บทที่ 100 เสาศักดิ์สิทธิ์
ฉู่อวิ๋นและมู่หรงซินขี่สุนัขบพิตริญญากันคนละตัว พวกมันรวดเร็วปานสายลม ไม่นานก็ผ่านทางเข้าถ้ำและมาถึงูเาหินเล็กๆ ได้ต้องแสงตะวันอีกครั้ง
ย่ำสายัณห์ ท้องฟ้าเป็สีแดงราวกับเื ฟ้าร้องฟ้าลั่นเสียงดังครึกโครม ทะเลเมฆล่องลอยเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง พุ่งเข้าหาใจกลางป่าสีเื ราวกับคลื่นสีแดงสดใสห้อยกลับหัวอยู่บนท้องฟ้า สวยงามเรืองรอง
“ท้องฟ้าผิดปกติเช่นนี้ ดูเหมือนวันนี้จะมีเื่เลวร้ายเกิดขึ้น เราต้องออกเดินทางโดยเร็วที่สุด!”
เมื่อมองดูหมอกสีแดงบนท้องฟ้า ฉู่อวิ๋นก็เคร่งเครียดขึ้นมาและบอกให้มู่หรงซินเร่งความเร็วสุนัขบพิตริญญา
“น่ากลัวจริงๆ! เหตุใดท่านพ่อจึงไม่เคยบอกว่ากระแสสัตว์ปีศาจจะทำให้หมอกสีแดงเปลี่ยนสี?” มู่หรงซินก็ใเช่นกัน นางเติบโตในเมืองไป๋หยางั้แ่เด็ก ไม่เคยออกจากบ้านไปไหนไกล นี่คือครั้งแรกที่นางได้เห็นสิ่งที่น่าแปลกตาเช่นนี้
ในเวลานี้ ความเงียบในป่าสีเืช่างน่าสะพรึงกลัว นอกจากฟ้าร้องที่ดังขึ้นเป็ระยะบนท้องฟ้า สัตว์ป่าและสัตว์ปีศาจดูเหมือนจะหยุดส่งเสียงราวกับว่าพวกมันหายไปอย่างกะทันหัน
สิ่งนี้ทำให้ทั้งฉู่อวิ๋นและมู่หรงซินรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ ในป่ามีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆ
ครั้งแรกที่พวกเขาออกมา เสียงคำรามของสัตว์ปีศาจยังคงดังก้องให้ได้ยิน แต่ตอนนี้กลับเงียบสนิท คิดว่าแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่นลงบนพื้นก็ยังคงได้ยินชัด นี่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ
นกบนท้องฟ้าหายไป สัตว์เบื้องล่างไร้สุ้มเสียง ป่าสีเืเงียบสนิท ทำให้ทั้งคู่ขนลุกเล็กน้อย
ที่นี่เงียบเกินไปจริงๆ
สักพัก ทั้งคู่ก็มาถึงรอบนอกของูเาหิน ทิวทัศน์กว้างใหญ่ เสียงลมพัดแรงหวีดหวิว มองไปไกลก็เห็นต้นไม้ใหญ่อยู่ข้างหน้าหนาแน่น ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า
ตอนนี้ ขอเพียงรีบลงทางลาดชันด้านหน้าก็จะเข้าสู่พื้นที่ใจกลางป่าสีเืได้แล้ว ซึ่งไม่ใช่เื่ยากสำหรับสุนัขบพิตริญญา
แต่ในยามนี้ สุนัขบพิตริญญาทั้งสองตัวหยุดกะทันหัน ขาของพวกมันสั่นอย่างรุนแรงจนสูญเสียการทรงตัวทันที ร่างกายทรุดลงกับพื้น ตัวสั่นระริก ทำให้ฉู่อวิ๋นงงงวย
ต้องทราบก่อนว่า สุนัขบพิตริญญา เป็สัตว์อสูรระดับกลาง แม้จะไม่สามารถเทียบกับสัตว์อสูรอย่างจระเข้กลืนฟ้าได้ แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็าาแห่งสัตว์อสูร มันภูมิใจและหยิ่งผยอง ยากเกินจะจินตนาการว่าพวกมันจะยอมศิโรราบ
สัตว์อสูรมีประสาทััที่แข็งแกร่งมาก สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวในป่าได้ดีกว่ามนุษย์ เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่แกร่งกว่า พวกมันก็เต็มใจที่จะยอมแพ้
แต่สิ่งใดเล่าที่ทำให้สัตว์อสูรระดับกลางยอมแพ้ได้?
