“ขั้นจินตันระดับกลาง!ระดับพลังยุทธ์ของเ้าคือขั้นจินตันระดับกลางอย่างนั้นหรือ! ” หลังจากอวี๋เคอกล่าวคำสัญญาเสร็จสรรพก็ได้ยินเสียงะโที่ดังจนเกินจริงของศิษย์ชุดขาวผู้นั้นซึ่งกำลังคัดเลือกศิษย์อยู่เมื่อครู่ทำให้ทุกคนที่เข้าแถวอยู่รีบหันไปมอง แต่กลับเห็นผลึกศิลาก้อนนั้นกำลังเปล่งรัศมีแสงเจิดจ้าจนขั้นสุดและมีสัญญาณรางๆ ว่ากำลังจะแตกออกเป็เสี่ยงๆส่วนมือข้างหนึ่งที่ประทับอยู่้ากลับเป็ของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังซ่งฉียวนเมื่อครู่
เด็กหนุ่มผู้นั้นชักมือกลับ แล้วลูบแขนเสื้อไปมาก่อนจะยิ้มให้กับศิษย์ชุดขาวที่กำลังตกตะลึงจนตาถลนอ้าปากค้าง แล้วเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นก็นับว่าข้าผ่านแล้วใช่หรือไม่?”
“ผ่านแล้ว ผ่านแล้ว!ก็แค่ต้องเขียนอายุกับชื่อแซ่เท่านั้น”
เด็กหนุ่มผู้นี้ยังไม่ทันรอให้ศิษย์ผู้นั้นเอ่ยถามก็นำมือวางลงไปตอนนี้เขาต้องบอกชื่อของเขาแล้ว
ดวงตาเฉี่ยวราวหงส์ของเด็กหนุ่มหรี่โค้งอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นดวงตาก็ฉายแววซุกซนออกมาจากภายในแล้วตอบกลับไปว่า “เฉิงเซียงขอรับ เพิ่งจะอายุสิบสี่ปีไปเมื่อเดือนสองขอรับ”
อวี๋เคอได้ยินแล้วก็อึ้งไป จากนั้นจึงมองไปที่เด็กหนุ่มผู้นั้นด้วยความประหลาดใจแล้วเกิดสับสนในความคิดขึ้นมาชั่วขณะ
เอาล่ะ ตอนนี้ตัวละครสำคัญอีกตัวได้ปรากฏขึ้นมาแล้วในอีกสิบกว่าปีข้างหน้าเมื่อโลกผู้ฝึกตนได้ยินชื่อเฉิงเซียงชื่อนี้จะต้องสั่นะเืเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งปฐีเพราะเขาคือผู้าุโอันดับหนึ่งของสำนักฉิงชาง และเป็มือขวาของซ่งฉียวนผู้ที่ถูกขนานนามว่า “จิ้งจอกหน้ายิ้ม”
เรียกได้ว่าเขาเป็ศิษย์พี่ใหญ่ร่วมรุ่นของซ่งฉียวนแต่กลับไม่มีมาดความเป็ศิษย์พี่ใหญ่เลยแม้แต่น้อยเพราะเขาเป็มิตรกับทุกคนอย่างมากมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซ่งฉียวนที่มีนิสัยคล้ายกันในวันข้างหน้าพวกเขาจะกลายมาเป็สหายคนสนิทที่ดื่มเหล้าเที่ยวเตร่ไปด้วยกัน
แต่ฉายาของเขาไม่ได้รับมาเพราะโชคช่วย ใครๆ ต่างรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มที่ดูจริงใจของคนผู้นี้มีเนื้อแท้อันเ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอกซ่อนอยู่เพราะในาของเซียนและปีศาจในอนาคต ตัวเขามีส่วนอย่างมากในการช่วยซ่งฉียวนบุกทำลายแดนปีศาจซึ่งเทียบเท่ากับกุนซือของทั่วทั้งแดน์ ทำให้เผ่าปีศาจได้รับความทุกข์ทรมานไปไม่น้อย
อวี๋เคอมองไปที่เด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีที่กำลังยิ้มจนตาหยีผู้นี้แล้วรู้สึกขนหัวลุกอย่างไม่ทราบสาเหตุต่อไปตนเองจะต้องหลบเลี่ยงเขาให้ดีเสียหน่อยแล้ว ห้ามทำตัวมีพิรุธอะไรให้ถูกเขาจับได้เป็อันขาด
