ในวันหยุดพักผ่อน สุดท้ายหยางหย่งหงก็ไม่ได้กลับบ้าน
ระยะทาง 100 กว่าลี้ ถ้าเป็ในอนาคตจะลำบากอะไร ขับรถเพียงหนึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว
ทว่าปัจจุบันยังไม่มีถนนหนทางที่ดีแบบนั้น ระยะทาง 100 กว่าลี้ หยางหย่งหงต้องใช้เวลาไปกลับหลายชั่วโมง อย่างไรก็ตามเธอเพิ่งจากบ้านไปปักกิ่งเพียงครึ่งเดือน จึงไม่ได้คิดถึงบ้านมากมายขนาดนั้น ห่างจากกองบัญชาการพลปืนใหญ่ไปไม่กี่ลี้มีตลาดนัดในชุมชน หลังเปิดโรงอาบน้ำแล้วก็สามารถอาบน้ำให้ผ่อนคลายได้ จากนั้นเดินเที่ยวตลาดนัดอย่างสดชื่นช่างสุขสำราญใจจริงๆ
ในวันหยุดนี้ สินค้าของร้านค้าภายในค่ายโดนทุกคนแย่งซื้อจนหมดเกลี้ยง
เมื่อเดินซื้อของตามร้านค้าจนหมดแล้ว เหล่านักศึกษาใหม่ก็ได้มาเยือนตลาดนัดซึ่งห่างออกไปไม่กี่ลี้ต่อ ทุกคนต่างหิวโหยตะกละตะกลามถึงขั้นเห็นอะไรก็ซื้ออันนั้น พอเจอของกิน หมาป่าหิวโซฝูงนี้กระทั่งดวงตายังกลายเป็สีเขียว [1] มีแผงขายไก่พะโล้ในตลาด เพิ่งขึ้นจากหม้อหนึ่งตัวก็ถูกชิงไปหนึ่งตัว ต่อมาเ้าของแผงรีบวานคนกลับบ้านไปหาซื้อไก่จากทุกที่มาเชือดเพื่อทำพะโล้ตอนนี้ทันที น้ำซุปยังไม่ทันเข้าเนื้อก็ถูกแย่งซื้อจนหมดเกลี้ยง
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่จำเป็ต้องไปแย่งชิงกับคนอื่น เธอมีโจวเฉิงนี่นา
เอาเป็ว่าทั้งสองคนพบกันในตลาดราวกับองค์กรใต้ดิน โจวเฉิงยื่นของให้เธอ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ยิ้มระรื่นก่อนจะรับไก่พะโล้กลับไป
4 คนกินไก่สามตัว?
ซูจิ้งเผชิญหน้ากับความเย้ายวนของอาหารตรงหน้า ทว่าสมองยังไม่ได้สับสน
“เธอแย่งซื้อมาได้อย่างไร?”
“เธออย่าเพิ่งสนเื่นี้เลย จะกินหรือเปล่า?”
ซูจิ้งฉีกน่องไก่ทันทีโดยไม่พูดอะไรอีก “ลี่ิ่ เสี่ยวเยี่ยน รีบกินเร็ว วันนี้เพื่อนรวยเลี้ยงเรา”
ทั้งสี่คนก้มหน้าก้มตากินอย่างเป็บ้าเป็หลัง ไก่สองตัวลงท้องอย่างง่ายดาย ยังเหลืออีกหนึ่งตัว ซูจิ้งจึงเสนอว่าให้พวกหวงเวยเวยนำกลับไป “เธอซื้อมาเยอะไปแล้ว วางทิ้งไว้ในอากาศแบบนี้ก็จะเสียได้ ให้พวกเวยเวยชิมบ้างดีกว่าไหม?”