“อย่ากลัว แค่รีบผ่านป่าสีเืไปก็ไม่เป็ไรแล้ว!” ฉู่อวิ๋นกังวลเล็กน้อยและพยายามเกลี้ยกล่อมสุนัขบพิตริญญา แต่พวกมันยังคงสั่นเทิ้ม ส่งเสียงครวญครางไม่หยุด ดวงตาของมันสั่นเทา
“อา! เ้าลูกหมาสองตัวนี่ที่ปุโรหิตอาหย่าให้มาดูไม่น่าเชื่อถือเกินไปแล้วนะ!” มู่หรงซินโกรธมากจนกล้าเอื้อมมือไปดึงหางสุนัขบพิตริญญา แต่สัตว์อสูรก็ยังคงคุกเข่าลง มันนอนหมอบบนพื้นดินไม่แยแส
“รีบไปเร็วสิ!”
ฉู่อวิ๋นเองก็รู้สึกรำคาญเช่นกัน เขาเห็นมู่หรงซินถอนขนมันออกมา เมื่อเห็นสิ่งใดก็ลอกเลียนสิ่งนั้น ฉู่อวิ๋นเองก็เริ่มถอนขนหางของสุนัขบพิตริญญาเช่นกัน แต่นอกจากส่งเสียงเล็กน้อยแล้ว มันก็ไม่ทำอะไรอีก
“เ้าอันธพาล รู้จักถอนหางคนอื่นเขาด้วยหรือ?” มู่หรงซินอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขา เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นดึงหางสุนัขบพิตริญญาด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ตอนนี้มีวิธีใดก็ต้องใช้ไปก่อน ถ้าตอนนี้ไม่ถือโอกาสรีบหนีแล้วถึงตอนนั้นคงหนีไม่ทัน รอบตัวมีแต่สัตว์ปีศาจ ข้าจะรอดูว่าเ้าจะกลัวหรือไม่” ฉู่อวิ๋นหันไปพูดด้วยความโมโห
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่หรงซินก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นกระแสสัตว์ปีศาจมาก่อน แม้จะเป็เพียงการโจมตีที่โหดร้าย แต่พลังของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่นักรบขอบเขตควบแน่นพลังปราณจะสามารถรับมือได้
ทันใดนั้น นางก็กระฉับกระเฉงขึ้น จับสุนัขบพิตริญญาพลิกไปมา เกลี้ยกล่อม ดุด่า และกระทั่งตบก้น แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ผล
ทั้งคู่มองหน้ากันครู่หนึ่งโดยคิดอะไรไม่ออก หากไม่มีสัตว์อสูรสองตัวนี้ พวกเขาก็ไม่กล้ารีบเข้าไปในป่าสีเื
“จิ๊ดจิ๊ด!”