ซ่งฉียวนที่เดิมทีจิตใจไม่เป็สุขเพราะต้องห่างจากอวี๋เคอเป็ทุนเดิมอยู่แล้วเมื่อเวลานี้เห็นอาจารย์มองคนอื่นด้วยสายตาตกตะลึงเช่นนั้น แววตาก็หม่นหมองลงทันทีความรู้สึกเ็ปแพร่กระจายไปทั่วหัวใจ เขาขยับเข้าไปใกล้อวี๋เคอแล้วกอดเขาเอาไว้เหมือนตอนอายุสิบขวบที่อยู่ในถ้ำเฉวียงฉี ก่อนจะถูไถใบหน้ากับหน้าอกของอวี๋เคอไปมาโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง “ท่านอาจารย์ข้าจะรอท่านนะขอรับ”
อวี๋เคอตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งซ่งฉียวนผละออกจากอ้อมกอดของเขาแล้วเดินเข้าประตูสำนักไปโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมามองเขาไม่ได้ตบหลังซ่งฉียวนเหมือนเมื่อก่อนเลยด้วยซ้ำ
“น้องชาย เ้ารอข้าสักประเดี๋ยวสิพวกเราเดินขึ้นไปด้วยกันนะ” เฉิงเซียงมองอวี๋เคอแวบหนึ่งอย่างไม่เข้าใจเหตุผลก่อนจะหันหลังไล่ตามซ่งฉียวนไป ปากก็เอ่ยเรียกด้วยความเป็มิตรอย่างชัดเจน
เฮ้อ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ หากตัวข้าเองสามารถกอดผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตนเองได้เหมือนกับซ่งฉียวนผู้นั้นบ้างก็คงจะดี
อวี๋เคอมองภาพแผ่นหลังของทั้งสองคนค่อยๆหายลับไปจากสายตาของตัวเอง แล้วถอนหายใจออกมาจนในที่สุดก็เดินไปยังทางตรงกันข้ามกับประตูสำนัก
เมื่อลองคำนวณวันดูแล้วระยะเวลาหลังจากที่เขามอบหมายงานให้กับหวังตัวจวี๋ในวันนั้น ก็ผ่านไปได้สิบห้าวันพอดีตอนนี้หวังตัวจวี๋น่าจะรู้ว่าเขามาแล้วไม่แน่ว่าอาจจะกำลังซ่อนตัวแล้วหัวเราะเยาะเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็ได้เขามักพูดเสมอว่าละครที่กำลังเล่นอยู่นั้นคือการทำเพื่อผลักดันเนื้อเื่ให้ดำเนินไปตอนนี้ก็ได้ส่งซ่งฉียวนไปจริงๆ แล้ว แต่อวี๋เคอกลับรู้สึกไม่สบายใจเสียอย่างนั้น
มันเป็ความไม่สบายใจที่รู้สึกกดดันอยู่นิดๆที่ไม่ได้รุนแรงแต่ก็รู้สึกอึดอัด
เขารีบสาวเท้าหนีลงจากูเาไปยังสถานที่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่งแล้วกล่าวอย่างเหลืออดว่า “หวังตัวจวี๋ เมื่อครู่เ้าใช้จิตสำนึกลากผ่านบริเวณประตูสำนักอย่างเหิมเกริมไม่กลัวถูกตาแก่ที่ซ่อนตัวอยู่ในูเาฉิงชางพวกนั้นหาตัวพบหรือ? ถึงตอนนั้นแม้แต่ข้าผู้นี้ก็ไม่สามารถปกป้องเ้าได้เลยนะ”
ทันทีที่อวี๋เคอพูดจบก็เห็นหวังตัวจวี๋ะโลงมาจากต้นไม้ใหญ่ แล้วยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างมั่นคงพร้อมกับยิ้มอย่างมีเจตนาอันชั่วร้าย “นายท่านรู้สึกเจ็บใจใช่หรือไม่ขอรับ? เสียดายที่ไม่ได้สุขสมก่อนที่เ้าเด็กผีนั่นจะไปหรือขอรับ? ”
อวี๋เคอชำเลืองมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างเ็าว่า “จงสร้างคุณธรรมให้กับปากของเ้าเสียบ้าง หากเ้าพูดเื่ทำนองนี้ขึ้นมาอีกเชื่อหรือไม่ว่าวันนี้ข้าผู้นี้จะเป็คนส่งเ้าไปที่สำนักฉิงชางให้เ้าได้ััรสชาติของการถูกไล่ล่าเสียหน่อย”
“โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ยทำแบบนี้ไม่ได้นะขอรับ! ข้าทำผิดจนไม่น่าให้อภัยเลยหรือนายท่าน? อาชิงของข้ายังรอที่จะท่องแดน์กับข้าอยู่นะ! จะให้สำนักฉิงชางแห่งนี้มารบกวนความสุขไม่ได้นะขอรับ!”
