เจียงเฉิงเยว่ที่มองเห็นภาพทั้งหมดนี้จากระยะไกลอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างพอใจ คิดไม่ถึงว่าเวลานี้หลี่อวิ๋นหัง...จะเชื่อฟังคำพูดของเขาจริงเชียว!
หลังจากเห็นว่าหลี่อวิ๋นหังไม่ได้ปฏิเสธพวกเขาอีกต่อไป เหล่าเด็กหนุ่มจึงค่อยๆ กล้าหาญขึ้นมา พยายามอย่างสุดกำลังเพื่อเอาอกเอาใจหลี่อวิ๋นหัง หากไม่ใช่เพราะฐานะของหลี่อวิ๋นหังซึ่งทำให้ไม่กล้าบุ่มบ่าม ความสัมฤทธิ์ผลในไม่กี่วันนี้ก็แทบจะโอบไหล่ของหลี่อวิ๋นหังแล้วเอ่ยเรียกว่าพี่น้อง
เจียงเฉิงเยว่แอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทางอึดอัดเล็กน้อยของหลี่อวิ๋นหังที่ถูกพวกเขารายล้อม ทว่าเมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เขารู้สึกว่าหลี่อวิ๋นหังควรหาเพื่อนเพิ่มเสียจริง
.............................
หลายคืนต่อมา หลี่อวิ๋นหังกำลังเขียนการฝึกฝนกำลังภายในอยู่ที่โถงชิวเชวี่ยประจำ เวลานี้เจียงเฉิงเยว่เองก็อยู่ในโถงชิวเชวี่ยด้วย ขณะที่หยิบพู่กันขึ้นมาวาดเขียนอย่างเบื่อหน่ายบนกระดาษ ด้านข้างมือยังวางด้วยจานอาหาร ในจานมีชาเขียวถ้วยหนึ่งกับของว่างที่ดูสวยงามเล็กๆ จานหนึ่ง ซึ่งทำเป็รูปทรงของดอกไม้ห้ากลีบ หวานแต่ไม่เลี่ยน กรอบหอมอร่อย
ถูกต้องแล้ว แม้ว่าองค์รัชทายาทจะทรงบ่มเพาะทว่าไม่ยอมให้ท้องของตนเองเสียเปรียบ
หลี่อวิ๋นหังกำลังคัดลอกจากสิ่งที่ตนเองมีติดตัวอย่างเงียบงัน ขณะที่เขียน เขาดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้จึงหยุดพู่กัน
เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้สนใจ กำลังก้มศีรษะจ้องมองที่ปลายพู่กันของตนเอง ขณะที่ส่งขนมชิ้นหนึ่งเข้าปาก ยังไม่ทันได้กัด ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงหลี่อวิ๋นหังถามอย่างจริงจัง “เสด็จพี่...ลุ่มหลงจนตัดแขนเสื้อคืออะไร?”
เสียง ‘เผละ’ หรือขนมในมือของเจียงเฉิงเยว่ตกลงบนโต๊ะ หลังเห็นว่ามันกำลังจะกลิ้งไปที่ขอบโต๊ะแล้วตกลงบนพื้น เขาจึงเร่งรีบกดมันไว้อย่างตื่นตระหนก ยามนี้ตกตะลึงจนตั้งตัวไม่ทันแทบจะหงายหลังลงไป เขาหอบหายใจอยู่นานก็นึกขึ้นได้จึงถาม “เ้า เมื่อครู่เ้าพูดว่าอะไร?”
หลี่อวิ๋นหังทำเพียงพูดซ้ำอีกรอบ “ ‘ลุ่มหลงจนตัดแขนเสื้อ’ คืออะไร?”
หัวใจดวงน้อยๆ ของเจียงเฉิงเยว่แทบกระดอนออกมาจากอก...ทำไมจู่ๆ ถึงถามเช่นนี้?!! อีกฝ่ายค้นพบอะไร? ใช่แขนเสื้อนั้นเมื่อครั้งที่แล้วหรือไม่กัน...แม้ว่าเขาจะร่ายเคล็ดวิชาล่องหน ทว่าเคล็ดวิชาก็มีเวลาที่เกิดผลอยู่ เมื่อหลี่อวิ๋นหังตื่นขึ้นมาย่อมไม่เห็น ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผ่านไปหลายวันหลังจากใช้เคล็ดวิชาไร้ผลไปแล้วอีกฝ่ายจะยังไม่เห็น...เดิมทีเขาคิดถือโอกาสก่อนไร้ผลเพื่อค้นหาและเอาไปทิ้ง ทว่าผลลัพธ์หลังจากนั้นคือลืม เขาลืมอย่างคาดไม่ถึง เวลาผ่านมาสองสามวันแล้ว...แม้ว่าหลี่อวิ๋นหังจะเห็นมันต้องไม่รู้ว่าคืออะไรถึงจะถูก...