ใครจะรังเกียจที่มีเนื้อให้กินเยอะๆ เล่า ความอยากอาหารของผู้คนในยุคนี้มากจนน่าใ กินไก่พะโล้ที่เหลืออีกหนึ่งตัวหมดได้อย่างแน่นอน แต่ถึงซูจิ้งจะสนิทกับเซี่ยเสี่ยวหลานมากเพียงใด เธอก็ยังคงรู้จักความเหมาะสม เซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนซื้อไก่พะโล้มา พวกเธอสามคนจะกินทั้งหมดได้เสียที่ไหน แบ่งให้คนอื่นสักหน่อย ค่อยๆ รื้อคำวิพากษ์วิจารณ์ไร้ที่มาที่ไปพวกนั้นของเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างสันติ
อย่างไรเสียในหลายวันมานี้ เซี่ยเสี่ยวหลานใช้ชีวิตกับนักศึกษาหญิงสาขาสถาปัตยกรรมจนค่อนข้างสนิทสนมกันแล้ว ่นี้ความคิดเห็นของทุกคนที่มีต่อเซี่ยเสี่ยวหลานเปลี่ยนไปเป็ในเชิงบวกทีเดียว
ดังนั้นก็พยายามต่อไป มุ่งมั่นแทรกซึมเป็ส่วนหนึ่งของมวลชนอย่างทั่วถึง และกลายเป็ครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวกันกับทุกคน!
ซูจิ้งเชื่อว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีกำลังพอซื้อไก่พะโล้สิบกว่าตัว
แต่ทำไมต้องซื้อไก่พะโล้สิบกว่าตัวกลับไปเล่า?
เลี้ยงด้วยเจตนาดี แต่อวดโอ้หลังจากกินเสร็จแล้ว! แค่นักศึกษาหญิงหัวชิงกินไก่พะโล้หนึ่งตัวของเซี่ยเสี่ยวหลาน ก็กลายเป็ลูกสมุนให้เซี่ยเสี่ยวหลานได้รึ? เื่ประเภทนี้ ไม่มีทางเกิดขึ้นในหัวชิงอย่างแน่นอน ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานทำเช่นนี้ น่าจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามเสียมากกว่า!
ประธานเซี่ยหน้าขึ้นสีระเรื่อด้วยความอาย ไม่ว่าซูจิ้งจะฉลาดแค่ไหนก็เป็เพียงหญิงสาวอายุ 20 ปี ทว่าเื่ที่แม้แต่ซูจิ้งยังเข้าใจได้ เซี่ยเสี่ยวหลานกลับต้องล้มเหลวก่อนถึงจะเข้าใจ
อันที่จริงเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ไม่เข้าใจ ในชาติก่อนเธอมี่เวลาที่ต้องระมัดระวังเื่เล็กๆ ตั้งมากมาย ทว่าก่อนหน้านี้เธอหาเงินทองได้เป็กอบเป็กำ คิดว่าสามารถประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในยุค 80 ได้ จึงลำพองใจไปหน่อย และไม่เอาใจใส่ในการปฏิบัติต่อโจวเฉิงมากพอ!
“ได้สิซูจิ้ง ฉันรู้ว่าเธอคำนึงถึงประโยชน์ของฉัน!”
เซี่ยเสี่ยวหลานโอบซูจิ้งด้วยความซาบซึ้งใจ
่เวลาขณะศึกษาเล่าเรียนในชาติก่อนของเธอออกจะกระอักกระอ่วน ไม่มีความมั่นใจในการสานสัมพันธ์กับเพื่อนนักศึกษานัก จนกระทั่งพบอุปสรรคนานัปการหลังจากเข้าทำงาน ถึงได้เรียนรู้บางอย่างช้าๆ การหนีออกมาจากแวดวงชนบทนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลาน บนพื้นที่ของหัวชิงนี้ ผู้คนภายในวงสังคมนี้มีความโดดเด่นเก่งกาจมาก นักศึกษาในหนึ่งห้องพักต่างมีนิสัยใจคอของตนเองที่แตกต่าง ทว่าส่วนใหญ่กำลังโอนอ่อนและยอมรับซึ่งกันและกันอยู่นั่นเอง
เมื่อไก่พะโล้ถูกนำกลับค่าย ปรากฏว่าได้รับคำวิจารณ์ที่ดีอันเป็เอกฉันท์จากทุกคนอย่างที่คาด
มันเป็ปริมาณเนื้อเพียงหนึ่งคำต่อหนึ่งคนเท่านั้น สิ่งสำคัญคือของแบบนี้ยิ่งคนเยอะถึงจะกินอร่อยน่ะสิ!