“ทางฝั่งอาจิ่วเป็อย่างไรบ้าง? ”
หวังตัวจวี๋เห็นว่าเขาไม่ได้เอาความอะไรแล้วจริงๆก็ถือว่าเบาใจได้แล้ว เมื่อครู่สีหน้าของอวี๋เคอนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีด ตัวเขาไม่ได้เห็นท่าทีเ็าแบบนี้ของอวี๋เคอมาสองปีแล้วก็เลยยังไม่คุ้นชินไปชั่วครู่ เขากลัวจนไม่กล้าล้อเล่นอีกจึงรีบตอบกลับไปอย่างจริงจังว่า “ทางเผ่าหงส์เพลิงไม่ยอมปล่อยคนของเขาขอรับบอกว่าตระกูลหงส์เพลิงผู้สูงศักดิ์ได้เป็พาหนะให้กับจอมปีศาจมาหลายปีถึงเพียงนี้แล้วมันเป็เื่ที่น่าขายหน้ามาก นอกจากนี้เผ่าตระกูลสัตว์เทพยังยืนยันที่จะเป็กลางมาโดยตลอดแต่ตอนนี้กลับดูเหมือนจะเอนเอียงมาทางโลกปีศาจไปแล้ว จึงกลัวว่าจะถูกผู้คนครหาเอาได้ขอรับ”
ตอนแรกอวี๋เคอก็ไม่สบอารมณ์อยู่แล้วพอตอนนี้ได้รับข่าวสารนี้มาก็ยิ่งรู้สึกว่าโทสะเริ่มจะปะทุขึ้นมาทีละนิดๆ อีกทั้งน้ำเสียงที่พูดออกมาก็ดูราวกับถูกเค้นผ่านลอดไรฟันที่แฝงไว้ด้วยอารมณ์อันเดือดดาล “ที่แท้การชุมนุมของสัตว์เทพก็เป็แค่เื่บังหน้าจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาคือ้าที่จะรั้งอาจิ่วเอาไว้ช่างเป็การวางแผนที่ดีจริงๆ! ”
เมื่อสิ้นคำนั้น อวี๋เค่อก็นำนิ้วแนบประสานกันเพื่อร่ายเวทแล้วเหาะขึ้นไปบนน่านฟ้า ก่อนจะพุ่งทะลุอากาศไปอย่างรวดเร็วจุดหมายแห่งไฟโทสะของเขาก็คือป่าภูตอสูร
“นายท่านนี่ท่านไม่พูดไม่จาแล้วก็เหาะหนีไปเลย! แล้วต้องรีบถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ” หวังตัวจวี๋ทำหน้ามึนงง แล้วรีบตามไป เพราะเื่ทะเลาะวิวาทอย่างไรเสียจะขาดเขาไปไม่ได้เด็ดขาด
ไม่นานเฉิงเซียงก็ไล่ตามซ่งฉียวนจนทันแล้ววางแขนลงบนไหล่ของเขาอย่างเป็มิตร แต่กลับถูกซ่งฉียวนเบี่ยงตัวหลบอย่างรังเกียจซ้ำยังเร่งฝีเท้าหวังจะสลัดลูกอมหนังวัว [1] ที่ติดอยู่ออกไป
ทว่าเฉิงเซียงเป็คนประเภทที่ยิ่งรังเกียจเขาก็ยิ่งฮึกเหิมซ่งฉียวนเดินเร็วจนทำให้เขาต้องเร่งฝีเท้าเพิ่มมากขึ้นเพื่อตามให้ทันปากก็พลางพ่นคำถามหลายคำตามกันออกมาติดๆ “น้องชายฉียวน คนเมื่อครู่ผู้นั้นเป็อะไรกับเ้าหรือ? ทำไมเ้าถึงได้กอดเขาเล่า? นี่ นี่? เ้าอายุยังน้อยนิดแต่ก็มีระดับวิชายุทธ์ที่สูงเช่นนี้แล้วเ้าเป็นายน้อยมาจากตระกูลใดหรือไม่? เ้ารู้จักผู้นำตระกูลเฉิงหรือไม่? ข้าถามคำถามเ้าตั้งมากมาย เ้าก็ตอบข้ามาสักนิดเถอะน่า! ”
ซ่งฉียวนกำลังเร่งขึ้นเขาเพราะอยากจะผ่านบททดสอบอันไร้สาระเหล่านี้ไปพบท่านอาจารย์โดยเร็วที่สุดเดิมทีก็เป็กังวลมากอยู่แล้ว แต่คนที่อยู่ข้างๆผู้นี้กลับก่อกวนเขาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ช่างน่ารำคาญเสียจริง เขากำหมัดแน่นด้วยความเหลืออดแล้วหยุดฝีเท้าลง