ทางด้านของเจียงเฉิงเยว่ที่ภายในใจกำลังหมุนวนเป็ร้อยเป็พันรอบ ใบหน้าขาวซีดไม่มั่นคง ทว่าหลี่อวิ๋นหังกลับถือพู่กันพลางมองเขาอย่างไร้เดียงสา
เวลานาน เจียงเฉิงเยว่ถึงสามารถดึงมุมปากที่นิ่งค้างระบายเป็รอยยิ้มได้ เขาถามกลับ “พูดยากนัก...เ้าถามเช่นนี้ทำไม? เ้าไปอ่านคำนี้มาจากที่ใดกัน?”
หรือว่าจะเป็วรรณกรรมเหนือธรรมชาติที่ตนเองนำมาด้วย? อันไหนที่มีตาหามีแววไม่แล้วมีถ้อยคำ ‘ลุ่มหลงจนตัดแขนเสื้อและความดีงามของหลงหยาง1 ‘ จำพวกนี้กัน? หลี่อวิ๋นหังเห็นเท่ากับเป็การวางยาพิษเด็กไม่ใช่หรือ? นึกถึงตรงนี้เขารีบร้อนบอก “อาหัง...หนังสือเ่าั้ที่เสด็จพี่นำมา...เ้าห้ามอ่าน นั่น...นั่นไม่เหมาะให้เ้าอ่านหรอก” ขณะที่พูดกลับรู้สึกว่ายิ่งตนเองอธิบายยิ่งมืดมน เขากล่าวอีก “เมื่อลุ่มหลงกับสิ่งต่างๆ จะทำให้สูญเสียความทะเยอทะยาน เ้าไม่ควรเสียเวลาอ่านหนังสืออ่านเล่นพวกนั้นรู้หรือไม่? นี่อาจส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะที่ใสสะอาด...” ไม่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าจะบรรยายได้มืดมนยิ่งกว่าเดิมเสียอีกกระมัง?!
โชคดีที่หลี่อวิ๋นหังตอบ “ข้าไม่เคยอ่านหนังสือที่เสด็จพี่นำมา”
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นเ้าไปอ่านเื่สนุกเหล่านี้จากที่ใดถึงได้มีคำพวกนี้?”
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าเพียงอ่านบันทึกเื่ประหลาดเล่มหนึ่ง ในหนังสือมีการกล่าวถึง ‘อาณาจักรหยางบริสุทธิ์’ เนื่องจากผู้คนงมงาย รังแกผู้อ่อนแอ สังหารสตรีอย่างกำเริบเสิบสาน ทำให้เทพเ้าพิโรธจึงถูกลงโทษ ประเทศจึงเต็มไปด้วยพลังหยางโดยขาดพลังหยิน บุรุษทั้งหมดล้วน ‘ลุ่มหลงจนตัดแขนเสื้อ’ ผ่านไปเป็เวลานาน ประเทศของพวกเขาจึงพินาศ...”
เจียงเฉิงเยว่ “โอ้...โอ้”
หลี่อวิ๋นหัง “ ‘ลุ่มหลงจนตัดแขนเสื้อ’ คืออะไร?”
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกลำบากใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด...ครุ่นคิดอยู่นานจึงพูด “เื่นี้...รอให้เ้าโตขึ้นจะเข้าใจเองโดยธรรมชาติ” เดิมทีเขาคิดจะอธิบายอย่างสั้นเพื่อให้เกิดความสับสน กลับรู้สึกว่าการหลอกเด็กน้อยเช่นนี้ไม่ดีเท่าไร ทว่าการอธิบายเด็กอายุสิบเอ็ดปีเกี่ยวกับการลุ่มหลงจนตัดแขนเสื้อหรือความดีงามของหลงหยาง...ช่างน่าอับอายยิ่งนัก จึงทำได้เพียงเลือกใช้คำพูดบอกปัดอย่างกำกวม
หลี่อวิ๋นหังมองเขาอย่างเงียบงัน
ภายใต้สายตาของอีกฝ่าย แก้มของเจียงเฉิงเยว่เริ่มร้อนขึ้นเล็กน้อย เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันไปสบตา ทว่าเมื่อเห็นว่าในแววตาที่เงียบสงบของหลี่อวิ๋นหังค่อนข้างซับซ้อน ผ่านไปเป็เวลานานจึงพูด “ที่แท้เป็เช่นนี้...ข้าเข้าใจแล้ว”
“หืม?” เจียงเฉิงเยว่ส่งเสียงด้วยความใ “เข้าใจ เข้าใจอะไร?”
