ที่บ้านของสวีเหวินเหวินเกิดเื่
ในตอนแรกเธอยังลังเลที่จะเล่า แต่ขอบตาคล้ำและท่าทีที่จิตใจไม่อยู่กับตัวทำให้คนที่เห็นอดเป็ห่วงไม่ได้ ซูอินไล่ถามถึงสามครั้งอีกฝ่ายจึงยอมพูดความจริง
“ไม่มีเงินแล้ว”
การเรียนหลักสูตรเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัยในตัวมณฑลกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า และหยางอวี้หลานคือผู้ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมก็เตรียมตัวเก็บกระเป๋าเพื่อเข้าไปในมณฑล ถึงแม้ว่าการเข้าศึกษาหลักสูตรเพิ่มเติมนี้จะไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนมีเื่ต้องใช้จ่ายหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็อาหาร เสื้อผ้า ที่พัก และการเดินทาง ตลอดจนการสื่อสารล้วนจำเป็ต้องใช้เงิน
หลายปีมานี้ในตระกูลสวีมีเพียงหยางอวี้หลานที่ทำงานหาเงิน แต่เธอเต็มใจทนต่อความยากลำบาก ขอเพียงโรงพยาบาลเรียกตัวเธอก็ไม่คิดปฏิเสธ หากคำนวณดู แต่ละเดือนที่ทำงานล่วงเวลาก็ได้รับค่าจ้างไม่น้อย เงินเดือนของเธอคนเดียวเกือบเท่ากับคนทำงานสองคน อันที่จริงมันก็เหมือนกับครอบครัวทั่วไปที่มีรายได้สองทาง
ปกติหยางอวี้หลานใช้ชีวิตอย่างประหยัด แต่คำโบราณว่าไว้ อยู่บ้านยากจน อยู่บนถนนคือคนรวย เมื่อออกจากบ้านในมือต้องถือเงินเผื่อไว้มากกว่าปกติ ให้มั่นใจว่าเมื่อเกิดเื่ฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบาก
อย่างไรก็ตามครอบครัวก็สามารถหาเงินในส่วนนั้นมาได้
หยางอวี้หลานคิดไว้อย่างดี แต่เมื่อสอบถามแม่เฒ่าสวีที่เป็ผู้ดูแลเงินส่วนนั้น อีกฝ่ายกลับหลบตาและแสดงท่าทีลังเล
ผัดวันประกันพรุ่งหลายครั้ง อีกไม่กี่วันก็ต้องเดินทางไปศึกษาหลักสูตรเพิ่มเติม หากยืดเวลาไปอีกจะต้องส่งผลกระทบอย่างแน่นอน หยางอวี้หลานจึงนำบัตรประชาชนไปที่ธนาคารเพื่อออกบัตรกดเงินใบใหม่
เมื่อได้บัตรมา เธอก็ตรวจสอบยอดเงินและพบว่าที่เหลืออยู่เป็เพียงเศษเงิน
“เป็ไปได้ยังไง เงินอยู่ในธนาคาร ไม่มีใครนำออกไปได้ แม้ว่าจะเป็ความผิดพลาดของธนาคาร แต่ถ้าแจ้งเื่ไปก็สามารถเรียกเงินคืน สวีเหวินเหวินบอกว่าปกติคุณย่าเป็คนถือบัตรใช่ไหม เป็ไปได้ไหมว่าคุณย่ามีเื่จนต้องกดเงินพวกนั้นออกมา”
อวี๋ฉิงถามเข้าประเด็นสำคัญ และเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของสวีเหวินเหวินก็รู้ได้ทันทีว่าเื่เป็เช่นนั้นจริงๆ
“เื่จริงหรือ”
อวี๋ฉิงแสดงสีหน้าตกตะลึง
ในหัวของซูอินนึกถึงภาพเหตุการณ์หนึ่ง แม่เฒ่าสวีที่มีผมหน้าม้าถือธนบัตรหนาหลายปึก เดินเข้าไปในซอยเล็กด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ
นี่เป็ครั้งที่เท่าไรแล้วนะที่เธอนึกถึงภาพเหตุการณ์นี้
นับั้แ่กลับชาติมาเกิด ซูอินมีความรู้สึกแม่นยำมาก ครั้งก่อนๆ ที่นึกถึงเื่นี้ก็มักจะถูกเื่อื่นกลบไปเสียทุกครั้ง วันนี้นึกขึ้นได้เธอจึงกลับมาให้ความสนใจกับมัน
เมื่อนึกถึงเื่นี้ทำให้เธอนึกถึงอีกเื่หนึ่งขึ้นมาด้วย