เฉิงเซียงเห็นเขาหยุดฝีเท้าและไม่เดินต่อไปก็เหลือบมองซ่งฉียวนด้วยสายตาเว้าวอน เห็นได้ชัดว่ากำลังรอให้เขาตอบคำถามไม่รู้ว่าเฉิงเซียงไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งทำเป็ไม่รู้กันแน่ว่าทำให้ซ่งฉียวนรำคาญจนโมโหเข้าแล้ว
“หากเ้ายังเอาแต่ถามคำถามต่อไปไม่ยอมหยุดก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน” แววตาของซ่งฉียวนเย็นเยือกพลังปราณแผ่กระจายออกมาในทันทีพร้อมกับเสียงคำรามอันดุร้ายของเฉวียงฉีที่ดังแว่วเข้ามาอย่างแ่เบาต่อให้เป็ผู้ที่มีระดับวิชายุทธ์ขั้นจินตันแล้วก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้อยู่ดี
เฉิงเซียงอึ้งไปชั่วขณะเพราะรู้สึกถึงการสั่นะเืจากส่วนลึกของจิติญญาที่ก่อตัวขึ้นมาใน่เวลาหนึ่งนี่คือการบีบตัวของเส้นเือย่างนั้นหรือ!
เขาหรี่ดวงตาเรียวเฉี่ยวคู่งามอยู่อย่างนั้น สีหน้าที่แสดงออกมานั้นยากจะคาดเดาเขาเป็ภูตจิ้งจอกที่แปลงกายมา พลังปราณของฉียวนผู้นี้กลับสามารถทำให้ตนเองเกิดอาการเส้นเืบีบตัวได้นับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ตอนนี้เริ่มน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้วเขาเองก็ยิ่งอยากรู้ความเป็มาของคนตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เขาก็เดินตามต่อไป โดยตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องขุดรากถอนโคนพร้อมทั้งหาทางไขข้อข้องใจในทุกเื่ที่รู้สึกสงสัยให้ได้ทว่ากลับเห็นซ่งฉียวนที่สบถคำหยาบคายตรงหน้าเดินห่างออกไปไกลแล้ว
เขาอยากจะไล่ตามไปแต่ทันใดนั้นกลับพบว่ามีหมอกหนาปกคลุมไปทั่วบริเวณซ้ำยังหนาขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย จากนั้นไม่นานก็กลืนเอาร่างของซ่งฉียวนเข้าไป
ในใจของเฉิงเซียงรู้สึกแปลกๆจึงร่ายเวทหวังจะสลายหมอกออกไป แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังเฉิงเซียงขมวดคิ้ว แล้วหันกลับไปถามว่า “ใครกันที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างหลัง? ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
จากนั้นผู้มาใหม่ก็ค่อยๆ เดินออกมาจากกลุ่มหมอกแต่ใบหน้านั้นกลับทำให้เฉิงเซียงต้องตะลึงงันอยู่กับที่ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะพึมพำเรียกออกมา “ผู้มีพระคุณ”
ยามนี้ซ่งฉียวนก็กำลังเผชิญกับสถานการณ์ในแบบเดียวกันหมอกหนาทึบเสียจนสลายออกไปไม่ได้ สิ่งที่สายตาสามารถมองเห็นในตอนนี้คือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลนไปทุกหนแห่งเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงรู้ว่านี่อาจจะเป็บททดสอบที่ศิษย์ชุดขาวผู้นั้นพูดถึงจึงรีบตื่นตัวขั้นสุดพร้อมกับเฝ้าระวังสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจากรอบด้าน ส่วนมือก็เปลี่ยนมาวางบนกระบี่ที่อยู่ตรงเอว