่เวลาในการฝึกทหารผ่านไปช้ายิ่งนัก แต่วันหยุดกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่กะพริบตาก็เป็วันใหม่ อาจเพราะคิดว่าเหล่านักศึกษามีทักษะพื้นฐานดีแล้ว วันนี้ทางค่ายจึงจัดภารกิจการสอน ‘คลานไปข้างหน้า’
มันคือการคลานบนพื้นจริงๆ อีกทั้งต้องผ่านสิ่งกีดขวางต่างๆ นานา เรียนรู้ท่าทางการคลานก็ใช้เวลาเกือบครึ่งวันแล้ว ตอนครูฝึกกล่าวว่าจะตรวจผลของการฝึก หลายคนถึงกับหน้าเขียวขึ้นมาทันที
เพื่อความปลอดภัย ตาข่ายลวดที่ขึงไว้เหนือพื้นจึงไม่ได้ใช้ลวดหนาม แต่มันอยู่ชิดพื้นมาก ทำได้เพียงใช้ท่าคลานต่ำ หรือก็คือการหมอบคลานผ่านตาข่ายลวดซึ่งเป็สิ่งกีดขวางนี้นั่นเอง
เื่คลานไม่ใช่ปัญหา ทว่าบนพื้นเป็โคลนทั้งนั้นน่ะสิ
“ปฏิบัติตามหลักที่สอน จดจำลักษณะท่าทางตอนพวกคุณฝึกไว้ให้ดี ระยะทางสิ่งกีดขวางแค่นี้ทุกคนผ่านไปได้แน่!”
โจวเฉิงยืนอยู่ตรงตาข่ายลวดทางนั้น เขาต้องกำกับดูแลสนามฝึกซ้อมชายหญิงสองฝั่ง พอถึงตาเซี่ยเสี่ยวหลานฝึกก็วิ่งมา คำพูดนี้ฟังดูเหมือนกล่าวกับนักศึกษาหญิงทั้งหมด แต่ความรู้สึกที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น มีเพียงเซี่ยเสี่ยวหลานซึ่งเป็ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงรายนี้คนเดียวที่เข้าใจ
ั้แ่ทั้งสองเปิดใจคุยกันในคืนนั้น โจวเฉิงก็ไม่หลบเซี่ยเสี่ยวหลานเวลาฝึกซ้อมอีกต่อไป
และไม่จำเป็ต้องมีปฏิสัมพันธ์ระยะใกล้จริงๆ เสี้ยววินาทีที่แววตาของเขากับเซี่ยเสี่ยวหลานประสานกัน ก็จะยิ้มน้อยๆ อย่างรู้ใจกันและกัน
อย่างไรเสียคนนอกไม่มีทางดูออกว่าระหว่างโจวเฉิงกับเซี่ยเสี่ยวหลานมีอะไรพิเศษ โจวเฉิงคือจอมมารโฉดในสายตาของนักศึกษาหญิง แม้จะหล่อเหลาเพียงใดก็สู้ครูฝึกหลีผู้น่ารักไม่ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานหัวเราะกับตัวเองแทบตาย แต่รู้สึกสบายใจกับการกระทำของโจวเฉิงเช่นกัน
นี่ก็คือความรู้สึกปลอดภัยในความสัมพันธ์ชายหญิง!