หลี่อวิ๋นหังจรดพู่กันอีกครั้งด้วยท่าทีเฉยชา ไม่สนใจเขาอีก มีเพียงปลายหูที่แดงเล็กน้อย
์!!! เจียงเฉิงเยว่พูดไม่ออก เขารู้อยู่แล้วว่าคนผู้นี้ฉลาดปราดเปรื่อง มีความเข้าใจอย่างลึกล้ำ...แต่ว่า...ความเข้าใจที่ลึกล้ำนี้อย่าใช้กับเื่ที่ไม่ถูกต้องจะได้หรือไม่กัน!!!
ทั้งสองเงียบเป็เวลานาน เจียงเฉิงเยว่ทนไม่ได้จึงถาม “เ้าไปเห็นบันทึกเื่ประหลาดเล่มนั้นมาจากไหน?”
หลี่อวิ๋นหังหยุดพู่กัน มองเขาแวบหนึ่งแล้วบอก “เหล่าศิษย์สำนักชิงเฟิงให้ข้าอ่าน”
เจียงเฉิงเยว่พูดไม่ออก ทันใดนั้นเขารีบบอกอย่างจริงจัง “จากนี้ไป...อย่ายุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีก หากพวกเขาให้หนังสือที่เลอะเทอะเช่นนี้กับเ้าอีก...ห้ามอ่านมันเชียว!”
มุมปากของหลี่อวิ๋นหังกระตุกเล็กน้อย จากนั้นเบะปากแล้วมองเขาอย่างน้อยอกน้องใจ “แต่ว่า ท่านไม่ได้บอกหรือว่าต้องคบเพื่อนให้มากเพื่อเพิ่มความรู้?”
เจียงเฉิงเยว่หยุดนิ่งไปชั่วขณะค่อยกล่าว “นี่มัน...การคบเพื่อนน่ะต้องแยกแยะให้ดี ผู้อยู่ใกล้ชาดติดสีแดง ผู้อยู่ใกล้หมึกย่อมติดสีดำ2 เ้าต้องเรียนรู้จากสิ่งดีๆ ของผู้อื่น ไม่ควรติดนิสัยไม่ดีมาโดยเด็ดขาด เ้าเด็กตัวเหม็นพวกนั้น...อาหังไม่สามารถเรียนรู้การเผชิญโลกกว้างเพียงแค่อ่านหนังสืออ่านเล่นได้หรอก เข้าใจหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังใช้เวลานานจึงค่อยตอบ “อืม”
หลี่อวิ๋นหังเริ่มคัดลอกหนังสือด้วยตนเองอีกครา ส่วนเจียงเฉิงเยว่กัดฟันกรามกรอด รู้สึกขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดอยากไปชำระแค้นกับซ่งชิงอวี้ยิ่งนัก ผ่านไปสักพัก เจียงเฉิงเยว่อยากรีบซักถามแล้วไปจัดการอีกฝ่ายถึงที่ ครู่ต่อมาหลี่อวิ๋นหังพูดอย่างลังเลอีกว่า “เสด็จพี่...”
