ในโลกภพจิตัไม่สงบสุขนัก
ในที่สุดการต่อสู้ครั้งที่สิบเอ็ดของหลัวเลี่ยก็ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากคนในดินแดนเหยียนหวงที่อยู่ในโลกภพจิตั
ประการแรกคืออายุ
อายุของคนมักจะหมายถึงการเติบโตในอนาคต แม้ว่าหลายๆ คนจะเป็กลุ่มที่ผลิดอกออกผลช้า แต่พวกเขามีส่วนน้อย และยัง้าการสนับสนุนอีกมาก
เมื่อเข้าสู่สนามประลองัแล้ว ทุกคน ทุกวัย ต่างก็สามารถแสดงพลังออกมาให้คนอื่นเห็นได้
ประการที่สองคือการเรียนรู้ที่น่าเหลือเชื่อ
สามารถทำให้ผู้สร้างทักษะหมัดพญาัประจัญบาน และยังเป็หนึ่งในสี่นายพลที่ยิ่งใหญ่ของจตุรสมุทรแห่งเผ่าั เอ่ยว่าตัวเขาสร้างมันขึ้นมาเอง หรือคนผู้นั้นสร้างมันขึ้นมา การเรียนรู้เช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกวรยุทธ์ทั้งหลายจิตใจสั่นไหว
และเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดิน
การฝึกวรยุทธ์ระดับที่ห้าในวัยสิบหกปี และสามารถเข้าใจเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดิน สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นหากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แม้ว่าปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จะกล่าวเช่นนั้นก็มีน้อยคนนักที่จะเชื่อ นั่นเป็สิ่งที่แม้แต่อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ทั้งสองคน ซึ่งได้รับการยอมรับว่ายอดเยี่ยมที่สุดมานับพันปียังต้องอับอาย
ด้วยเหตุผลสามประการนี้ ใครจะไม่จิตใจสั่นไหวบ้าง
ใครไม่อยากเอาชนะเขา เพราะมองอย่างไร คนคนนี้ก็มีโอกาสเป็จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้ หรือแม้จะไม่สามารถเป็จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังมีความหวังที่เขาจะได้เป็บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ใครจะไม่สั่นคลอน
ส่งผลให้ข่าวถูกกระจายไปอย่างรวดเร็ว และเครือข่ายข่าวกรองของกองกำลังต่างๆ ก็เริ่มค้นหา ‘มีัอยู่ในเป้า’
แน่นอน กลุ่มกองกำลังทั้งหลายมีความเข้าใจที่ไม่จำเป็ต้องพูด นั่นคือ...หากไม่ได้ตัวมาร่วมกองกำลังเดียวกันก็ควรกำจัดทิ้งเสีย
ความจริงนั้นโหดร้ายมาก เพราะเราไม่สามารถปล่อยให้ศัตรูของตัวเองเติบโตขึ้นด้วยศักยภาพที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ หากปล่อยไว้มีแต่จะย้อนกลับมาทำลายตนเอง นี่ก็คือกฎของการอยู่รอด
ภายในห้องรับรองพิเศษของสนามประลองั ซานต้าวจงได้กล่าวคำอำลากับหลงโต่วไห่
“ท่านรีบร้อนเกินไปหรือเปล่า” หลงโต่วไห่อ่านความคิดของซานต้าวจงออก
“ฮ่าๆ ไม่รีบร้อนไม่ได้หรอก พร์แบบนี้ นอกจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผู้อื่นจะไม่สนใจได้อย่างไร” ซานต้าวจงยิ้ม และพูดว่า “พี่หลง ข้าขอตัวลาก่อน หากท่านมีเวลาก็ไปหาข้าที่จวนตระกูลซานได้”
ซานต้าวจงหายตัวไปในพริบตา เขาออกจากโลกภพจิตั แล้วไปหาผู้นำแห่งตระกูลซานนามว่าซานอีเชิงด้วยตนเอง
มุมปากหลงโต่วไห่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “พวกเ้าทั้งหมดช้ากว่าเผ่าัของข้าไปหนึ่งก้าวแล้ว” เขาหันหลังกลับ แล้วหายตัวไปจากห้องรับรองพิเศษ ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งตรงลานที่พำนักขององค์หญิงในวังซึ่งอยู่ในโลกภพจิตั และกล่าวขอเข้าพบนาง
