เมื่อทั้งสี่ออกไปก็เรียกความสนใจให้ใครหลายคน ธีเลียสตะลึงกับความบ้าคลั่งก่อนจะเห็นฉากการตายดังกล่าวแต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้โง่พอจะไม่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงลองยื่นมือออกไป
ฉัวะ…อั่ก! ชายผมทองกรีดร้องเมื่อแขนหายไปข้างนึงกับความรู้สึกเ็ปมหาศาล ธีเลียสจ้องมองศพทั้งสี่ที่ถูกกลืนกินก็เริ่มเกิดความกลัวและไม่เข้าสถานการณ์
“มันเกิดอะไรขึ้น?”
เ้าของาแครุ่นคิดอย่างรวดเร็วก็ยังไม่ตีแตกเพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้ให้ความสนใจกับเฮเลนมากนักเพราะหญิงสาวเลือกที่จะพูดคุยกับสาวคนอื่นทำให้ยากต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล
อีกทั้งเธอยังเลือกไม่บอกอะไรมากมายหลังจากเห็นว่าตนไม่ได้มีค่าขนาดนั้นกับการแลกเปลี่ยน
ธีเลียสพยายามสงบอารมณ์ เหลือบมองคนรอบข้างพบว่าพรรคพวกที่พึ่งได้มา ตกตะลึงพรึงพรืดกับแขนที่หายไปของเ้าตัว
“เห็นเหมือนกันหมดเหรอ?” แล้วทำไมเฮเลนฆ่าตัวตาย? ชายผมทองไม่มั่นใจ ไม่เชื่อเด็ดขาดว่านางเป็ตนโง่เขลา นั่นแสดงว่าตนพลาดเบาะแสบางอย่าง
“ใครเห็นว่าเฮเลนทำอะไรก่อนหน้านี้บ้าง? บอกฉันที”
คนอื่นมองหน้ากันและเริ่มอธิบายเนื่องจากความสวยของเฮเลนมักดึงดูดสายตาคนอื่นเสมอ จึงมีคนมองเธอเป็ระยะ
วินาทีนั้นชายผมทองก็เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความคาดหวัง คิดว่าคำตอบของตัวเองอยู่้าผ่านคำพูดของผู้รอดชีวิตทั้งหมด
“ฉันคิดว่าเราเจอเบาะแสแล้ว…”
ขณะเดียวกันทางด้านของเฟนริล ชายหนุ่มหมุนตัวเหวี่ยงขวานปะทะกรงเล็บราวใบดาบ เป๋ง วินาทีนั้นเขาก็เบิกตากว้างเกิดคลื่นพลังมหาศาลไหลทะลักออกมากระแทกดวงิญญา
ตูม ผีสาวชุดเหลืองสั่นะเื แสดงความตื่นตระหนกชั่วครู่ พริบตานั้นคมขวานก็ฟันลำคอจนขาดสะบั้น ฟู! ร่างกายดังกล่าวสลายหายไปกลายเป็ฝุ่น
...ทำให้เฟนริลรู้ว่าอีกฝ่ายต้องดึงร่างกายตัวเองเข้าสู่โลกความจริงทั้งหมดจึงจะโจมตีได้ ไม่งั้นแล้วตนคงไม่สามารถตัดคอได้แบบนี้
“ระวังหลัง!”
ไลล่าะโบอก ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบ ปัง! กรงเล็บฟันลงพื้นด้านข้าง เขาม้วนตัวเตะก้านคอศัตรู พลั่ก ผีสางเซเล็กน้อยแต่ไม่ได้รับอันตราย
กรี๊ด! นางคำรามออกมาด้วยความโกรธ กระโจนเข้าใส่โบกกรงเล็บไปมาจนเฟนริลถอยหลัง เ้าตัวเผยสีหน้าเคร่งเครียดรู้สึกว่าอีกฝ่ายเร็วขึ้นเหมือนผีสาวในโบสถ์่สุดท้าย
‘เทคนิคิญญา’
อากาศสั่นไหวรอบอาวุธ เมื่อศัตรูเข้ามา ชายหนุ่มฉายแววเหี้ยมฟันขวานออกไปก่อนถึงตัว ฉึบ!! การโจมตีมองไม่เห็นตัดผ่านร่างผีสางจนเกือบขาด อีกฝ่ายสั่นะเืแต่ไม่แตกดับ
เขาโยนขวานขึ้น ดีดตัวเข้าไป พึบ! มือเขาอยู่ในหน้าศัตรู เฟนริลฉีกกระชากอีกฝ่ายขาดเป็สองท่อน
ฉัวะ…เมื่อศัตรูดับลง เงาบางอย่างก็ปกคลุมร่างกาย ชายหนุ่มถอนหายใจ ยื่นมือเหนือหัว ฟึบ เมื่อขวานตกถึงมือก็ฟันออกไปด้านหลัง ฉึบ ร่างผีสางตนสุดท้ายแตกดับในที่สุด
เฟนริลอึ้งเล็กน้อยกับการแสดงเมื่อครู่นี้
‘ฉันแกร่งขนาดนี้เหรอ?’
เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เคยสู้กับใคร ไม่เคยเจอผีสาง และไม่เคยฆ่าใครก่อนมาถึงผืนผ้าใบ มากสุดก็เป็แค่คนขี้ขลาดแต่ตอนนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปั้แ่เข้ามาในภาพวาด
เฟนริลมองเฮเลนที่กำลังเก็บดาบลงในฝัก…เธอจัดการผีทั้งหมดแปดตน เขาสาม อีฟสี่ ส่วนกองเชียร์ คือศูนย์
ไลล่าวิ่งมาด้วยรอยยิ้มที่สดใส
“เก่งมาก! ทำงานได้ดี! ปกติผีสาวชุดเหลืองมีระดับ 1 กับ 2 ของขอบเขตร่างกาย แม้ทั้งหมดจะเป็ระดับแรกก็เถอะแต่นายศูนย์สนิทสามารถสู้ได้เกือบเท่าอีฟเลย"
"นั่นด้วย ๆ ไอ้ที่นายฟันผีเมื่อกี้อะ จากระยะไกล พลังพิเศษใช่ไหม? มองไม่เห็นเลย ฟันคลื่นอากาศเหรอ? …หรือโจมตีด้วยบางอย่าง? แล้วทำไมมันหยุดชะงักละ? ฟังก์ชันเสริมของพลังรึเปล่า?”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ทำหน้าสงสัย
“เธอดูสนใจฉันมากนะ”
นางเม้มปากแน่นเค้นเสียง
“เหอะ! เย็ดหีฉันจนบานฉ่ำจะให้เมินรึไง?” เฟนริลเผยยิ้ม
“นั่นสินะ…เก่งมาก…เด็กดีๆ …”
เฟนริล อายุ 18 ปี
เฮเลนเดินเข้ามาก่อนจะพบว่าเขาเหงื่อท่วมร่าง นางเข้าใจว่านี่เป็เื่ปกติของคนธรรมดาที่ยังไม่บรรลุระดับหนึ่งของร่างกาย และอีกอย่างเฟนริลไม่สามารถแข็งแกร่งได้มากกว่านี้เพราะพลังพิเศษมีระดับศูนย์ นี่คือธรรมชาติของโลก
เฮเลนกล่าว
“เราควรพักผ่อนก่อนเข้าไปนะ” เฟนริลมองตะเกียงน้ำมันบนพื้นสามอัน
“ใช่…” ทุกคนนั่งลงเพื่อผ่อนคลาย ไลล่าเองก็ยิ้มแฉ่ง วางก้นบนตักชายหนุ่ม เขาชะงักโดยมีสายตาของเฮเลนและอีฟเหลือบมองเป็ระยะเพราะรู้สึกว่าอีกสักพัก อาจได้เห็นฉากน่าอายชวนเสียว
สาวผมชมพูฮัมเพลงด้วยความร่าเริง เธอรู้สึกว่ามีอิสระและปลอดภัยมากเมื่ออยู่ข้างเฟนริล
“แบบนี้…เรียกว่าผ่อนคลายรึเปล่า?” เขาถาม ,นางเอาตัวพิงอกชายหนุ่มด้วยความสุขใจ
“อือ! ผ่อนคลายสุด ๆ เลย…”
เ้าตัวพูดไม่ออกและปล่อยให้เธอหลับตาทั้งอย่างนั้น เขาเงยหน้ามองฟ้า น่าเสียดายที่จุดนี้ไม่มีดวงดาวให้เห็นรวมถึงแสงสีฟ้าจากกลุ่มเมฆ มีเพียงความมืดมิดไร้แสงใด
เฟนริลตัวเหลือบมองด้านหลัง สังเกตว่าคนภายใน มีไม่น้อยพยายามมองดวงดาวซึ่งเ้าตัวไม่คิดอะไรเนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเื่แบบนี้
…หาก้าไปยังต้นไซเปรสโดยไม่ยอมรับความจริงคงเป็ไปไม่ได้ ดังนั้นการรวมหัวกันเพื่อเผาสัญลักษณ์ความตาย ความทรมานสำคัญสุด