เจียงเฉิงเยว่ “หืม?” น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูแปลกไปจากปกติ ทำเอาเจียงเฉิงเยว่รู้สึกเครียดเล็กน้อย
หลี่อวิ๋นหัง “ลุ่มหลงจนตัดแขนเสื้อ...จะชักนำการลงทัณฑ์จาก์ไปสู่การทำลายประเทศจริงหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งไปชั่วขณะพลางจัดระเบียบความคิด ถึงอย่างไรก็เอ่ยคำถามนี้แล้ว จึงคิดตัดสินใจถ่ายทอดมุมมองด้านการแต่งงานและความรักอย่างถูกต้องให้ ดังนั้นจึงกล่าวอย่างฉะฉาน “เื่ราวของ ‘อาณาจักรหยางบริสุทธิ์’ นั้น เนื่องจากสังหารสตรีอย่างกำเริบเสิบสานจึงถูกเทพเ้าลงโทษไม่ใช่หรือ? สำหรับการลุ่มหลงจนตัดแขนเสื้อ...อันที่จริงก็ไม่ต่างอะไรกับพวกที่บ่มเพาะหยินหยางเ่าั้หรอก...สิ่งสำคัญที่สุดคือความรับผิดชอบต่อคนที่รัก จะเป็การตัดแขนเสื้อกับหลงหยางก็ดี หรือคู่รักที่มีความรักให้กันก็ช่าง...หากยืนยันแล้วก็ไม่อาจโลภในตัณหาหรือหวั่นไหวหลายใจ จึงจะเป็การเคารพตนเองและอีกฝ่าย...ในโลกนี้...ไม่ว่าสถานะและภูมิหลังจะเป็อย่างไร หัวใจที่จริงใจคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของคนผู้หนึ่ง มีเพียงความจริงใจที่สามารถแลกความจริงใจกลับมา...หากเป็ความรักจอมปลอมเพียงเล็กน้อยย่อมไม่ใช่เื่เล่นๆ แล้ว...” เมื่อเห็นหลี่อวิ๋นหังมองเขา ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดจึงระบายยิ้ม “แต่ว่า...ตอนนี้เ้ายังเด็ก...เ้ายังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ รอให้เ้าโตขึ้นอีกหน่อยจึงจะเข้าใจกระมัง...”
หลังจากหลี่อวิ๋นหังได้รับการอบรมจากเขารอบหนึ่งก็มองเขานิ่งค้าง ราวกับว่ากำลังดื่มด่ำกับความหมายของถ้อยคำที่เขาพูดอย่างละเอียด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงก้มศีรษะจรดปลายพู่กันต่อไป
.............................
เพียงชั่วพริบตา การบูรณะวิหารหลิงเซียวจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า วันนี้ศิษย์สำนักชิงเฟิงจึงเสร็จสิ้นงาน พร้อมกับมีผู้ที่คาดไม่ถึงเดินทางมาถึง นั่นคือศิษย์พี่ซ่งผู้นั้น อีกฝ่ายมารับพวกเขาหลังจากเลิกทำงาน
บังเอิญว่าเจียงเฉิงเยว่อยู่ด้วยจึงได้พบหน้า ซ่งชิงอวี้รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ก่อนประสานมือทำความเคารพเจียงเฉิงเยว่แล้วเอ่ยเรียก “ฝ่าา”
เจียงเฉิงเยว่ส่งยิ้ม
เหล่าเด็กหนุ่มรุมล้อมศิษย์พี่พลางทำหน้าทะเล้น รอยยิ้มค่อนข้างมีความหมายลึกซึ้ง หนึ่งในนั้นถึงขั้นหยอกล้อ “ศิษย์พี่...คิดไม่ถึงว่าท่านจะมาจริงเชียว”
หลังจากซ่งชิงอวี้ได้ยินถ้อยคำก็จ้องมอง ใบหน้าหล่อเหลาพลันแดงระเรื่อ เจียงเฉิงเยว่กลับมีความรู้สึกงงงวยเล็กน้อยกับสถานการณ์นี้ เหล่าเด็กหนุ่มฉลาดเพียงไหนกัน ผู้คนที่เหลือรีบลากคนผู้นั้นมาปิดปากออกไป นอกจากนี้ยังยกยิ้มพูดกับเจียงเฉิงเยว่และซ่งชิงอวี้ “เช่นนั้นฝ่าา...พวกเราขอลา ศิษย์พี่ ให้พวกเราไปรอท่านข้างนอกหรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่เลิกคิ้ว ซ่งชิงอวี้ดูเหมือนว่ามีอะไรจะพูดกับเขาหรือ?
รอให้พวกเขาหัวเราะคิกคักเดินออกไปไกล ซ่งชิงอวี้กลับยังยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม ใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย อดกลั้นคำพูดไว้เป็เวลานาน
เจียงเฉิงเยว่กอดอกเฝ้ารอ ผ่านไปนานเขาหมดความอดทนจึงเปิดปากพูดด้วยรอยยิ้มอ่อน “นักพรตซ่ง...มีเื่อะไรอยากบอกข้าหรือ?”
