ฉู่ชิงรู้ว่า่เวลาสิบห้าปีก่อนหน้านี้ เหนียนยวี่ถูกเลี้ยงดูมาเฉกเช่นเด็กผู้ชาย ไม่ว่าจะในเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่หอนอนจวนจิ้นอ๋องวันนั้น หรือในพิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ครั้งนั้น แม้แต่เขายังแยกไม่ออกเลยว่านางเป็สตรี
นางที่แต่งกายเป็บุรุษเช่นนี้ ดูเป็ธรรมชาติเสียจนแยกไม่ออก
เขาแปลกใจยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่านางดูอ่อนหวานนิ่มนวลมากตอนที่แต่งกายเป็สตรี ทว่าครั้นนางแต่งกายเป็บุรุษยังดูหล่อเหลามากอีกด้วย
ความองอาจกล้าหาญประหนึ่งเปล่งประกายออกมาจากกระดูกของนาง
ไม่เพียงเท่านั้น ยามที่เห็นนางในพิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ครานั้น ยกเว้นดวงตาที่เจิดจ้าเป็พิเศษคู่นั้น นางเหมือนเป็เพียงบ่าวตัวน้อยที่สวมเสื้อผ้าของเ้านาย ทว่านางในยามนี้ ความองอาจที่ฉายออกมาภายใต้ใบหน้าอันหล่อเหลาได้รูปนั้นยกระดับกลิ่นอายความสูงศักดิ์และเย่อหยิ่งออกมาไม่น้อย
ฉู่ชิงจ้องมองสำรวจเหนียนยวี่ เขาไม่รู้ว่าสตรีตรงหน้า ไม่เพียงต้องเผชิญกับการใช้ชีวิตเยี่ยงบุรุษมาสิบห้าปี ทว่าในชาติก่อน นางอยู่ในกองทัพมาแปดปี สู้รบบนหลังม้าแย่งชิงแผ่นดิน ขับไล่ข้าศึกออกไป ชาตินี้มิมีชายหนุ่มผู้ใดเทียบเคียงได้
“ท่านแม่ทัพหลวง” เหนียนยวี่เดินเข้ามาใกล้ สำรวจจ้องมองฉู่ชิงอย่างถี่ถ้วนโดยมิหลบเลี่ยง จากนั้นประสานมือโค้งคำนับเฉกเช่นบุรุษ ท่าทีมาดมั่น
ฉู่ชิงตกตะลึงไปเล็กน้อย เหลือบมองเหนียนยวี่อีกครั้งแล้วถอนสายตากลับ จากนั้นหันหลังก้าวเดินเข้าไปในประตูค่าย
เหนียนยวี่เดินตามหลังไป ทหารที่พบระหว่างทางต่างพากันเข้ามาทักทายฉู่ชิง สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนมิอาจปกปิดซ่อนเร้นความเคารพยำเกรงได้
ชาติก่อน ยามที่นางเข้าค่ายทหารครั้งแรก นางเคยได้ยินตำนานเื่เล่าของแม่ทัพหลวงผู้นี้จากทหารหลายนาย ในสายตาของทหารเ่าั้ เขาแทบจะเป็ดั่งเทพของเหล่าทหารก็มิปาน จนกระทั่งปีนั้น ข่าวการเสียชีวิตของฉู่ชิงแพร่สะพัดเข้ามา...
ครั้นนึกคิดอะไรบางอย่างได้ เหนียนยวี่พลันหยุดชะงักฝีเท้าของนางลงอย่างกะทันหัน จ้องมองตรงไปยังแผ่นหลังของชายตรงหน้าด้วยสีหน้าแววตาเคร่งขรึม
เพียงชั่วครู่หนึ่ง ชายตรงหน้าหันกลับมามองเหนียนยวี่ที่เดินด้านหลัง ซึ่งนางเดินตามอยู่ไกลมาก ฉับพลันนั้นวงคิ้วใต้หน้ากากพลันขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย
กังวลสิ่งใด? เห็นได้ชัดว่านดวงตานางฉายแววกังวล!