ทันใดนั้น เสี่ยวหวงก็ออกมาจากอ้อมแขนของฉู่อวิ๋น มันะโขึ้นไปบนหัวของสุนัขบพิตริญญา ส่งเสียงร้องแหลมไม่หยุดและมองดูทุกอย่างด้วยดวงตากลมโต ดูตื่นเต้นมาก
เมื่อฉู่อวิ๋นเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเขากลอกไปมา เขาจำได้ว่าสุนัขบพิตริญญาพวกนี้ดูเหมือนจะกลัวเสี่ยวหวงมาก ตอนนั้นพวกมันปล่อยให้เสี่ยวหวงนอนบนหลังโดยไม่มีการบ่นใดๆ ซึ่งคล้ายกับตอนนี้ที่พวกมันนอนหมอบอยู่กับพื้น
ดังนั้น เขาจึงพยายามพูดกับเสี่ยวหวง “เ้าหนูน้อย เ้าลองพูดให้สุนัขบพิตริญญาพาเราออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่? ไม่เช่นนั้นเราคงจะตายอยู่ที่นี่แน่"
“จิ๊ด? จิ๊ด~”
เสี่ยวหวงหันกลับมา เห็นสีหน้าของมนุษย์ก็พยักหน้า
มันะโขึ้นไปบนหัวของสุนัขบพิตริญญาราวกับว่ามั่นใจมาก ส่งเสียงจิ๊ดๆ ออกมา หากไม่ใช่เพราะเสียงนั่นฟังดูน่ารัก คงรู้สึกเหมือนการออกคำสั่ง
เดิมทีฉู่อวิ๋นแค่อยากจะลองดู แต่ไม่คาดคิดว่ามันได้ผลจริงๆ! หลังจากที่เสี่ยวหวงส่งเสียงร้องออกไป สุนัขบพิตริญญาสองตัวก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจทันที ดวงตาของพวกมันกลายเป็ไร้เดียงสา
แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้คุกเข่าอีก แต่ก็ยังไม่มีความตั้งใจที่จะวิ่ง แค่ยืดตัวและมองไปไกลๆ เช่นเดียวกับเสี่ยวหวง
“เ้าหนูน้อย บอกให้พวกมันวิ่งเร็ว!” ฉู่อวิ๋นถอนหายใจ แทบอยากจะหันหลังกลับไปถ้ำลับเผ่าสุนัขเพื่อเปลี่ยนพาหนะ สุนัขบพิตริญญาสองตัวนี้ไม่เชื่อฟังเลย!
“ตึง——!!!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่น่าใดังมาจากระยะไกล ราวกับสายฟ้าฟาดในวันที่สดใส ทำให้อากาศสั่นไหว แม้แต่พื้นโลกก็สั่นะเื
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้ฉู่อวิ๋นและมู่หรงซินหวาดกลัว พวกเขารีบปิดหูทันที เสียงดังเมื่อครู่นี้น่ากลัวและทรงพลังมากจนทำให้แก้วหูของทั้งคู่เจ็บแปลบขึ้นมา
“ฟิ้ว!”
ทั้งสองมองไปในระยะไกล เห็นลำแสงสีแดงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากสุดสายตา หยัดนิ่งอยู่บนท้องฟ้า ส่องแสงเจิดจ้าและพร่างพราว ราวกับเสาศักดิ์สิทธิ์เจาะทะลุท้องนภา
ทันใดนั้น เมฆสีแดงก็เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปทุกทิศทุกทาง! เช่นเดียวกับคลื่นทะเลอันรุนแรงที่ปั่นป่วนทำลายชายฝั่ง หมอกสีแดงในอากาศเข้ามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งเข้าหาเสาศักดิ์สิทธิ์อย่างบ้าคลั่ง!
“ตูม——!!”
ในชั่วพริบตา ท้องนภาก็มืดครึ้ม ฟ้าร้องคำรามลั่น ราวกับว่าโลกกำลังจะถูกทำลาย!
พลังนั้นน่าประหลาดใจมาก มันทำให้เกิดลมพัดแรง ใบไม้สีเขียวปลิวว่อนไปทั่วพื้นที่ ต้นไม้ขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนแกว่งไกวและโค่นล้ม แม้แต่ฉู่อวิ๋นและมู่หรงซินก็ทำได้เพียงจับสุนัขบพิตริญญาแน่นด้วยความใ
“ลำแสงนั้นมันอะไรกัน?!” ฉู่อวิ๋นมองไปไกลๆ และอุทานออกมาท่ามกลางสายลมอันรุนแรง เสื้อคลุมของเขาปลิวว่อน
เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับลำแสงนี้เพราะเคยเห็นมันมาสองครั้งแล้ว ครั้งแรกตอนอยู่ที่ทะเลโอสถในป่าสนธยา และครั้งที่สองคือตอนที่เขาเข้าไปในป่าสีเืครั้งแรก แต่ตอนนี้ กระแสรุ้งสีแดงสดที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันไม่หายไปไหน แต่กลับพุ่งสู่ท้องฟ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ!