เธอเงยหน้ากวาดสายตามองไปรอบๆ ในหอประชุมที่เสียงดังกึกก้อง เธอเห็นเงาซุนเจี้ยนได้อย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายยืนอยู่ที่ประตู กำลังโค้งคำนับให้นักเรียนชายร่างสูงที่เธอเดินผ่านเมื่อครู่ สีหน้านั้นดูประจบสอพลอราวกับเห็นคำว่า “ประจบ” เขียนไว้บนหน้า
แต่สิ่งที่ซูอินสังเกตเห็นคือรองเท้าคู่ใหม่ที่อีกฝ่ายสวมอยู่
รองเท้าอดิดาสที่ออกใหม่สำหรับหน้าร้อนนี้ถูกวางในตู้โชว์ของห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางเมือง มีราคาค่อนข้างสูง
อีกสิบปีข้างหน้า รองเท้าอดิดาสคู่หนึ่งมีราคาไม่สูงมากนัก แม้แต่พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารทำงานเพียงครึ่งเดือนก็ซื้อได้แล้ว แต่ในเวลานี้ราคารองเท้าหนึ่งคู่เทียบเท่ากับเงินเดือนของพนักงานทั่วไปสองเดือน
เธอเคยไปบ้านของซุนเจี้ยน บ้านของเขาหลังใหญ่ก็จริง แต่ทรุดโทรมมาก สีผนังหลุดลอก
ตอนนี้ชุมชนของเขายังไม่ถูกรื้อถอน แล้วเขาเอาเงินที่ไหนมาซื้อรองเท้าแพงขนาดนี้
ครอบครัวเป็คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว แม่เฒ่าสวีปรากฏตัวขึ้นพร้อมเงินจำนวนมหาศาล ตระกูลซุนที่อยากซื้อบ้านหลังใหม่ ซุนเจี้ยนที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย…
เมื่อนำเบาะแสหลายอย่างมาปะติดปะต่อ ในหัวของซูอินก็คาดเดาบางสิ่งด้วยความมั่นใจ
ด้วยความรู้สึกนี้ เบาะแสที่ซ่อนอยู่ภายใต้ม่านหมอกก็ปรากฏชัดขึ้น
หากซุนเจี้ยนเป็หลานชายแท้ๆ ของแม่เฒ่าสวี เื่ราวทั้งหมดนี้ก็สมเหตุสมผล!
ถึงแม้การคาดเดาเช่นนี้อาจฟังดูไร้สาระ แต่สัญชาตญาณของเธอบอกว่านี่คือเื่จริง!
ซูอินหันกลับมาก่อนจะมองสวีเหวินเหวินที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นหน้าซีดเซียวของเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามกลับ
“การเบิกเงินมันมีการบันทึก หากปรินต์ออกมาแล้วเอาไปถามคุณย่าก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
“ไม่มี แม่ของฉันเคยตรวจสอบกระแสเงินในธนาคาร ทุกๆ เดือนเงินจะถูกกดออกไปในจำนวนเท่าเดิม คุณย่าบอกว่าพ่อฉันป่วย ฉันก็ต้องเรียน ค่าใช้จ่ายในบ้านก็สูง แต่กลับมีรายได้ทางเดียวที่เข้ามาจากแม่ของฉัน หลายปีมานี้หาได้เท่าไรก็จ่ายออกหมด แทบจะไม่มีเงินออมเลย”
สวีเหวินเหวินรู้ดีว่าแม่ของเธอคาดหวังกับการศึกษาเพิ่มเติมครั้งนี้มากขนาดไหน หลังจากผลคัดเลือกออกมา แม่ของเธอก็อารมณ์ดีติดต่อกันหลายวัน ั้แ่เด็กจนโต คิ้วของแม่มักจะดูเศร้า แต่นี่เป็ครั้งแรกที่เธอเห็นแม่มีความสุขมากขนาดนี้
ไม่ใช่แค่แม่ การเข้าศึกษาเพิ่มเติมในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเธอด้วยเช่นกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณย่าพูดว่าผู้หญิงอย่างเธออีกไม่นานก็ต้องออกเรือน เรียนหนังสือไปก็ไม่มีประโยชน์ การเข้าเรียนมัธยมปลายมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หากที่บ้านไม่มีเงิน อาจเป็ไปได้ว่าเธอต้องลาออก