แต่หลังจากที่เขาทำสิ่งเหล่านี้ไปเสร็จสรรพกลับเห็นกลุ่มหมอกค่อยๆ เคลื่อนตัวถอยห่างออกไปเองเสียอย่างนั้นเมื่อห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตรก็ปรากฏเป็ประตูสำนักอันกว้างใหญ่ของสำนักฉิงชางด้านหน้าประตูทั้งสองข้างมีอสูรกิเลนสองหัวความสูงหลายสิบเมตรที่ถูกแกะสลักราวกับมีชีวิตกำลังหมอบอยู่ส่วนบนกำแพงหินที่มีความสูงร้อยเมตรตรงหน้าประตูก็ได้สลักตัวอักษรตัวใหญ่อันทรงพลังอำนาจเรียงกันไว้ห้าตัวว่า “สำนักกระบี่ฉิงชาง”
ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถดึงดูดซ่งฉียวนเอาไว้ได้เพราะสายตาของเขากำลังจับจ้องไปที่คนผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ใต้กำแพงหินของประตูสำนักคนผู้นั้นสวมอาภรณ์แบบเรียบง่าย หน้ากากสีแดงเข้มไม่ได้สะท้อนแสงเจิดจ้าเลยด้วยซ้ำแต่กลับทำให้ซ่งฉียวนตาแดงก่ำขึ้นมาในทันใด
เขาคลายมือออกจากด้ามกระบี่ และวิ่งเหยาะๆไปแทบจะตลอดทาง จนเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าของอวี๋เคอ คำที่พูดออกมาจากปากก็ฟังดูตะกุกตะกักไปหมด “ท่านอาจารย์ ท่านกำลังรอข้าอยู่จริงๆด้วย ดีจังเลยขอรับ ท่านมาแล้วจริงๆ ...”
มุมปากของอวี๋เคอยกขึ้นยิ้มอยู่เช่นนั้นก่อนจะเอื้อมมือออกไปลูบผมของซ่งฉียวน “ในเมื่ออาจารย์รับปากเ้าแล้ว ก็จะไม่ผิดคำพูด”
เมื่อสิ้นคำนั้นอวี๋เคอก็ก้าวเข้าไปหาซ่งฉียวนหนึ่งก้าวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวแล้วขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีก ก่อนจะโน้มตัวลงมาจุมพิตบนริมฝีปากของเขา ััอันอ่อนนุ่มที่กดทับลงบนริมฝีปากทำให้ร่างกายของซ่งฉียวนแข็งทื่ออยู่กับที่ไปในทันที
อาจารย์ถึงกับ...?!
เมื่อเทียบกับความตกตะลึงแล้วซ่งฉียวนรู้สึกว่าสิ่งที่แปลกกว่านั้นก็คือตัวเองไม่ได้มีความรู้สึกต่อต้านต่อจูบนี้เลยแม้แต่น้อยทว่ากลับชื่นชอบมันมาก ราวกับว่าเป็ความรู้สึกที่ตัวเขารอคอยมาแสนนาน...
“หลับตาสิ” น้ำเสียงอันเ็าของอวี๋เคอดังเข้าไปในโสตประสาทของซ่งฉียวนอย่างชัดเจนเขาจึงหลับตาลงราวกับถูกสะกดอย่างช่วยไม่ได้
เพียงชั่วพริบตาที่ซ่งฉียวนหลับตาลงภาพฉากรอบด้านก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ประตูบานมหึมาของสำนักฉิงชางสลายหายไปในทันทีแต่รอบด้านยังคงมีหมอกหนาทึบปกคลุมอยู่ ส่วนบริเวณพื้นดินที่ “อวี๋เคอ” ผู้นั้นและซ่งฉียวนกำลังยืนอยู่มีเถาวัลย์เส้นยาวผุดขึ้นมาจนในที่สุดก็ขยายตัวสูงขึ้นเลยศีรษะของทั้งสองคน หมายจะขังพวกเขาเอาไว้ข้างใน!