ทันใดนั้น ด้วยสายลมอันแรงกล้า เสาศักดิ์สิทธิ์ก็ส่องสว่างอีกครั้ง! ด้วยเสียงหวีดหวิว พัดเอาระลอกพลังที่มองไม่เห็นหลายลูกกระจายออกไปในทุกทิศทาง พวกมันรวดเร็วและแข็งแกร่ง!
“ตึง!”
พลังนี้เคลื่อนที่ผ่านความว่างเปล่าอย่างไม่มีใครเทียบได้ ฉู่อวิ๋นและมู่หรงซินไม่กล้าฝืน ทำได้เพียงโน้มตัวลงกอดสุนัขบพิตริญญาไว้แน่น มิฉะนั้น พวกเขาจะต้องได้รับผลกระทบจนาเ็ภายในแน่นอน
แต่ระลอกพลังนี้พัดมาเพียงชั่วขณะและกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว
“ฮู้ว... พลังนั่นน่ากลัวมาก! หากถูกโจมตีเข้าตรงๆ ข้าจะรอดออกไปหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้!” ฉู่อวิ๋นถอนหายใจ นั่นทำให้เขารู้สึกว่ายังมีสิ่งมีชีวิตลึกลับอีกมากมายบนโลกใบนี้ที่มนุษย์ไม่สามารถต่อกรได้ง่ายๆ
“นี่! เ้ารีบดูข้างล่างสิ!”
ในเวลานี้ ก่อนที่ฉู่อวิ๋นจะทันโต้ตอบก็ได้ยินเสียงมู่หรงซินร้องเรียก เขารีบก้มหน้ามองลงไป เห็นเพียงต้นไม้น้อยใหญ่โค่นลงบนพื้นทีละต้น ฝุ่นควันฟุ้งตลบขึ้นสู่ท้องฟ้า แลดูค่อนข้างน่ากลัว
หลังจากนั้น ต้นไม้เกือบทั้งหมดก็ถูกทำลายจนสิ้น กลายเป็กองเศษไม้ที่ปลิวว่อนไปทั่ว ทั้งยังแตกออกเป็เสี่ยงๆ สถานที่แห่งนั้นก็ราพณาสูรไปในทันที
จากป่าทึบรกชัฏ กลายเป็ทรายเหลืองดินแดง[1]ไปในพริบตา ราวกับว่าถูกดาวตกร่วงใส่ สถานการณ์วุ่นวายขึ้นมาทันตา!
“์! นี่มันอะไรกัน?!” ทันใดนั้น ฉู่อวิ๋นก็อุทานอีกครั้งด้วยสีหน้าตกตะลึง
เมื่อฝุ่นควันค่อยๆ จางหายไปก็เริ่มมองเห็นว่าบริเวณพื้นที่ขนาดใหญ่ด้านล่างเต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจหนาแน่น ทรงพลังอย่างท่วมท้น แต่พวกมันทั้งหมดล้วนคุกเข่าลงบนพื้น ตัวสั่นเทา และแสดงการคำนับให้เห็นจากไกลๆ!
เมฆาสีชาดที่คล้ายเืเคลื่อนตัวไปทุกทิศ และภายใต้สายรุ้งศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ทุกตัวกำลังแสดงความเคารพ!
“นี่... เกิดอะไรขึ้น?” มู่หรงซินเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ดวงตาคู่งามของนางเบิกกว้าง พูดอะไรไม่ออกเลย
“หรือว่าคำทำนายที่ท่านปุโรหิตอาหย่าพูดไว้นั้นเป็เื่จริง ด้านหน้านี้คือเทพลงมาเยือนหรือ?” เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย หายใจถี่เร็ว
“อาฮู้ว——”
สุนัขบพิตริญญาสองตัวก็คุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้ง ตัวสั่นระริก ไม่น่าเชื่อว่าสัตว์อสูรคู่บารมีพวกนี้จะกลายเป็สุนัขบ้านไปในพริบตา
“จิ๊ดจิ๊ดจิ๊ด!”
