้างให้เขา!” ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งตะคอกกลับด้วยใบหน้าขาวซีด
“ฉันจะจำไม่ได้เลยหรือไงว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง? ฉันไม่ใช่คนแก่เลอะเลือนนะ! กลางวัน... กลางวันคุณก็อยู่บ้านตลอดนี่ ฉันล้างออกหรือเปล่าคุณน่าจะรู้ดี!” มือของเธอสั่นเทาไม่หยุด ริมฝีปากอ้าๆ หุบๆ
ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “เป็เธอจริงๆ เป็หวังเฉี่ยวเอ๋อร์จริงๆ พ่อ
พวกเราจะทำยังไงกันดี!”
ลุงใหญ่เจิ้งตื่นตระหนกไม่ต่างกัน ยิ่งเป็ตอนกลางดึกด้วยแล้ว เมื่อมีลมหอบหนึ่งพัดผ่านมากะทันหันเลยเหมือนลมแฝงพลังลบก็ไม่ปาน เดิมทีเขาไม่เชื่อเื่ผีสางเทวดา แต่สิ่งใดก็ไม่สู้เท่าเห็นกับตาตัวเอง ดังนั้นเขาจึงพานเชื่อไปด้วย ไม่อย่างนั้นตัวอักษรจะอันตรธานหายไปเฉยๆ ได้อย่างไร?
“เป็... เป็พวกเราตาฝาด มองผิดไปเองหรือเปล่า บางทีบนตัวเขาคงไม่มีตัวอักษร ‘สี่’ ั้แ่ต้นก็ได้นะ?”
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง กลัวไปรบกวนผีสางแถวนี้เข้า เธอจ้องสามีตรงๆ เขาเองก็สบตาภรรยาอยู่พักหนึ่งก่อนละสายตาออก เขารู้ว่าตัวเองพูดจาโง่ๆ ลงไป ตัวอักษรนั่นเขาก็เห็นกับตา ย่อมไม่มีทางตาฝาดอยู่แล้ว
เสียงลม เสียงใบไม้ เสียงจิ้งหรีดเรไ รและเสียงนกร้องเลือนหายไปทั้งหมดชั่วขณะหนึ่ง ยาเส้นในบ้องยาสูบของลุงใหญ่เจิ้งเผาไหม้จุดสุดท้ายจนสิ้น ประกายไฟเล็กจ้อยมอดดับลง โลกพลันเงียบสงัด บรรยากาศมืดครึ้มน่าสะพรึงกลัว
“พ่อ คุณว่าเราควรเชิญแม่หมอมาไล่ผีให้หู่จื่อไหม?” เสียงป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งดังทำลายความเงียบอันแสนวังเวง
ลุงใหญ่เจิ้งเลียริมฝีปากแห้งผาก ในการขับเคลื่อนหลายปีที่ผ่านมามักใช้สโลแกนเรียกร้องให้กำจัดสี่สิ่งเก่า [1] อยู่ตลอด ไฉนจะมีใครกล้าเชิญแม่หมอมาไล่ผีอย่างโจ่งแจ้งอยู่อีก? นอกจากนี้ ต่อให้หาแม่หมอเจอ
แต่หากคนอื่นรู้เข้าว่าครอบครัวพวกเขายังหลงงมงายความเชื่อสมัยยุคศักดินา
พวกเขาทั้งครอบครัวจะโดนลากออกไปหรือเปล่า?
เขาอายุมากแล้ว ทนขายหน้าคนอื่นไม่ได้หรอก!
“เชิญแม่หมอเพื่ออะไร!” ลุงใหญ่เจิ้งสะบัดแขนแล้วจ้องป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งเขม็ง
“เธอกลัวว่าบ้านเราจะขายหน้าไม่พอหรือไง!”
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งวิตกจนน้ำตานองหน้า “งั้นหู่จื่อจะทำยังไงล่ะ!”
เชิงอรรถ
[1] สี่สิ่งเก่า หมายถึง สโลแกนในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมที่ปลุกเร้าให้บรรดายุวชนเรดการ์ดลุกฮือขึ้นมาพิฆาตสี่สิ่งเก่า ได้แก่ ประเพณีเก่า วัฒนธรรมเก่า นิสัยเก่าและความคิดเก่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้