ฉู่ชิงหยวนหันมองฉู่ลี่ก้มหน้า เอ่ยเสียงอ่อย “น้องไม่ได้ชอบใครทั้งนั้นแหละ น้องกับพี่สะใภ้หกพูดกันไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหรอก”
ฉู่ลี่มองฉู่ชิงหยวนด้วยสายตาไม่ค่อยเชื่อถือ เมื่อครู่ที่เห็นนางกับมู่อวิ๋นจิ่นคุยกันด้วยสีหน้าจริงจัง ก็เดาได้ว่าในเวลานี้นางกำลังโกหกอยู่
ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าฉู่ชิงหยวนกำลังโกหก ทว่าฉู่ลี่กลับไม่ฉีกหน้าแต่อย่างใด
ฉู่ชิงหยวนนึกว่าสามารถรับมือกับฉู่ลี่ได้แล้ว จึงค่อยๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก และเมื่อเห็นฉู่ลี่เดินทางกลับมาถึงจวนแล้ว นางก็อยู่ต่อไม่ได้แล้ว
“พี่หก อย่างนั้นน้องขอตัวกลับก่อน”
“อืม”
……
ด้านมู่อวิ๋นจิ่นที่เอนตัวลงบนเตียง ได้ยัดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม นอนอย่างเกียจคร้าน
น้องเก้าเด็กน้อยคนนี้ ทำไมพูดจาเพ้อเจ้อ ไม่รู้จักดูสถานการณ์เสียเลย ทำเอานางขายขี้หน้าจนหมดสิ้น
“เฮ้อ” มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจ เงยหน้ามองเพดาน
จู่ๆ ประตูมีเสียงเคาะดังขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินรีบลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว “ใคร?”
“คุณหนู บ่าวเองเ้าค่ะ” เสียงจื่อเซียงดังขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นค่อยๆ ผ่อนอิริยาบถเอนตัวลงไปนอนบนเตียงดังเดิม “เข้ามาได้”
จื่อเซียงผลักประตูเข้ามา พร้อมกับยื่นจดหมายหนึ่งฉบับที่อยู่ในมือให้กับมู่อวิ๋นจิ่น “นี่เป็จดหมายที่ป้าจางให้คนมาส่งให้เ้าค่ะ”
“ป้าจาง?” มู่อวิ๋นจิ่นครุ่นคิดอยู่นานก็ยังนึกไม่ออกว่าเป็ใคร จึงยื่นมือรับจดหมายเปิดอ่านดู
หลังจากที่อ่านจบแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นวางจดหมายฉบับนั้นลง โชคดีที่เป็เพียงการทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ หากมีเื่ที่ไม่ดีเกิดขึ้น นางคงไม่มีเรี่ยวแรงไปจัดการให้ใครทั้งนั้น
“ป้าจางเขียนว่าอะไรหรือเ้าคะ?” จื่อเซียงถามอย่างใคร่รู้
มู่อวิ๋นจิ่นยู่ปากตอบ “แค่ทักทายถามไถ่ ประเดี๋ยวไปเตรียมกระดาษ พู่กันและหมึกมาให้ข้าที ข้าจะตอบจดหมายกลับไป เพื่ออีกฝ่ายจะไม่ต้องเป็ห่วง”
“ได้เ้าค่ะคุณหนู”
“อืม” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ จากนั้นนั่งนิ่ง ก่อนเหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ชิงหยวนกลับไปหรือยัง?”
“กลับไปเมื่อครู่นี้เองเ้าค่ะ” จื่อเซียงตอบ
“แล้วฉู่ลี่ละ?” มู่อวิ๋นจิ่นถามขึ้นต่อ
จื่อเซียงยิ้มมุมปาก “องค์ชายหกกำลังนั่งอยู่ข้างนอก จะให้บ่าวไปเชิญมาให้ไหมเ้าคะ?”