ซ่งชิงอวี้ใ จากนั้นกัดริมฝีปาก สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา สายตาคู่นั้นดูราวกับยามััอาจถูกแผดเผา อีกฝ่ายหลุบตาลง ประสานมือเป็เวลานานแล้วกล่าว “พวกอันธพาลเหล่านี้ของสำนักชิงเฟิง ่เวลาที่ผ่านมา...รบกวนฝ่าาทรงดูแลแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม “กล่าวเกินไปแล้ว...‘ดูแล’ อะไรกัน ข้าไม่กล้ารับหรอก”
ซ่งชิงอวี้กล่าวต่อ “ยามพวกเขากลับไปที่สำนักอยู่สองสามครา มักได้ยินพวกเขากล่าวถึงพระองค์...”
เจียงเฉิงเยว่ “โอ้?”
ซ่งชิงอวี้หน้าแดงและมองเขาอีกครั้ง ยังคงรีบถอยห่างอย่างขี้ขลาด บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งมีท่าทางเขินอายเช่นนี้กลับทำให้เจียงเฉิงเยว่รู้สึกขบขันเล็กน้อย “ข้ามักได้ยินพวกเขาพูดถึงฝ่าา...อันที่จริง...เข้ากับคนได้ง่ายยิ่งนัก...ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีเมตตาและอ่อนโยน...ต่างจากที่พวกเขาจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้เสียจริง...”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะ ‘พรืด’ ออกมา “โอ้? เดิมทีพวกเขาจินตนาการว่าข้าเป็อย่างไร? นิสัยขี้หงุดหงิดใจแคบไม่มีเหตุผลหรือ?” อันที่จริงก็ไม่อาจโทษพวกเขาได้ เพราะยามก่อเื่คราวก่อน องค์รัชทายาทเป็เช่นนั้นจริง
ซ่งชิงอวี้เขินอายเล็กน้อย รีบกล่าว “ไม่...ไม่ใช่...” จากนั้น เขารู้สึกว่าการปฏิเสธของตนดูไม่น่าเชื่อเท่าไร ใบหน้าจึงแดงยิ่งขึ้น เขาเงียบไปนานถึงพูดอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่ฝ่าาทรงมีพระทัยกว้างดุจมหาสมุทร...ให้อภัยอันธพาลเหล่านี้ เวลานี้พวกเขาจะผ่านไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ได้อย่างไร...ชิงอวี้ไม่เคยมีโอกาสที่จะ...กล่าวขอบพระทัยฝ่าาสักครา...”
เจียงเฉิงเยว่ “นักพรตซ่ง เกรงใจเกินไปแล้ว นอกจากนี้ก็...ลงโทษไปแล้วไม่ใช่หรือ? เด็กพวกนี้ขยันขันแข็งมาตลอดหลายวันนี้ ทำการใดก็ละเอียดอ่อน...แม้แต่อาจารย์ของข้าที่ได้เห็นยังชมไม่หยุดอยู่หลายประโยค”
ซ่งชิงอวี้พยักหน้า ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก
เจียงเฉิงเยว่คิดในใจ ท้ายที่สุดแล้วคนผู้นี้้าอะไร? หากบอกว่าอีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อพูดพล่ามขอบคุณเขาโดยเฉพาะ เขาไม่เชื่อเท่าไร เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาหมดวามอดทนที่จะคาดเดาอีกจึงถามตรงๆ “ที่นักพรตซ่งมาในวันนี้...ไม่ใช่แค่เพื่อกล่าวขอบคุณกระมัง”
ซ่งชิงอวี้ดูเหมือนจะถูกเขาปลุกในทันที อีกฝ่ายส่งเสียง “อา” ราวกับนึกอะไรได้ จากนั้นหยิบถุงผ้าเล็กๆ ออกมาจากถุงเฉียนคุนในแขนเสื้อ กัดริมฝีปากล่างแล้วใช้ฝ่ามือสองข้างมอบมันต่อหน้าเจียงเฉิงเยว่พร้อมบอกด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ชิงอวี้ได้ยินว่า...วันนั้น...ฝ่าาทรงอารมณ์สุนทรีย์อย่างหาได้ยาก จึงพาคนไปเก็บเห็ดสนในป่า...ภายหลังประสบกับเหตุการณ์นั้น เข้าไปรบกวนความสุขของฝ่าา ภายในใจของชิงอวี้รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง...ดังนั้น...ดังนั้น...เห็ดสนเหล่านี้...หากฝ่าา...”