ทว่าเพียงชั่วพริบตา ซ่งฉียวนที่กอดกันอยู่กับ “อวี๋เคอ” ก่อนหน้าก็พลันลืมตาขึ้น แล้วชักกระบี่ที่เอวออกมาปราณกระบี่อันคมกริบหลายเส้นเฉือนผ่านเถาวัลย์เ่าั้จนสลายออกจากนั้นจึงมองไปยัง “อวี๋เคอ” อีกครั้ง ทว่ากลับกลายเป็กลุ่มหมอกกลุ่มหนึ่งไปแล้ว และสลายหายไปในอากาศ
เถาวัลย์ที่ถูกเฉือนพังทลายออก ส่วนกลุ่มหมอกก็สลายหายไปเช่นกันจากนั้นทิวทัศน์โดยรอบก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ทว่าดวงตาของซ่งฉียวนกลับหม่นหมองลง
หากทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา... มันจะดีแค่ไหนกันนะ
“อ้าว? บังเอิญจังน้องชายฉียวน เ้าก็ออกมาแล้วเหมือนกันหรือ! ” ทันทีที่เฉิงเซียงหลุดพ้นจากภาพลวงตามาได้ก็เห็นซ่งฉียวนยืนอยู่ในจุดที่ไม่ไกลจากตัวเอง จึงรีบวิ่งหน้าตั้งเข้าไปหา และกำลังจะเล่าเื่ที่ตัวเองพบเจอมาให้ซ่งฉียวนฟังแต่กลับไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รับน้ำใจ
ซ่งฉียวนเอาแต่เดินมุ่งตรงไปยังประตูสำนักอย่างรวดเร็วแต่ในใจกลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่ตลอดเวลา เขากลัวกลัวเหลือเกินว่าอาจารย์จะไม่อยู่ที่นี่
ภาพลวงตาเหล่านี้ขัดขวางผู้คนไปจำนวนไม่น้อยตอนนี้มีเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูสำนักฉิงชางอยู่ไม่เท่าไรแล้วอย่างมากก็ประมาณยี่สิบคน แม้สีหน้าของพวกเขาจะดูอ่อนไหวไปบ้างแต่สุดท้ายก็รู้สึกดีใจและยินดี แต่สีหน้าอันหม่นหมองของซ่งฉียวนกลับดูโดดเด่นเป็พิเศษในหมู่คนเหล่านี้
ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาหลอกข้า เขาไม่ได้ขึ้นเขามาั้แ่แรกด้วยซ้ำ!
ศิษย์สำนักฝ่ายในที่ยืนอยู่หน้าประตูสำนักฉิงชางจะมาเป็คนนำทางให้กับพวกเขาศิษย์ผู้นั้นมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม ก่อนจะตรวจนับจำนวนศิษย์ที่มาถึงที่นี่อีกครั้งเขาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ยินดีกับพวกเ้าด้วยที่ผ่านการทดสอบของสำนักฉิงชางได้สำเร็จนับแต่นี้ไปพวกเ้าก็จะเป็ศิษย์รุ่นที่ยี่สิบเจ็ดของสำนักฉิงชางตอนนี้ก็ตามข้าเข้าไปในสำนักเพื่อจัดการเื่ที่พักเถิดพรุ่งนี้ค่อยตัดสินใจว่าพวกเ้าจะฝากตัวเป็ศิษย์กับอาจารย์ท่านใด”
“ขอรับ! ” ทุกคนตอบรับโดยพร้อมเพรียงกัน มีเพียงซ่งฉียวนเท่านั้นที่ก้มหน้าลง ไม่มีใครที่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน
เฉิงเซียงเห็นว่าคนอื่นไปกันหมดแล้วแต่ซ่งฉียวนยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน จึงกระทุ้งข้อศอกใส่เขายิกๆ ด้วยเจตนาอันดี “น้องชายฉียวน ไปได้แล้ว...”
ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปี เฉิงเซียงก็จะยังจดจำได้ว่าสีหน้าของซ่งฉียวนในตอนนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใดถึงกับทำให้เขาใจนเสียงหาย
เด็กหนุ่มที่อยู่ภายใต้แสงยามเย็นกำลังทำสีหน้าเหยเก เป็สีหน้าที่เหมือนกำลังจะร้องไห้ในวินาทีต่อมาอย่างเห็นได้ชัดทว่ากลับเค้นเสียงหัวเราะออกมา หัวเราะในแบบที่ไม่น่าฟังเป็ที่สุด “สุดท้ายเ้าก็ยังเสียเขาไปอยู่ดี”
......
เชิงอรรถ
[1] ลูกอมหนังวัว หมายถึงสิ่งที่เกาะติดอย่างเหนียวหนึบ