“อะไรนะ? เขานั่งอยู่ข้างนอก?” มู่อวิ๋นจิ่นใจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก ด้วยสีหน้าที่เริ่มแดงระเรื่อ
รู้สึกเหมือนแก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวๆ มู่อวิ๋นจิ่นแอบต่อว่าตนเองที่แต่ก่อนไม่ใช่คนหน้าบางเช่นนี้
มาตอนนี้แค่เอ่ยถึงอีกฝ่าย ก็มิอาจยับยั้งใบหน้าให้แดงระเรื่อได้
“คุณหนูเป้นอะไรไปเ้าคะ?” ทะเลาะกับองค์ชายหกเหรอเ้าคะ?” จื่อเซียงถามขึ้นอย่างห่วงใย ที่เห็นสีหน้ามู่อวิ๋นจิ่นไม่สู้ดี
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้าปฏิเสธ ยกมือโบกไปมา “เ้าไปช่วยข้าเตรียมกระดาษ พู่กันและหมึกมาเร็วเข้า ข้าขอตอบจดหมายป้าจางให้เรียบร้อยก่อน”
จื่อเซียงก้าวออกประตูได้เพียงก้าวเดียว นึกบางอย่างขึ้นมาได้หันกลับมาพูดว่า “คุณหนู เมื่อเช้าที่บ่าวซักอาภรณ์คุณหนู พบของสิ่งนี้อยู่ในแขนเสื้อเ้าค่ะ”
จื่อเซียงยื่นกระดาษสีแดงส่งมาให้
มู่อวิ๋นจิ่นมองดูพบว่าเป็กระดาษที่นางเขียนไว้เมื่อคืนตอนเย็นว่า “พวกเราจะดีไปด้วยกัน” จึงยื่นมือออกไปรับ
เมื่อคลี่ออกดู ไม่รู้ว่าเป็เพราะโดดน้ำหรืออย่างไร ตัวอักษรสีดำที่เขียนกลับผสมปนเปจนอ่านไม่ออก
ด้วยความใ มู่อวิ๋นจิ่นกลับปล่อยมือจนกระดาษร่วงหล่นลงพื้น
จื่อเซียงเห็นกระดาษเลอะจนอ่านไม่ออก นุกว่ามู่อวิ๋นจิ่นไม่้าแล้ว จึงก้มตัวลงไปเก็บเตรียมหยิบไปทิ้ง
“เดี๋ยวก่อน” มู่อวิ๋นจิ่นเรียกให้จื่อเซียงหยุด ยื่นมือออกไป “เอามาให้ข้าแล้วกัน”
จื่อเซียงเงยหน้าขึ้นมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความสงสัยในกิริยาที่เปลี่ยนไป
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มคิกคัก หยิบกระดาษแดงพับเข้าเก็บในอาภรณ์ด้านใน
หลับจากนั้นไม่นาน ประตูห้องถูกเคาะดังขึ้นอีกครั้ง
มู่อวิ๋นจิ่นนึกว่าจื่อเซียงนำกระดาษ หมึกและพู่กัน จึงรีบเอ่ยขึ้น “เข้ามาได้”
ประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้า
มู่อวิ๋นจิ่นเงยหน้าขึ้น พูดกับคนที่เดินเข้ามาโดยไม่ได้หันไปมอง “เ้าว่าต้นไม้โบราณพันปีจะมีชีวิตยืนยาวอีกนานเพียงใด? หากวันใดเหี่ยวเฉาตายไป แผ่นกระดาษแดงที่เขียนความปรารถนาแขวนไว้เต็มต้น อาจไม่สามารถกลายเป็จริงได้ใช่ไหม?”
“สมองของเ้า ั้แ่เช้ายันค่ำคิดเื่แปลกประหลาดอะไรกันเนี่ย” เสียงนี้ดังขึ้นจากบนหัว
เมื่อได้ยินเสียงนั้น มู่อวิ๋นจิ่นสะดุ้งโหยงจนหน้าซีด เห็นชายเสื้อของฉู่ลี่ด้วยหางตา “เ้ามาได้ยังไง?”
