หลัวเลี่ยยืนอยู่บนยอดเขาด้วยความงุนงงเป็เวลานาน ก่อนที่จะก้มลงเก็บกิ่งไม้และใบไม้ที่ตกอยู่เ่าั้ขึ้นมา
ต้นัมีกิ่งก้านและใบที่เขียวชอุ่ม ในจำนวนนี้มีกิ่งก้านและใบที่เล็กเท่านิ้วหัวแม่มือค่อนข้างมาก และด้วยจำนวนที่มากขนาดนั้น จึงทำให้ชางจื่อเฟิงและคนอื่นๆ อิจฉาเช่นกัน พวกเขาแทบจะเป็บ้า เพราะนี่คือกิ่งและใบของต้นั
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเกี่ยวกับต้นันั้น แค่สองจุดก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนอิจฉา
กิ่งก้านและใบไม้เหล่านี้ไม่เพียงสามารถใช้สร้างอาวุธวิเศษและสมบัติวิเศษได้เท่านั้น แต่มันยังเต็มไปด้วยความลึกลับของวิทยายุทธ์ที่จะให้ผู้คนได้เรียนรู้อีกด้วย พวกมันเป็สิ่งที่แม้แต่บรรพชนก็อดไม่ได้ที่จะเก็บรวบรวม
และตอนนี้ทุกคนก็มองเห็นกิ่งก้านและใบไม้ของต้นัทั้งหมดตกลงไปในกระเป๋าเฉียนคุณของหลัวเลี่ย
ในตอนนี้หลัวเลี่ยดูเหมือนจะเพิ่งได้สติจากเหตุการณ์ที่น่าใ ดวงตาของเขากลับมาเ็าอีกครั้ง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา แล้วเขาก็ลอยลงมาจากยอดเขาัทมิฬ
“สหายหลัว ข้าทำเต็มที่แล้ว” หยางเสี้ยวเสียกำหมัดแน่นแล้วถอนหายใจ
หวงอวี้และคนอื่นๆ ก็มีการแสดงอารมณ์ใบนใบหน้าของพวกเขาเช่นกัน
ความใที่พวกเขาได้เห็นด้วยตาของตัวเองทั้งหมดนี้นั้นรุนแรงเกินไป
ส่วนัที่ได้สติแล้วนั้น พวกมันมองหลัวเลี่ยด้วยความชื่นชม และยังมีร่องรอยของความกลัว เพราะับรรพชนนั้นมีความสำคัญต่อเผ่าัมาก
“ข้าอยากจะขอบคุณทุกท่านที่ปกป้องข้าในวันนี้" หลัวเลี่ยกำกิ่งและใบของต้นัขึ้นมา “ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทน ดังนั้นข้าจึงขอมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับพวกท่านทั้งหมด”
พรึ่บ!
เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
และกิ่งไม้เ่าั้ก็ดูเหมือนจะมีชีวิต พวกมันลอยไปเอง ส่วนใบไม้ในนั้นก็ถูกแยกออกจากกิ่งไม้ และตกไปอยู่ในมือของทุกคน ในหมู่พวกเขามีหยางเสี้ยวเสียและหวงอวี้เป็คนที่ได้กิ่งก้านและใบไม้ที่สมบูรณ์
หยางเสี้ยวเสีย หวงอวี้ และคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง
นี่คือกิ่งก้านและใบของต้นั ซึ่งเป็กุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ับรรพชนทะลุท้องฟ้า ไม่มีใครรู้ว่าความลับที่ับรรพชนทิ้งไว้อยู่ในนั้นหรือไม่ แต่พวกเขาคิดว่ามันต้องเป็สมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน
“นี่มันล้ำค่าเกินไป”
“ใช่ พวกเราไม่สามารถรับไว้ได้”
หลายคนรู้สึกว่ากิ่งไม้และใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ในมือนั้นหนักเกินกว่าจะถือไหว
หลัวเลี่ยยิ้มและพูดว่า "โอกาสแบบนี้หาได้ยากในรอบพันปี และอาจเป็ครั้งเดียวในชีวิต ถ้าพลาดไปคงน่าเสียดาย"
เมื่อหยางเสี้ยวเสียคิดถึงตำแหน่งของหลัวเลี่ยในฐานะบรรพจารย์ของสรรพสิ่งในใจของเขา เขาจึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”
ทันทีที่หยางเสี้ยวเสียเป็ผู้นำ ทุกคนต่างยอมรับคำขอบคุณของหลัวเลี่ยทีละคน
หลัวเลี่ยที่ขี่อาชาเดือนดารัญอยู่เอื้อมมือไปหาเสวี่ยปิงหนิง
เมื่อเห็นเช่นนี้เสวี่ยปิงหนิงก็เม้มริมฝีปากและยิ้ม นางยื่นมือออกไป มือของนางถูกหลัวเลี่ยจับแล้วออกแรงส่งนางขึ้นมานั่งบนหลังอาชาเดือนดารัญเบาๆ แล้วถูกหลัวเลี่ยโอบกอด
“ทุกท่าน ข้าจะไปที่ลำแสงปลายท้องฟ้าแล้ว ลาก่อน!”