เป็เื่ยากมากที่เขาได้เห็นอารมณ์เช่นนี้ในดวงตาของนาง สตรีผู้นี้มักจะนิ่งสงบอยู่ตลอดเวลา เว้นระยะห่างไม่สนใจผู้ใด นอกเหนือจากความเกลียดชังที่ไหลวนพาดผ่านขึ้นมาเป็ครั้งคราวนั้น เขาคิดว่านางคงไม่มีอารมณ์อื่นใดอีกแล้ว ทว่าความกังวลนั้น...
นางกังวลเื่อะไร?
ฉู่ชิงก้าวออกไป จับไหล่นางด้วยฝ่ามือใหญ่ของเขา เหนียนยวี่สบเข้าดวงตาสีดำขลับราวสระน้ำลึกคู่นั้น เพียงพริบตาหนึ่ง นางรีบหลบสายตาเขาอย่างรวดเร็ว
ฉู่ชิงมิได้เอ่ยอะไร เขาก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง เหนียนยวี่เดินตามอย่างใกล้ชิด ทั้งสองก้าวเดินเข้าไปยังโถงฝึกวรยุทธ์
ในห้องโถงฝึกวรยุทธ์ ทหารบางส่วนกำลังฝึกร่วมกัน ฝีเท้าทั้งสองก้าวเดินผ่านห้องฝึกวรยุทธ์ ฉู่ชิงพานางเข้าไปในห้องหนึ่ง ห้องนั้นกว้างขวางและสว่างไสว มีแบบจำลองทางพื้นที่ขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง และบนกำแพงใหญ่โตด้านหลังแขวนภาพผังเมืองไว้
แผนที่แผ่นดินชื่ออวี่หรือ?
เพียงปรายตามอง เหนียนยวี่จำมันได้ในทันที
ชาติก่อน นางคุ้นเคยกับแผนที่นี้มาก นางเคยไปมาแล้วหลายที่ในแผนที่นี้ ทุกที่ที่นางไป มาพร้อมกับาและการนองเื และมาพร้อมกับรัศมีเทพแห่งาชื่ออวี่ของนางด้วย
ฉู่ชิงกำลังอ่านและสั่งการอะไรบางอย่างบนโต๊ะด้านข้าง ท่าทีจริงจังจดจ่อของเขาทำให้เหนียนยวี่จิตใจสั่นไหวเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ ชายผู้นี้ดูสง่างามอย่างไร้ขีดจำกัด แม้ว่าใบหน้าหล่อเหลางดงามของเขาจะถูกปิดบังซ่อนเร้นด้วยหน้ากากสีเงิน ทว่ากลับมิอาจปกปิดบุคลิกความสามารถอันยอดเยี่ยมไปได้
เหนียนยวี่อดสงสัยไม่ได้ว่าหากเขาถอดหน้ากากออก ใบหน้านี้นั้นจะทำให้ผู้คนตื่นตะลึงได้มากถึงเพียงไหน...
ภาพฉากหนึ่งผุดขึ้นในหัวของเหนียนยวี่ ทว่าเพียงครู่หนึ่ง ฉู่ชิงพลันลืมตาขึ้น ทั้งสองสบสายตาประสานกันเป็หนึ่ง เหนียนยวี่เห็นประกายยิ้มแย้มในดวงตาของฉู่ชิงอย่างชัดเจน จังหวะการเต้นของหัวใจพลันเต้นเร็วขึ้น นางรีบเบนสายตาออกอย่างเร่งรีบ ย้ายสายตากลับมามองแผนผังชื่ออวี่เช่นเดิม ทว่าในใจของนางยังคงมิอาจสงบนิ่งลงได้
หลังจากผ่านครู่หนึ่ง นางรู้สึกได้ว่าสายตาของฉู่ชิงย้ายออกไปจากร่างนางแล้ว เหนียนยวี่จึงพยายามผ่อนคลาย ทำให้หัวใจของนางสงบลง มุ่งความสนใจไปยังแผนที่แผ่นดินชื่ออวี่ตรงหน้าอีกครั้ง
ในปีเทียนฉีที่ยี่สิบ หลายแคว้นแบ่งแยกและเป็อิสระจากกัน ทว่าหลังจากนั้นเล่า?