“อย่ามาบอกเปิ่นหวงจื่อว่าท่าทางของเข้าในตอนนี้ กำลังเขินอาย” ฉู่ลี่นึกถึงภาพที่มู่อวิ๋นจิ่นหน้าแดงระเรื่อ เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนจอมเ้าเล่ห์ที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน
“ฉู่ลี่!” มู่อวิ๋นจิ่นกัดฟันเอ่ยชื่อ จ้องด้วยแววตาลุกเป็ไฟ “ใครอายกัน!!!”
ฉู่ลี่แสยะยิ้ม ก่อนเอ่ยขึ้น “ท่าทางแบบนี้แหละค่อยเป็ตัวเ้าหน่อย!”
“ห๊ะ?” มู่อวิ๋นจิ่นปรับอารมณ์ไม่ทัน
“ท่าทางไม่เหมือนสตรี นั่นแหละเป็ตัวเ้ามากที่สุด”
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักไปชั่วขณะ ยกมือขึ้นเกาหัว ไตร่ตรองประโยคนั้น ก่อนอ้าปากค้าง “เ้ากำลังด่าประชดข้า?”
……
จื่อเซียงนึกว่าภายในห้องมีเพียงมู่อวิ๋นจิ่นอยู่ผู้เดียว จึงถือกระดาษ พู่กันและหมึกเดินเข้ามา แต่เมื่อเห็นฉู่ลี่ยืนอยู่ถึงกับใสะดุ้งโหยง
“บ่าวผิดไปแล้ว ขอองค์ชายและพระชายายกโทษให้ด้วยเพคะ” สิ้นเสียงนางรีบกุลีกุจอจะเดินออกไป
“ทำผิดอะไรเล่า รีบกลับมาเดี๋ยวนี้ รอให้ข้าเขียนจดหมายตอบกลับให้เสร็จก่อน” มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นนั่งบนเตียง สวมรองเท้า แล้วเดินไปที่โต๊ะ
ฉู่ลี่เห็นนางจะเขียนจดหมายตอบกลับ จึงเดินตามอยู่ด้านข้างด้วยความใคร่รู้
จื่อเซียงช่วยฝนหมึก ส่วนมู่อวิ๋นจิ่นใช้พู่กันจุ่มแล้วตวัดอักษรบนกระดาษ ด้วยมีที่สั่นเครือ ค่อยๆ บรรจงเขียนทีละตัวอย่างยากเย็น
พูดก็พูดเถอะ มู่อวิ๋นจิ่นเขียนอักษรได้น่าเกลียดเสียเหลือเกิน
แต่ด้วยความพยายามทีละขีดทีละเส้น ก็สามารถเขียนจนเต็มแผ่นได้ ถึงแม้จื่อเซียงจะไม่เข้าใจตัวหนังสือ แต่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นเขียนอย่างตั้งใจ ถึงได้รู้ว่าคุณหนูของนางเขียนอักษรได้
ฉู่ลี่รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่นทำเป็ในหลายๆ อย่าง ไม่รู้ว่าทำไมนางต้องเป็เกือบทุกอย่าง แต่กลับยอมกล้ำกลืนฝืนทนให้คนอื่นด่าทอว่าเป็คนไร้ความสามารถ
“เสร็จแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นวางพู่กันลง หยิบกระดาษขึ้นมาเป่าให้หมึกแห้งโดยเร็ว
จื่อเซียงรับจดหมายจากมือมู่อวิ๋นจิ่นร้องด้วยความใ “คุณหนูไปเรียนเขียนอักษรมาจากที่ไหนเ้าคะ?”