จากนั้นอาชาเดือนดารัญก็ทะยานไปทางหุบเขาสุสานั
ทุกคนใ
เขาไม่รอให้ใครถาม การเปิดเส้นขอบฟ้านั้นต้องใช้เกล็ดัปิงเหยียนที่ตกลงมาสามสิบหกเกล็ด จึงจะสามารถเปิดสังเวียนับรรพชนบนูเาศักดิ์สิทธิ์ได้ อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลัวเลี่ยขี่อาชาเดือนดารัญออกไป ูเาัทมิฬก็แยกออก และมีข้อความปรากฏขึ้น
สุดทางเดินนี้มีความร้อนและความเย็นปะปนกันอยู่
และทางด้านซ้ายของทางเดินมีหินก้อนใหญ่ปรากฏขึ้นพร้อมอักขระสามตัวที่เขียนไว้
เส้นขอบฟ้า!
ทุกคนตกตะลึง
“ที่แท้ทางเข้าที่แท้จริงของเส้นขอบฟ้าก็อยู่ทีู่เาัทมิฬ”
“จากนี้ไป การรอคอยเส้นขอบฟ้าก็ไม่จำเป็ต้องลำบากอีกต่อไป ท่านอ๋องเซี่ยหลัวเลี่ยได้เปิดเส้นทางใหม่ให้กับคนรุ่นต่อไปในอนาคตแล้ว”
บางคนประหลาดใจ
บางคนก็บ้าคลั่ง
และแน่นอนว่าคนคนนั้นก็คือชางจื่อเฟิง
ในอดีตชางจื่อเฟิงเคยดูถูกหลัวเลี่ย และปฏิบัติกับเขาเหมือนตัวตลก แต่ใครจะคิดว่าหลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วันหลัวเลี่ยจะไม่มองเขาจริงๆ
ความอัปยศอดสูที่สุดในโลก คือการที่เรารู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายมาก และ้าใช้ทุกวิถีทางเพื่อฆ่าฝ่ายตรงข้าม แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่เคยจริงจัง และทำเหมือนเราเป็ตัวตลก มองเราเหมือนว่าเราเป็แค่เด็กที่ยังไม่โตเท่านั้น
“หลัวเลี่ยอย่าหนีนะ วันนี้ข้าจะฆ่าเ้า!”
ชางจื่อเฟิงผู้บ้าคลั่งเป็เหมือนลูกธนูที่ออกจากคันธนูที่มีพลังมหาศาล เขารีบผละออกจากหยางเสี้ยวเสียและคนอื่นๆ โดยไร้การป้องกัน และตรงไปฆ่าเขา
ในขณะที่หวงอวี้และคนอื่นๆ กำลังจะเคลื่อนไหว หยางเสี้ยวเสียก็โบกมือของเขาขึ้น “ไม่จำเป็ต้องหยุดพวกเขา ปล่อยพวกเขาไป แล้วหากพวกเขาเป็ลูกผู้ชาย ก็คงกล้าตามไปพบกับหลัวเลี่ยที่เส้นขอบฟ้า และหากเป็เช่นนั้นข้าก็ชื่นชมพวกเขามาก”
“ฮ่าๆ ใช่ เราจะไม่หยุดเขาแล้ว ตามไปเถิด”
“ท่านอ๋องเซี่ยไปที่เส้นขอบฟ้าแล้ว ไปสิ ไปเร็วเข้า ถ้าช้าเดี๋ยวจะตามไม่ทันนะ”
ฝูงชนหัวเราะและแยกย้ายกันไป
เส้นขอบฟ้านั้นเป็สถานที่ที่อันตรายมาก
ทำไมถึงบอกว่าการไปสังเวียนับรรพชนนั้นไม่ง่ายน่ะหรือ ก็เพราะมันต้องมีไอพลังับรรพชน ซึ่งเป็สิ่งที่ยาก!