ความทะเยอทะยานของหลีอ๋องจ้าวเยี่ยน นางรู้ดีที่สุด!
ในชาติก่อน หลังจากนางเสียชีวิต จ้าวเยี่ยนจะได้รับอำนาจสนับสนุนจากตระกูลหนานกงและหัวเมืองทั้งห้าในการยึดแคว้นซีเหลียง
เหนียนยวี่มองไปที่แคว้นหนึ่งทางตะวันตกที่อยู่สุดแผนที่ แววตานางพลันเข้มขึ้นมาเล็กน้อย
"ทำไม? สนใจแคว้นซีเหลียงหรือ?"
ทันใดนั้น เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น เหนียนยวี่หันหน้าไป เมื่อครู่นี้ยังเห็นชายหนุ่มตรวจสอบหนังสือทางการอย่างถี่ถ้วน ทว่ายามนี้กลับมีเสียงหนึ่งไม่ดังไม่เบาดังขึ้นข้างๆ นาง สายตาของเขาจับจ้องจุดที่อยู่ทางตะวันตกสุดของแผนที่เช่นกัน
"เอ่ยไม่ได้ว่าสนใจสิ่งใด ข้าเพียงแค่เคยได้ยินนักเล่าเื่เล่าเกี่ยวกับแคว้นนี้มาจากโรงน้ำชา" เหนียนยวี่กล่าวอย่างใจเย็น
ท่าทีเตรียมรับมือยากสังเกตเห็น ทว่าฉู่ชิงกลับยังคงสังเกตเห็นได้
“หืม? เช่นนั้นบอกข้าที นักเล่าเื่ที่โรงน้ำชาพูดถึงแคว้นซีเหลียงว่าอย่างไร?” ฉู่ชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยภายใต้หน้ากาก ยืนมือไพล่หลัง สายตาละออกจากเหนียนยวี่ หันกลับไล่มองผังแผ่นดินชื่ออวี่ นักเล่าเื่โรงน้ำชางั้นหรือ โรงน้ำชานั่นช่างเป็สถานที่ที่ดีเสียจริง!
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว พูดอะไรเกี่ยวกับซีเหลียง?
เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพหลวงผู้นี้กำลังหยั่งเชิงนาง
“นักเล่าเื่ผู้นั้นเล่าว่า เจ็ดแคว้นบนแผ่นดินชื่ออวี่ในยามนี้ ถูกกำหนดมาั้แ่ร้อยปีก่อน หนึ่งในนั้น แคว้นที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดคือแคว้นซีเหลียง” เหนียนยวี่เอ่ยอย่างระมัดระวัง บุรุษผู้นี้ฉลาดเกินไป เขาไม่ใส่ใจ ทว่าหากนางหลุดเอ่ยอะไรไป เกรงว่าอาจจะถูกเขาสงสัยได้
“เกิดความขัดแย้งภายในอย่างต่อเนื่อง…” สายตาของฉู่ชิงจ้องไปที่พื้นที่ของแคว้นซีเหลียงบนแผนผังชื่ออวี่ ดวงตาของเขามืดครึ้มชั่วขณะก่อนที่จะกลับสู่สภาวะปกติ "ไม่ว่าแคว้นใด ล้วนต่างมิอาจทนต่อความขัดแย้งภายในได้ แม้ซีเหลียงจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็มิต่างกัน"
เหนียนยวี่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ ในราชวงศ์ การต่อสู้แย่งชิงให้ได้มาซึ่งอำนาจเป็สิ่งที่มีไม่เคยขาด และแคว้นซีเหลียงนั้นอุดมสมบูรณ์อย่างมาก ผู้ใดล้วนอยากแย่งชิงมา
แม้แต่จ้าวเยี่ยนในชาติก่อน ยังมุ่งมั่นทะเยอทะยานเพื่อให้ได้มามิใช่หรือ?