ในเวลานี้ มีเพียงเสี่ยวหวงเท่านั้นที่ยังคงสงบ มันไม่ได้รับผลกระทบจากลำแสงศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับะโอย่างมีชีวิตและตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น มันก็หันกลับมาและะโเข้าไปในอ้อมแขนของฉู่อวิ๋นพร้อมกับส่งเสียงร้อง ดวงตาโตเป็ประกายแวววาว
“เ้าหนูน้อย เ้าจะทำอะไร?” เมื่อเห็นพลังที่พุ่งสูงของเสี่ยวหวง ฉู่อวิ๋นก็ไม่แปลกใจเลย เขารู้มานานแล้วว่าสัตว์ปีศาจน้อยตัวนี้ไม่ธรรมดาและอาจมีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน
“จี๊ด~ จี๊ด! จี๊ด!” เสี่ยวหวงจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโตที่น่าสงสารของมันแล้วกลิ้งไปรอบๆ บางครั้งก็มองไปที่เสาศักดิ์สิทธิ์ในระยะไกล ราวกับว่ามัน้าให้ฉู่อวิ๋นรีบเร่งไปในทิศทางนั้น
“ถ้าเ้าอยากไปที่นั่น ที่นั่นมีแต่สัตว์ปีศาจเต็มไปหมด อันตรายมากนะ” ฉู่อวิ๋นส่ายหัว เขาวางแผนที่จะเดินอ้อมรอบเสาศักดิ์สิทธิ์ เพราะยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไร สัตว์ปีศาจก็จะมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าตอนนี้สัตว์ปีศาจยังคงคุกเข่าอยู่ แต่พวกมันอาจพุ่งมาโจมตีได้ตลอดเวลา เมื่อสัตว์ปีศาจพุ่งเข้ามา แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากสุนัขบพิตริญญาก็ยังสามารถตายได้ทุกเวลา
นี่มันเสี่ยงเกินไป
“จิ๊ดจิ๊ด…” เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นปฏิเสธ เสี่ยวหวงก็หลั่งน้ำตาทันที มันเม้มปากและเป่าฟองสบู่ออกมา ดูโดดเดี่ยวมาก
“เ้าก้อนเมฆลามก เ้ารังแกเสี่ยวหวงที่น่ารักได้อย่างไร?!” เมื่อเห็นท่าทางที่น่าสงสารและน่ารักของเสี่ยวหวง มู่หรงซินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หัวใจน้อยๆ ของนางเต้นระส่ำ นางแนะนำว่า “ข้างหน้ามีสัตว์ปีศาจเต็มไปหมด พวกเราแค่รีบเดินไปทางเสาศักดิ์สิทธิ์แค่นั้นเอง”
“อีกอย่าง คุณหนูเช่นข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าลำแสงนั่นคืออะไร?”
“ฮิฮิ อีกอย่าง สุนัขบพิตริญญาฟังเพียงคำพูดของเสี่ยวหวงเท่านั้น ต่อให้เ้าจะห้ามก็ไม่มีประโยชน์”
หลังจากพูดจบ มู่หรงซินก็แสดงท่าทางเ้าเล่ห์ จ้องมองที่เสี่ยวหวง ทำให้มันพยักหน้าเห็นด้วย มันเอาแต่ร้อง “จิ๊ดจิ๊ด” แล้วมุดเข้าไปในอ้อมแขนของฉู่อวิ๋นพร้อมแสดงท่าทางออดอ้อน
“เ้าสองคน... ร่วมมือกันหลอกข้าหรือ?” ฉู่อวิ๋นยกยิ้มหน้าเบ้ จากนั้นครุ่นคิดเล็กน้อย และได้แต่ถอนหายใจ “เฮ้อ พรหาใช่คำสาป หากเป็คำสาปก็ไม่อาจเลี่ยง เช่นนั้นก็เชื่อเ้าหนูเช่นเ้าสักครั้งก็แล้วกัน”
----------
[1] ราบเป็หน้ากลอง