ดังนั้นเฟนริลจึงปล่อยตามเลยไม่คิดอะไรเพราะมีหลายสมมติฐานเกินไปเกี่ยวกับท้องฟ้าในเบาะแสสุดท้ายก่อนไปยังดวงดาวที่สว่างไสวสุด
ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าพอจะเชื่อสมมติฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง แน่นอนว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเฟนริลจะยอมปล่อยให้เหยื่อหนีไป
เขาเหลือบมองธีเลียสครู่หนึ่ง
‘ถ้าก่อนหน้านี้ ฉันเคลียร์ผีสางเสร็จและฆ่าเขา เขาคงไม่เห็นฉัน’ แต่นั่นจะจริงเหรอ? ั้แ่เริ่มล่าิญญา อีกฝ่ายก็พยายามผ่านลวงตาอยู่หลายครั้ง อย่างน้อยตอนนี้น่าจะเห็นเป็ชิ้นเป็อันแล้ว
ชายหนุ่มมองทุกคนที่ดูไม่เหนื่อย เขากลับรู้สึกว่ากำลังทำให้ทุกอย่างแย่ลง อย่างน้อยหากมีเวลานับถอยหลัง เขาคงเร่งรีบ และเฟนริลจำได้ว่าตนไม่มีเบาะแสมากพอ
ดังนั้นการพักครั้งนี้ถือว่าอันตรายระดับนึง พอเวลาผ่านไปสามนาที เฟนริลฟื้นตัวเล็กน้อย เขาก็คร้านจะอยู่ต่อไป ชายหนุ่มสะกิดไลล่าเล็กน้อย นางเงยหน้ามอง
“จะไปแล้วเหรอ?” เขาพยักหน้า
“ใครจะรู้ว่าแสงจากดวงดาวอยู่ได้นานแค่ไหน? บางทีอาจมีเวลานับถอยหลังแต่ฉันไม่รู้ และฉันก็ไม่อยากเสี่ยงด้วย มันอันตรายเกินไปสำหรับเธอ”
หญิงสาวแก้มแดงก่ำ และเข้าใจความกังวลจึงพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งหมดลุกขึ้น เดินไปยังบ้านหลังหนึ่ง เฟนริลเหลือบมองตัวเลขด้านบ้าน ‘สอง’ นั่นหมายถึงอาหาร
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“ขอโทษครับ ไม่ทราบว่านี่คือพิพิธภัณฑ์รองเท้าผ้าใบเก่าใช่ไหมครับ? ผมอยากเข้าชม”
สามสาวหันมามองพร้อมกันราวกับสงสัยว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ แน่นอนว่าพวกนางไม่เคยได้ยินเขาสนทนาหยอกล้อกับผีในโบสถ์ เฟนริลไม่เห็นการตอบรับจากภายในก็ย่นจมูกเล็กน้อย
“ขออภัยครับ จริง ๆ แล้วผมได้ข่าวว่ามีนกกระจอกเทศสอนเต้นบัลเล่ต์จึงอยากเป็ลูกศิษย์ ฉะนั้นขอความกรุณาด้วยครับ!”
สิ้นคำพูดเขาก็ถีบประตูเข้าไป ปัง!!! สามสาวอึ้งมองประตูปลิวหล่นพื้น
พวกนางทึ่งกับความไร้เหตุผล อดคิดไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้จะเคาะประตูทำไม? ถ้าเข้ามาแบบนี้ , ชายหนุ่มจับขวานแน่นด้วยสายตาเ็า ภาพลักษณ์กวนตีนหายไปทั้งหมดเมื่อเหยียบลงพื้นกระเบื้อง
“เฮเลน…” เ้าของชื่อเห็นสีหน้าจริงจังของชายหนุ่มก็ชักดาบ
“ไม่มีนกกระจอกเทศ”
เธอถึงกับหงึด!