ต่อให้เธอไม่ใช่คนฉลาด แต่ก็รู้ว่าครอบครัวที่มีฐานะปานกลางอย่างเธอ หากไม่ตั้งใจเรียนในอนาคตก็ต้องเจอชีวิตที่ยากลำบาก ซึ่งเธอไม่มีความคิดที่จะออกจากโรงเรียนเพื่อไปหางานทำ
เมื่อนึกถึงผลลัพธ์ที่น่ากลัวเช่นนั้น สีหน้าของสวีเหวินเหวินก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าน้ำตาพร้อมที่จะไหล
การแสดงออกที่เปราะบางเช่นนั้นทำให้ซูอินเกิดความคิดที่มั่นคงขึ้นในใจ
เธอเห็นกับตาจริงๆ ว่าแม่เฒ่าสวีถือธนบัตรปึกใหญ่จำนวนหนึ่ง เมื่อได้ยินสวีเหวินเหวินบอกว่าบัตรที่กดบัญชีเงินเดือนจะถูกกดออกทุกๆ เดือน เธอก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็ว
ทุกๆ เดือนต้องถูกกดออกไปมากกว่าปกติแน่ๆ ทำไมเงินส่วนต่างที่เหลือนั้นมีจำนวนค่อนข้างมาก
เงินจำนวนมากขนาดนั้นหากเทียบกับรายได้ปัจจุบัน จะต้องเก็บนานขนาดไหน
เกรงว่าแม่เฒ่าสวีคงตั้งใจวางแผนเช่นนี้มาั้แ่ต้น กลอุบายที่ล้ำลึกเช่นนี้ ควรรีบให้คุณป้าหยางรู้ตั้งแน่เนิ่นๆ
อย่างไรเสียตอนนี้เงินก็หายไปหมดแล้ว คงไม่มีอะไรแย่ไปมากกว่านี้
เมื่อทำจิตใจให้สงบ เธอจับมือสวีเหวินเหวิน “อย่าร้อนใจไปเลย ฉันรู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน”
อวี๋ฉิงก็คิดได้เช่นกัน “ใช่แล้ว ปัญหาคือเื่เงินใช่ไหม คุณป้า้าเท่าไร ฉันจะให้ยืม ฉันเคยได้ยินมาว่าคลาสเรียนทางการแพทย์ของที่นี่มีชื่อเสียงมาก เป็คลาสอบรมที่ดีที่สุดในมณฑล จะเข้าได้ต้องไม่ใช่เื่ง่ายแน่ ไม่ว่ายังไงก็ห้ามปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้ให้หลุดมือไปเด็ดขาด!”
ตระกูลของอวี๋ฉิงมีเงิน ซึ่งจำนวนเงินที่ว่านี้ก็เป็เพียงไม่กี่พันหยวน มิหนำซ้ำเงินอั่งเปาที่เธอได้รับในแต่ละปียังมากกว่าเงินเ่าั้เสียอีก การที่เธอบอกว่าจะให้ยืมก็เพื่อไม่ให้ทำร้ายความนับถือยึดมั่นในศักดิ์ศรีตนเองของผู้เป็เพื่อน
เมื่อได้ยินว่าเพื่อนจะยื่นมือเข้าช่วยโดยให้ยืมเงิน จิตใจของสวีเหวินเหวินจึงสงบลง
“อันที่จริง ไม่ต้องให้อวี๋ฉิงยื่นมือเข้ามาหรอก”
แววตาสองคู่มองซูอินด้วยความสงสัย เธอจึงเล่าความจริงออกไป “คุณย่าของเธอมีเงินเป็เื่จริง ก่อนหน้านี้ฉันมีธุระที่ต้องผ่านชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ฉันเห็นคุณย่าของเธอหอบเงินธนบัตรหนึ่งร้อยใบหลายปึกเข้าไปในชุมชนนั้น”
“อะไรนะ”
เสียงสูงอันเป็เอกลักษณ์ของเด็กสาวดังทะลุทะลวงขึ้นมาพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ
ขณะนั้นเองพิธีจบการศึกษากำลังจะเริ่ม บนเวทีเสียงทดสอบไมโครโฟนดังขึ้นกลบเสียงของพวกเธอ
มือสองข้างถูกวางลง ซูอินแสดงท่าที้าให้พวกเธอสองคนสงบสติอารมณ์ก่อน
การทดสอบไมโครโฟนเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว พิธีกรเดินขึ้นไปบนเวทีและประกาศเริ่มพิธีจบการศึกษา คณาจารย์กล่าวสุนทรพจน์เสร็จก็มีการแสดงทางวัฒนธรรม นักเรียนเตรียมการแสดงมาอย่างดี ทำให้บรรยากาศในวันนี้ครึกครื้นมาก
หลังจากการแสดงที่ครึกครื้นบนเวทีจบลง ความครึกครื้นที่ยิ่งใหญ่กว่าของตระกูลสวีก็เริ่มขึ้น