“หึ เป็ั้แ่อยุสามขวบแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นยักคิ้วหลิ่วตา ยกน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างวางท่า
ฉู่ลี่ได้ยินสิ่งที่นางเอ่ย รีบเบือนปากสัพยอก “สามชวบก็เขียนได้แล้ว แต่ดูแล้วทำไมเขียนได้น่าเกลียดเช่นนี้ สงสัยมีเ้าคนเดียวกระมังที่เป็เเบบนี้”
“……”
มู่อวิ๋นจิ่นรีบวางถ้วยน้ำชาในมือลง กำแส้หางหงส์แน่นถนัด “ฉู่ลี่ วันนี้เ้าอยากสู้กับข้าให้ตายกันไปข้างใช่ไหม?”
ฉู่ลี่ผายมืออย่างไร้ความกดดัน
มู่อวิ๋นจิ่นอยากระบายความโกรธภายในใจที่สุมทรวง ทว่าคิดในใจแล้ว นางอาจมิใช่คู่ต่อสู้ของฉู่ลี่
……
จากนั้นเวลาล่วงเลยมาจนถึงอาหารมื้อเย็น
แม่นมเสิ่นกับติงเซี่ยนยืนพิงประตู จานอาหารถูกวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ ทั้งสองได้แต่ปรายตามองเ้านายทั้งสองด้วยใบหน้าอมยิ้ม
แม่นมเสิ่นสะกิดแขนของติงเซี่ยน กระซิบกระซาบขึ้นว่า “เมื่อก่อนได้ยินว่าคุณหนูสามมู่แต่งกับองค์ชายของพวกเรา ยังเป็ห่วงองค์ชายแทบตาย มาเดี๋ยวนี้พวกเราไม่จำเป้นต้องห่วงอีกแล้ว”
ติงเซี่ยนพยักหน้าเห็นด้วย ยกนิ้วชี้ขึ้นมาปิดปาก แล้วชี้ไปที่โต๊ะอาหาร
แม่นมเสิ่นมองดูด้วยความเข้าใจนัยยะที่เขา้าสื่อ
“นี่ ทำไมเ้าไม่กินหูหลัวปัว[1] มิน่าสายตาของเ้าถึงมองไม่เห็นตอนกลางคืน” มู่อวิ๋นจิ่นชำเลืองมองอาหารที่ฉู่ลี่คีบใส่ชาม โดยพยายามเลี่ยงไม่ทานหูหลัวปัว
หูหลัวปัวสามารถช่วยในการมองเห็นในยามค่ำคืน อีกหน่อยจะได้ไม่ต้องถือโคมไฟนำทางที่ทั้งหนักทั้งใหญ่ให้รุงรัง
ฉู่ลี่ได้ยินมู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ จึงยื่นตะเกียบไปลองเชื่อนาง คีบหูหลัวปัวเข้าปาก
“ค่อยยังชั่วหน่อย ข้าเนี่ยหวังดีกับเ้า!” มู่อวิ๋นจิ่นพูดไปพลางยกจานหูหลัวปัวมาวางไว้เบื้องหน้าฉู่ลี่
ฉู่ลี่คีบหูหลัวปัวที่ไร้รสชาติเข้าปากอย่างต่อเนื่อง พลางเหลือบไปทางมู่อวิ๋นจิ่น ถามอย่างเ็า “เป็เพราะเ้าไม่อยากถือโคมไฟสิท่า”
“......” มู่อวิ๋นจิ่นพยายามกลั้นยิ้มอย่างสาแก่ใจ
ต่อจากนั้นฉู่ลี่คีบหูหลัวปัวทานไปกว่าครึ่งจาน ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง กระอักกระอ่วนแทบอยากอาเจียนออกมา
“คุณหนู คุณหนู……” จื่อเซียงวิ่งพรวดเข้ามาด้วยท่าทางลนลาน
มู่อวิ๋นจิ่นยกน้ำขึ้นจิบ ก่อนถามอย่างใจเย็น “เกิดอะไรขึ้น?”