เขายังไม่ทันพูดจบ เหล่าศิษย์น้องที่รออยู่ในที่ไม่ไกลเท่าไรเริ่มอมยิ้ม หนึ่งในนั้นอดไม่ได้ที่จะเอามือปิดปากบอกกับเขาเสียงเบา “ศิษย์พี่...ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าท่านเก็บมาด้วยตนเอง...”
คนที่เหลือต่างหัวเราะกันอย่างสามัคคี มีคนหนึ่งพูด “เคยบอกไปว่าจะไม่ช่วยส่งให้ท่าน ขอให้ท่านมาด้วยตนเอง ท่านก็ผัดวันประกันพรุ่งอยู่หลายวัน...ท่านดูสิ ฝ่าาไม่จับท่านกินใช่ไหมเล่า?”
ซ่งชิงอวี้หันกลับไปจ้องพวกเขาอย่างแข็งกร้าว ทว่าเหล่าเด็กหนุ่มกลับหัวเราะโหวกเหวกยิ่งกว่าเดิม
ซ่งชิงอวี้ถูกพวกเขาก่อกวนจนใบหน้าแดงราวกับเืจะรินไหล หลังจากหันมองเจียงเฉิงเยว่อีกครั้ง กลับเอ่ยอย่างกล้าหาญ “หากฝ่าาไม่รังเกียจ...ก็...โปรดทรงรับไว้...”
เจียงเฉิงเยว่เปิดริมฝีปาก ทว่ายังไม่ทันตอบ เสียงที่คุ้นเคยของคนผู้หนึ่งดังมาจากทางเดินจากสวนไกลๆ กล่าวออกมาเสียงดัง “ท่านนักพรต...ช่างมีน้ำใจ”
หลังจากทุกคนหันไปมอง กลับเห็นหลี่อวิ๋นหังเดินมาอย่างเชื่องช้า โดยเอามือไพล่หลังอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นเดินมายืนนิ่งอยู่ข้างกายของเจียงเฉิงเยว่ ทุกคนเลี่ยงไม่ได้ที่จะประสานมือทำความเคารพ “องค์ชายห้า...”
หลี่อวิ๋นหังยื่นมือออกมาดึงฝ่ามือของเจียงเฉิงเยว่ ท่าทีราวกับน้องชายกำลังออดอ้อนพี่ชายของตนเองอยู่ จากนั้นหันมามองพลางพูดกับซ่งชิงอวี้ด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาราวกับไม่ได้คิดอะไร “ความปรารถนาดีของนักพรตซ่งพวกเรารับไว้ด้วยใจ ช่างน่าเสียดาย...ที่เสด็จพี่ของข้ารับไว้ไม่ได้”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ภายหลังเห็นความมุ่งมั่นในดวงตาของอีกฝ่ายจึงเม้มปากอย่างขบขันแล้วไม่พูดอะไรอีก เขาจะรอดูว่าท้ายที่สุดแล้วเด็กคนนี้้าจะกล่าวอะไร
หลี่อวิ๋นหังหันมาหาเจียงเฉิงเยว่อีกครั้ง “เสด็จพี่...ขันทีจะไม่ปล่อยให้ท่านรับประทานของที่มิอาจอธิบายได้ ท่านคือองค์รัชทายาท แม้จะไม่ได้อยู่ในพระราชวังโซ่วหลิง อย่างไรกฎก็คือกฎ...อย่าทำให้ขันทีและเหล่าข้าราชบริพารต้องลำบากเสียดีกว่ากระมัง?”
ใบหน้าของซ่งชิงอวี้ค่อยๆ จางลงจากสีแดงกลายเป็ขาวซีด
เจียงเฉิงเยว่กัดริมฝีปากกลั้นยิ้ม แม้ว่าสิ่งที่หลี่อวิ๋นหังพูดจะเป็ความจริง ทว่าปฏิเสธผู้อื่นอย่างอหังการแทนเขา กลิ่นความหึงหวงที่รุนแรงเช่นนี้ หากเขายังไม่รับรู้อีก ฉิงชางจวินที่มีอายุมากกว่าร้อยปีก็นับว่าเสียเปล่า อีกทั้งก่อนหน้านี้เมื่อครึ่งเดือนก่อน ทำไมหลี่อวิ๋นหังถึงทำตัวแปลกๆ กับเขา ทำไมถึงโกรธจัดจนวิ่งไปผลักผู้อื่นจนหงายหลัง เขาเข้าใจขึ้นมาโดยพลัน...