แต่...
“ความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น” เหนียนยวี่เอ่ยปาก หลังจากประสบกับชีวิตก่อนหน้านี้ นางรู้ว่าความขัดแย้งภายในราชวงศ์ของแคว้นซีเหลียงจะสิ้นสุดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เพราะคนผู้หนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นและเื่ราวจะสิ้นสุด คนผู้นั้น...
เมื่อนึกถึงคนในข่าวลือ ดวงตาของเหนียนยวี่พลันเข้มขึ้นเล็กน้อย
องค์ชายรัชทายาทเยี่ยนสี่แห่งแคว้นซีเหลียง!
ว่ากันว่าเขามีความรู้ความสามารถ รู้วรยุทธ์ ในแผ่นดินชื่ออวี่แห่งนี้มิมีผู้เทียบเคียงได้ ชาติก่อนนางเป็เทพาชื่ออวี่ที่มีศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม แต่นางไม่เคยเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง ได้ยินเพียงว่าองค์ชายรัชทายาทเยี่ยนสี่อยู่ในากวานชานเพื่อสงบปัญหาพิพาทภายใน หนึ่งาชื่อเสียงลือเลื่อง ความองอาจกล้าหาญและอุบายแผนการดุจดั่งเป็เทพเ้า
ความกลัวที่ว่าซีเหลียงมีองค์ชายผู้กล้าหาญและทรงพลังเช่นนี้ จ้าวเยี่ยนสนใจมาก...มากถึงกับสั่งสังหารนางเพื่อรวบรวมพลังอำนาจทั้งหมดให้เป่ยฉีและโจมตีแคว้นซีเหลียง!
หึ จ้าวเยี่ยนกลัวว่าภายใต้การนำขององค์ชายเยี่ยนสี่ เขาจะฟื้นคืนพลังอำนาจแคว้นซีเหลียงได้รวดเร็ว เมื่อถึงตอนนั้น ความทะเยอทะยานของเขาที่จะทั่วผืนแผ่นดินนี้จะยากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“ชั่วคราว...” ฉู่ชิงพึมพำ ในดวงตาสีนิลสื่อความหมายไม่ชัดเจนนัก
ดูเหมือนทั้งคู่จะติดอยู่ในความคิดของตัวเองเป็เวลานาน จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งสองพลันได้สติขึ้นทันใด
เหนียนยวี่กลับมารู้สึกตัว ฉู่ชิงขานรับ ประตูถูกผลักออก หมอทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกล่องยา
“ใต้เท้าขอรับ ได้เวลาใส่ยาใหม่แล้วขอรับ” หมอทหารพูดด้วยความเคารพ ทุกวันนี้แม่ทัพหลวงมาที่นี่เพื่อเปลี่ยนยาทุกวัน
เหนียนยวี่เหลือบมองฉู่ชิงและรู้ว่านั่นหมายถึงอาการาเ็ที่เขาได้รับในสวนร้อยสัตว์วันนั้น
“วางของไว้แล้วออกไปได้” ฉู่ชิงเหลือบมองหมอทหาร พลางเอ่ยสั่งออกมาเบาบาง
หมอทหารรู้สึกประหลาดใจ ทว่าครั้นเขาเห็นเหนียนยวี่ซึ่งแต่งตัวเป็หมอทหารในห้องนั้น เขาจึงรีบวางกล่องยาลงทันที โค้งคำนับให้ความเคารพแล้วถอยกลับออกไป
ในห้อง คิ้วของเหนียนยวี่ขมวดมุ่นเข้าหากัน
เขาไม่ทายาใหม่หรือ?
บอกให้หมอทหารออกไปแล้วเขาจะทายาได้เองหรือไร?