หลงเยียนหรันไม่ได้ออกมาพบ แต่ส่งสาวใช้ออกมาแทน
หลังจากสาวใช้ทำความเคารพ นางก็กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ องค์หญิงมีรับสั่งว่า ถ้าจะมาถามว่าใครคือ ‘มีัอยู่ในเป้า’ ก็อย่าเสียเวลาเลย เพราะในตอนที่องค์หญิงนำหยกเชื่อมิญญาระดับสูงไปให้คนอื่นนั้น มีข้อตกลงบางอย่างที่รวมถึงคำสาบาน ว่าห้ามเปิดเผยว่าใครคือ ‘มีัอยู่ในเป้า’ โดยเด็ดขาด และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าใครเป็คนขอหยกเชื่อมิญญาระดับสูงไป ดังนั้นจึงเป็ไปไม่ได้ที่จะสืบจากพระองค์ว่า ‘มีัอยู่ในเป้า’ นั้นเป็ใคร”
วันต่อมา ทุกฝ่ายก็สืบข่าวความเคลื่อนไหวจากทุกทิศทาง
แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือไม่เจออะไรเลย
‘มีัอยู่ในเป้า’ ราวกับว่าไม่มีอยู่จริง เขาไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลย
มีเพียงตำนานเกี่ยวกับ ‘มีัอยู่ในเป้า’ ที่แพร่กระจายออกไปมากขึ้น เพราะความลึกลับในตัวตนของเขากระตุ้นให้ผู้คน้าค้นหา
หลัวเลี่ยไม่ทราบว่าตัวตน ‘มีัอยู่ในเป้า’ ของเขากำลังโด่งดัง
ตอนนี้เขากำลังแสดงความสามารถอันยิ่งใหญ่ของตนเองให้เสวี่ยปิงหนิงดู
เมื่อเทียบกับหลิวหงเหยียนที่มักไม่ว่าง เขารู้สึกสนิทกับเสวี่ยปิงหนิงมากกว่า ยามใดที่เขา้าความช่วยเหลือ นางจะปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เสมอ เหมือนตอนที่เขาเข้าไปในตราัหยกเชื่อมิญญา นางก็คอยคุ้มกันให้อย่างเงียบๆ ไม่ให้ใครเข้ามารบกวนเขาได้ หรือตอนที่ว่าง นางก็จะเป็ผู้ฟังเงียบๆ ปล่อยให้หลัวเลี่ยพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา และนั่นก็เป็วิธีที่ดีที่สุดในการระบายความรู้สึกคิดถึงบ้าน
ครั้งนี้เสวี่ยปิงหนิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป เมื่อเห็นขวดเืัสองขวด
เืัที่ได้จากการชนะองค์หญิงสามแห่งเผ่าั
เสวี่ยปิงหนิงใช้เวลานานพอสมควรถึงจะหายจากอาการใ สิ่งแรกที่นางทำคือนำหยกเชื่อมิญญาของนางออกมา จากนั้นก็เข้าสู่โลกแห่งภพจิตั และไม่นานนางก็กลับออกมา ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ตอนนี้ผู้คนมากมายกำลังค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเ้าอยู่ เ้าควรรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาจะทำเมื่อไม่สามารถนำเ้ามาเป็พวกได้ นั่นคือพวกเขาจะฆ่าเ้าทิ้งเสีย ดังนั้นนับจากนี้ต่อไป นอกจากเ้า ข้า และหงเหยียนแล้ว เ้าห้ามให้ผู้ใดรู้อีกว่า ‘มีัอยู่ในเป้า’ คือเ้า”
หลัวเลี่ยไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งนี้ในตอนแรก เป็เพราะเขายังไม่คุ้นชินว่าการฆ่าคนในดินแดนเหยียนหวงนั้นเป็เื่ปกติ ดังนั้นหลังจากที่ได้รับการตักเตือน เขาก็คิดได้ว่า ทำไมหลิวหงเหยียนจึงออกแบบให้เขาปกปิดใบหน้าในโลกแห่งภพจิตั
“วางใจเถิด ัของข้าถูกซ่อนไว้ในเป้าเสมอ ข้าไม่ใช่คนเปิดเผยขนาดนั้น” หลัวเลี่ยหัวเราะ
สายตาของเสวี่ยปิงหนิงเลื่อนลงไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ และทันทีที่รู้ตัว นางก็รีบดึงสายตากลับมา ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกหลัวเลี่ยหนึ่งครั้ง “เ้านี่ นิสัยแย่ลงเรื่อยๆ จริงๆ”