“มีข่าวคุณหนูสี่บอกว่านางป่วยจวนจะไม่ไหวแล้วเ้าค่ะ พระชายาหรงให้คนมาส่งข่าว บอกว่าในฐานะที่เป็พี่สาว ขอให้ไปดูใจคุณหนูสี่หน่อยเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นนึกไว้ไม่มีผิด “ทำไมเื่ของจวนหรงต้องมาข้องเกี่ยวกับนางด้วย มู่หลิงจูป่วยจวนไม่ไหว ก็ให้พระชายาหรงเตรียมงานขาวดำรอก็สิ้นเื่ ข้าไม่ใช่เทพเซียน ที่ไปดูนางแล้วจะหายป่วยในพริบตาใช่ไหม?”
“ที่สำคัญข้าส่งยาทานและทายาไปให้แล้วมิใช่หรือ? ทำไมจะไม่ไหวอีก? ยัยแก่ตระกูลคงอยากแหกตาข้าสิท่า!!!” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
จื่อเซียงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
“ตอนนี้คนของจวนหรงยังรออยู่ด้านนอก คุณหนูจะให้ไปบอกว่ายังไงดีเ้าคะ?” จื่อเซียงถามอย่างหวาดกลัว
มู่อวิ๋นจิ่นหันไปทางฉู่ลี่ ให้เขาเป็คนออกความเห็น
ฉู่ลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับไม่อยากเข้าไปยุ่งเื่นี้ “เื่นี้แล้วแต่อารมณ์ของเ้าเลย”
“หากมีเื่ใด จงจำไว้ว่าให้เป่านกหวีดเรีนกองครักษ์ลับแล้วกัน” ฉู่ลี่กล่าวจบก็เดินไปข้างนอก
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปาก ชั่งใจอยู่นานสองนาน ก่อนหันไปกวักมือเรียกจื่อเซียง “ไป ตามข้าไปจวนหรง”
“อย่างไรเสีย มู่หลิงจูก็เป็สตรีที่อยู่ร่วมชายคากันมาก่อน ตอนนี้จวนอัครเสนาบดีมู่กับจวนท่านแม่ทัพฉิน ต่างฝ่ายต่างมีคลื่นใต้ต่อกัน ข้าคงไม่ยอมให้ตระกูลฉินได้โอกาสเหนือกว่า”
“เ้าค่ะ คุณหนู”
เมื่อเดินออกไปที่ประตูจวน ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว สายลมพัดผ่านให้ความรู้สึกเย็นกายมิน้อย
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งรถม้าที่จวนหรงส่งมารับ แล้วคว้าแขนจื่อเซียงให้ขึ้นมานั่งด้วยกัน โดยกลัวว่านางอยู่นอกรถม้าอาจถูกบ่าวใช้จวนหรงกลั่นแกล้ง
ตลอดเส้นทางรถม้าโคลงเคลงจนอาหารเย็นที่มู่อวิ๋นจิ่นเพิ่งทานเข้าไป แทบจะพุ่งออกมา แววตาของนางมองรถม้าที่ทั้งเก่าทั้งสกปรกด้วยสายตาหยามเหยียด
ดูท่าพระชายาหรงไม่ใช่คนที่จะจัดการได้โดยง่าย
หลังจากนั้น รถม้าได้หยุดลง มู่อวิ๋นจิ่นเดินลงไปเห็นรอบตัวมืดสนิท มีเพียงโคมไฟที่แขวนอยู่ตรงหน้าต่าง
“นี่ประตูหลังจวน?” มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วถามคนขับรถม้า
คนขับรถม้าเห็นสายตาพิฆาตของมู่อวิ๋นจิ่น ร่างทั้งร่างสั่นสะเทิ้มด้วยความหวดกลัว “กฏของจวนหรงคือหลังจากทานอาหารเย็นแล้ว ประตูใหญ่ด้านหน้าต้องดับโคมไฟ ครั้งนี้พระชายาหรงกลัวเป็การเสียมารยาท จึงให้ข้าน้อยพาพระชายาหกมาที่ประตูหลังจวน ที่ตั้งใจจุดไฟเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้น ข้าต้องขอบคุณนางใช่หรือไม่?”
[1] หูหลัวปัว คือ แครอท