อีกทางหนึ่งคือเส้นขอบฟ้า และเส้นขอบฟ้านี้ก็เป็ทางที่ไม่ง่ายเลย หากมันง่ายก็คงมีคนมากมายทะลวงผ่านไปได้แล้ว มันเป็ทางที่อันตรายมาก
หลังจากข้ามเส้นขอบฟ้าแล้วก็ยังมีปัญหารออยู่ การไปสังเวียนับรรพชนนั้นไม่ใช่เื่ง่ายเลย
อย่างน้อยหยางเสี้ยวเสียและคนร่วมสำนักคนอื่นๆ รวมถึงเยาวชนมากฝีมือที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ก็ล้วนไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถทะลวงผ่านไปได้
ต้วนเหยียนเจี๋ยและคนอื่นๆ กัดฟันด้วยความเกลียดชัง แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันและตามให้ทัน
ส่วนหยางเสี้ยวเสียและคนอื่นๆ ก็ตามมาเพื่อรอดูความสนุก
ผ่านทางูเาัทมิฬไปก็จะไปถึงด้านหน้าของเส้นขอบฟ้า
ในอดีตเส้นขอบฟ้าปรากฏขึ้นบนสังเวียนับรรพชนที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ แต่ตอนนี้จะเห็นได้ว่าทางเดินบนูเาัทมิฬนั้นลึกลับมาก ราวกับเป็การถ่ายโอนห้วงมิติไปถึงเส้นขอบฟ้าโดยตรง
หลัวเลี่ยไม่ได้สนใจชางจื่อเฟิงเลย ไม่ใช่เพราะเขาหยิ่งผยองหรือดูถูกคนอื่น เขาไม่ได้คิดถึงเื่นี้ เพราะตอนนี้เขามีเพียงความคิดเดียวคือรีบ
เขาไม่สามารถเสียเวลาได้อีกต่อไปแล้ว
หนึ่งในสามของระยะเวลาหนึ่งปีที่อูอวิ๋นเซียนกำหนดได้ผ่านไปแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาจะติดอยู่ที่สังเวียนับรรพชนนานกว่านี้หรือไม่ เขาไม่้ายอมรับความพ่ายแพ้ เขายัง้าประสบความสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาไปสนใจชางจื่อเฟิง แม้ว่าเขาจะเป็องค์ชายจากอาณาจักรชางก็ตาม
อาชาเดือนดารัญเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วราวกับด้ายสีขาว
มันปีนขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ด้วยการเดินเท้าเท่านั้นและไม่สามารถบินได้
เส้นขอบฟ้าเป็ทางเดินเหมือนสะพานที่ยาวน้อยกว่าครึ่งจั้ง และแคบน้อยกว่าครึ่งจั้งเช่นกัน ทั้งสองด้านของทางเดินนี้มีน้ำแข็งและเปลวไฟ
มีเหวลึกขนาบข้างทั้งสองด้าน
ด้านซ้ายจะเย็นจนแข็ง ส่วนด้านขวาก็ร้อนมาก
เมื่ออากาศเย็นนี้ปะทะกับเปลวไฟที่ลอยอยู่ในอากาศ มันจะกลายเป็พลังที่มองไม่เห็นอันน่าอัศจรรย์ ก่อตัวเป็ความสามารถลึกลับและไม่มีใครเทียบได้ มันทำให้มนุษย์และสัตว์ทุกอย่างต้องเดินเท่านั้น
เมื่อรับรู้ถึงการมาถึงของสิ่งมีชีวิต เปลวไฟและความเย็นทั้งสองด้านก็ลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าพวกมันถูกกระตุ้น และกลายเป็ัน้ำแข็งและัไฟจำนวนนับไม่ถ้วน ะเิใส่หลัวเลี่ย เสวี่ยปิงหนิง และอาชาเดือนดารัญพร้อมกัน
พลังโจมตีแบบนี้น่ากลัวมาก เพราะเมื่อต้านแรงไม่ไหวแล้วโดนะเิก็จะร่วงลงเหว นี่จึงเป็เหตุผลว่าทำไมถึงห้ามบิน เพราะหากบินก็หมายความว่าตาย
ด้วยการโจมตีมากมาย ใครจะแน่ใจได้ว่าจะป้องกันพวกมันได้ทั้งหมด
แต่สิ่งที่แปลกเป็พิเศษคือการโจมตีแบบนี้จะเปลี่ยนไปตามระดับพลังของผู้ที่ขึ้นไปบนเส้นขอบฟ้า มันทำให้เส้นขอบฟ้ารวมถึงูเาศักดิ์สิทธิ์และสังเวียนับรรพชนลึกลับมากขึ้น และเต็มไปด้วยความไม่ชอบมาพากล
“หลัวเลี่ย ครั้งนี้เ้าจะหนีไม่ได้แล้ว!" ชางจื่อเฟิงมาถึงแล้ว
หลัวเลี่ยผู้ทุบัน้ำแข็งและัไฟด้วยการโบกมือพูดอย่างใจเย็น "หากเ้ากล้าก็ขึ้นมาพูดอีกทีบนนี้สิ"
ชางจื่อเฟิงมองไปที่เส้นขอบฟ้าและการโจมตีที่น่ากลัว แม้ว่าเขาโกรธมาก แต่เขาก็ใจเย็นและไม่ได้รีบขึ้นไป เขาเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าไม่จำเป็ต้องไปที่เส้นขอบฟ้าเพื่อฆ่าเ้า”