เจียงเฉิงเยว่สบตา มองใบหน้าเล็กที่จริงจังของหลี่อวิ๋นหัง จากนั้นส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ แล้วหันไปพูดกับซ่งชิงอวี้ “นักพรตซ่ง...นี่...ที่อาหังพูดเป็ความจริง ข้าขอโทษ...ต้องปฏิเสธความปรารถนาดีของนักพรตซ่งเสียแล้ว”
ซ่งชิงอวี้รีบบอก “ไม่...ใช่ เป็เพราะชิงอวี้ไม่ได้คิดอย่างถี่ถ้วน...จึงทำให้ฝ่าาทรงลำบากใจ...”
เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้ม “นักพรตซ่งพูดอะไรกัน ความปรารถนาดีของนักพรตซ่งข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว”
ซ่งชิงอวี้ถอนหายใจก่อนหยิบถุงผ้ากลับอย่างอับอาย เขากล่าวลาเจียงเฉิงเยว่พร้อมนำเหล่าศิษย์สำนักชิงเฟิงจากไปอย่างรวดเร็ว
รอให้พวกเขาออกไปไกลแล้ว เจียงเฉิงเยว่ถึงค่อยปล่อยมือของหลี่อวิ๋นหัง เขาค้อมตัวไปตรงหน้าแล้วบีบใบหน้าอีกฝ่าย พูดอย่างโกรธๆ “เ้าคนเ้าเล่ห์ตัวน้อย!” แม้จะพูดเช่นนั้นกลับไม่ได้โกรธสักครึ่งส่วน ยังคงระบายยิ้มเล็กน้อยอย่างตามใจอยู่บนหน้า
หลี่อวิ๋นหังหน้าแดงเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาหมุนตัวจากไปโดยทิ้งตนมือไว้ด้านหลัง จึงรีบก้าวตามไปให้ทัน แล้วเอามือสอดเข้าไปในฝ่ามือนั้น เจียงเฉิงเยว่จับไว้ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลี่อวิ๋นหังเผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจในที่สุด
หลังจากเดินไปได้สองก้าว เจียงเฉิงเยว่กลับนึกอะไรบางอย่างได้ เขาหยุดฝีเท้าชั่วครู่แล้วบอก “อีกสองวันจะถึงคืนเดือนดับอีกแล้ว...”
หลี่อวิ๋นหังตอบกลับ “อืม”
เจียงเฉิงเยว่ถามอย่างรู้อยู่แล้ว “อาหังวาดค่ายกลขับไล่ิญญาชั่วร้ายได้ใช่หรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “อืม”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าเสด็จพี่จะมีหยกคู่เพลิงสุวรรณอยู่ในมือ...แต่ยังอยากให้อาหังช่วยสร้างค่ายกลเผื่อเอาไว้ พอดีกับค่ายกลของอาหังขาดอาวุธวิเศษสำหรับกดทับไว้...เช่นนั้นเสด็จพี่จะให้มันกับเ้าเพื่อกดค่ายกลนี้ ดีหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังมองเขา บนใบหน้ามีความประหลาดใจและคาดหวังอยู่เล็กน้อย
เจียงเฉิงเยว่กล่าวต่อ “หลังจากนี้่เจ็ดวันก่อนและหลังคืนเดือนดับของทุกเดือน...อาหังจะนอนกับข้าหรือไม่กัน?”
หลี่อวิ๋นหังมองเขาเป็เวลานาน ในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับ “ตกลง”
ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เจียงเฉิงเยว่คาดไม่ถึงคือ การนอนหลับด้วยกันจะยาวนานไปถึงสามปี
------------------------
[1] ความดีงามของหลงหยาง หมายถึง ความสัมพันธ์แบบผู้ชายรักกับผู้ชาย
[2] ผู้อยู่ใกล้ชาดติดสีแดง ผู้อยู่ใกล้หมึกย่อมติดสีดำ เป็สำนวน หมายถึง อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน มนุษย์จะเป็แบบนั้น