หลัวเลี่ยหัวเราะออกมาเสียงดัง
เสียงหัวเราะนั้นทำให้ใบหน้าของเสวี่ยปิงหนิงแดงก่ำ นางยื่นมือออกไปเพื่อเอาเืัระดับวังชะตา แล้วพูดว่า “ยังหัวเราะอยู่อีก ข้าจะเก็บสิ่งนี้เอง”
“เืัระดับทลายยุทธ์นี้ ท่านเอาไปบ้างก็ได้ มันเยอะ ข้าใช้ไม่หมดหรอก” หลัวเลี่ยกล่าว
“เ้าคิดว่าข้าไม่อยากได้หรือ” เสวี่ยปิงหนิงกล่าว “ข้าเป็นักเวท แต่เดิมร่างกายของข้าก็อ่อนแออยู่แล้ว แม้แต่เืัระดับวังชะตานี้ ใช้เพียงเล็กน้อยก็สามารถเสริมพลังร่างกายของข้าได้แล้ว และสำหรับหงเหยียน แม้นางเป็ปรมาจารย์วรยุทธ์ และฝึกฝนได้ระดับสูงแล้ว แต่นางก็ยังไม่ถึงระดับหยินหยาง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถทนต่อเืัในระดับทลายยุทธ์ได้ กล่าวคือ ร่างกายที่ยืดหยุ่นด้านพลังของเ้าที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์เท่านั้นที่สามารถใช้มันได้”
หลัวเลี่ยครุ่นคิดเกี่ยวกับเื่นี้ และพบว่ามันเป็ความจริง
ตามปกติ หากไปถึงระดับหยินหยางแล้ว และฝึกฝนได้ถึงจุดสูงสุดของระดับหยินหยาง ก็จะสามารถใช้เืัระดับทลายยุทธ์นี้เป็ตัวช่วยในการเลื่อนระดับไปถึงระดับแก่น์ได้
จะเห็นได้ว่า สมรรถภาพทางกายของหลัวเลี่ยนั้นแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ระดับหยินหยางส่วนใหญ่เสียอีก ทั้งที่ตอนนี้เขาอยู่เพียงระดับที่ห้าของระดับฝึกตน นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากเคล็ดวิชาั์ ซึ่งไม่แสดงพลังอย่างชัดเจนในเวลาปกติ แต่จะสำแดงฤทธิ์ให้เห็นใน่เวลาวิกฤต
เสวี่ยปิงหนิงกลับไปฝึกฝนแล้วเช่นกัน
นาง้าใช้เืของัในระดับวังชะตา เพื่อชำระล้างร่างกายของนาง สำหรับนักเวทนั้นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดก็คือร่างกาย และวิธีที่ดีที่สุดคือใช้ทางลัดนี้เพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น
หลัวเลี่ยเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาไปหาฉินจื้อและเหยาเฟิง พวกเขายังคงหมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจเสาต้นนั้น ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงเดินเลยไปยังหอรวบรวมศิลปะการต่อสู้
มีหนังสือเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้หลายเล่มในหอรวบรวมศิลปะการต่อสู้แห่งนี้ ที่นี่ซับซ้อนมาก และหนังสือทั้งหมดที่รวบรวมโดยราชันผู้พิชิต มีมากกว่าหนังสือสะสมของราชวงศ์เสียอีก
หลัวเลี่ยค้นหาหนังสือพื้นฐานเกี่ยวกับเืั วิธีการใช้ และการใช้เืัแบบต่างๆ ที่นี่หนังสือเกือบทุกเล่มมีข้อความจากราชันผู้พิชิตที่เขียนแนะนำและวิธีการแก้ไข และมีหนังสืออื่นๆ อีกมากมายเกี่ยวกับเืั
หลังจากอ่านทุกอย่างแล้ว เขาก็รวบรวมความรู้ทุกประเภท และสรุปเนื้อหาที่้า จากนั้นจึงมาที่ห้องโถงด้านนอกของหอรวบรวมศิลปะการต่อสู้ ซึ่งเป็ที่ตั้งของสถานที่ฝึกฝน
เขาปิดประตูหน้าต่าง และห้ามบุคคลภายนอกเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด
จากนั้นเขาก็เอาเืัระดับทลายยุทธ์ออกมา และเริ่มชำระล้างร่างกายของตนเอง