แน่นอนว่าโจวเฉิงไม่สามารถควบคุมผู้หญิงคนอื่นได้ว่าจะชอบเขาหรือไม่ แต่เขากำลังพยายามหลบเลี่ยงการใกล้ชิดกับเหล่าหญิงสาวอย่างเต็มที่
เขาเป็หัวหน้าครูฝึก แม้มองเห็นว่าท่าทางของนักศึกษาหญิงคนไหนไม่ถูกวิธี ก็ไม่จำเป็ต้องลงมือแก้ไขด้วยตัวของเขาเอง... อย่างไรก็ตามเขากลับอยากมอบบทเรียนตัวต่อตัวอันแสนใกล้ชิดให้ภรรยาของเขาเหลือเกิน หลังจากเซี่ยเสี่ยวหลานมีความคิดจะ่ชิง ‘ผู้สำเร็จการฝึกดีเด่น’ กระบวนท่าของเธอจึงสมบูรณ์แบบได้มาตรฐานมาก โจวเฉิงไม่มีโอกาสแม้แต่แสร้งว่าจะแก้ไขท่าทางที่ผิดพลาดของนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานแบบกะทันหันด้วยซ้ำ
เวลานี้จึงวิ่งมาให้กำลังใจเซี่ยเสี่ยวหลานคลานเดินหน้าเพื่อข้ามผ่านตาข่ายลวดเหล็กเท่านั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกหวานซึ้งอยู่ในใจก็จริง ทว่าท่าทางของเธอไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย สภาพเปรอะฝุ่นเปื้อนดินในหลายวันที่ผ่านมานี้โจวเฉิงก็เคยเห็นมาก่อนแล้ว รวมถึงรายการเกลือกกลิ้งในโคลนตมด้วยเช่นกัน
เนื่องจากเธอนอนคว่ำหน้าลงอย่างเด็ดขาดแน่วแน่ จึงได้รับการชมเชยจากครูฝึกหลี นักศึกษาหญิงหัวชิงเข้าใจดี ความสกปรกเท่านี้ไม่ได้หนักหนาอะไร จะทำอย่างไรถ้าในอนาคตถูกส่งไปยังหน่วยงานการผลิตโดยตรง ทุกหนแห่งล้วนกำลังสร้างประเทศ หลังจบการศึกษา ต่อให้เป็บัณฑิตจากหัวชิง ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เข้าสู่องค์กรไปนั่งในสำนักงาน!
“คลาน!”
“ก็แค่ซักเสื้อผ้าไม่ใช่หรือ?”
“แค่ตาข่ายลวดกับปลักโคลนไม่กี่สิบเมตรเอง...”
มีบ้างที่ลังเล แต่ไม่มีสักคนที่ร้องไห้ขณะคลานผ่านตาข่ายเหล็ก ในที่สุดนักศึกษาหญิงก็ปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จโดยราบรื่น!
คณะครูฝึกต่างพากันเทียบเคียงผลงานของทุกคนด้วยความตั้งใจ และลงคะแนนในนั้น ที่แท้การคัดเลือก ‘ผู้สำเร็จการฝึกดีเด่น’ เริ่มขึ้นตั้งนานแล้ว มีการให้คะแนนทุกการฝึกฝน สุดท้ายก็รวบรวมคะแนนเข้าด้วยกัน คนที่คะแนนรวมสูงสุด ถึงจะมีโอกาสได้รับเลือกให้เป็ ‘ผู้สำเร็จการฝึกดีเด่น’ ของการฝึกวิชาทหารครั้งนี้ ซูจิ้งบอกว่าจากธรรมเนียมของนักศึกษาหัวชิงรุ่นก่อนๆ ผู้สำเร็จการฝึกดีเด่นของการฝึกทหารนี้ ปีหนึ่งจะได้รับการยกย่องว่าเป็ ‘นักศึกษาสามดี [2]’ อย่างแน่นอน เมื่อนำหน้าหนึ่งก้าว อาจจะนำหน้าในทุกๆ ก้าวใช่ไหมเล่า
ทว่าการฝึกทหารที่ผ่านมาไม่ออกนอกมหาวิทยาลัย และไม่มีความหลากหลายขนาดนี้
วันที่สามหลังจากวันหยุด เหล่าครูฝึกเรียกนักศึกษาชายหญิงมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อพาพวกเขาออกไปแบกสัมภาระฝึกภาคสนามนอกเมือง!
นอกเมือง แบกสัมภาระหนัก ฝึกภาคสนาม เมื่ออ่านสามคำนี้แยกกัน ทั้งหอมหวานและโศกเศร้าเหลือเกิน
นักศึกษาใหม่โห่ร้องด้วยความยินดี คิดว่านี่คือการตั้งค่ายทำอาหารนอกสถานที่ คือการเที่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วง
เหล่าครูฝึกยิ้มออกมาโดยไม่อธิบายใดๆ ก็คิดเสียว่าใช่ไปเถอะ
เชิงอรรถ
[1]มีที่มาจากสัตว์ออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืน ดวงตาจะเปล่งประกายสีเขียวๆ ออกมา จึงมีความหมายว่า ปรารถนาอย่างแรงกล้า
[2]三好学生 นักศึกษาสามดี ได้แก่ ดีในด้านคุณธรรม ดีในด้านการเรียน และดีในด้านสุขภาพกาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้