อีฟโมโห “หยุดกวน”
ชายหนุ่มหัวเราะร่า
“น่าเสียดายจัง ที่นี่ไม่มีอะไรจริงด้วย เราคิดไปเอง กลับกันเถอะ”
เฮเลนพยักหน้าเก็บดาบลงฝัก ไลล่าเหลือบตามองเฟนริลเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะในลำคอ ส่วนอีฟนั้นกลอกตาไปมา รู้สึกว่าการฝ่าดงผีสางก่อนหน้านี้ไร้ความหมาย
พลันทั้งสี่เดินออกไปจากหน้าบ้าน และไปยังบ้านอื่น ผ่านไปสามสิบวินาทีก็ปรากฏมือสีขาวซีดจับประตูบ้านขึ้นทีละนิด พึบ! พริบตานั้นมือหนึ่งก็คว้าไว้
“ได้ตัวแล้ว!” เฟนริลเผยยิ้มเหี้ยม เขากระชากอีกฝ่ายออกมา เผยให้เห็นหญิงสาวสีซีดเป็ผีสางชุดเหลืองแต่ไม่มีร่องรอยเืบนตัว
อีกฝ่ายตื่นตระหนกพยายามดึงร่างกายเข้าสู่รูปแบบิญญาแต่กลับกลายเป็ว่าไม่สามารถทำได้ราวกับถูกพลังงานบางอย่างกีดกันไว้
“ได้โปรด! อย่าฆ่าฉัน ฉันไม่อยากตาย!” ชายหนุ่มเผยยิ้ม
“ตอนนี้เธอเป็ศพไปแล้ว ไม่มีหัวใจ บอกทีสิว่าเป็มนุษย์อยู่”
เธอตัวสั่นระริกจนเข่าทรุด เฟนริลหมุนขวานในมือเล็กน้อยทาบไปที่คอเธอ น่าแปลกสำหรับเขาเพราะปกติผีสางที่นี่จะมีร่างกายให้เห็นแม้ไม่ได้ส่งผลต่อโลกวัตถุ
แต่เธอคนนี้ในบ้านกลับสามารถทำให้ร่างกายหายไปได้ราวกับเป็ผีในโลกจริง มันน่าแปลกที่แตกต่างกันขนาดนี้
“ฟังไว้! ฉันจะไม่พูดซ้ำ ต่อจากนี้หากขัดขืนฉันฆ่า ไม่ฟังฉันฆ่า โกหกฉันฆ่า แหกปากฉันฆ่า ไม่อยากให้ฉันเย็ด ฉันฆ่า!” สาวสาวหันมามองนั่นทำให้เฟนริลรู้ตัวว่าพูดผิดไปจึงไอเพื่อกลบเกลื่อน
“ฉันหมายถึง...ถ้าไม่ให้ข้อมูลฉันฆ่า” ผีสางพยักหน้า น้ำตาคลอเบ้า
“เอาละ เริ่มอย่างแรกก่อน ทำไมเธอเป็สมาชิกหมู่บ้านนี้” อีกฝ่ายอ้ำอึ้งเล็กน้อยแต่ทันที ที่เฟนริลกดคมขวานลง นางก็ตื่นตระหนกรีบอธิบาย
“ฉันเป็นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยบัญญัติ ปลุกพลังพิเศษตอนอายุสิบแปด จากนั้นผ่านผืนผ้าใบได้ไม่กี่ครั้งจนอยู่ชั้นปีที่สาม ฉันก็ถูกส่งมาที่นี่"
"พวกเราเอาตัวรอดกันสุดท้ายถูกต้นไซเปรสที่มีเถาวัลย์ปีศาจฆ่าตายหมด โชคดีที่เพื่อนฉันบางคนเก็บศพกลับมาทำให้เราไม่ถูกควบคุมโดยต้นไม้” เฟนริลสนใจ
“นั่นหมายความว่าทุกคนในหมู่บ้านคือคนที่เข้าสู่ผืนผ้าใบสินะ” นางพยักหน้า เขาจึงสงสัยเล็กน้อยไม่ได้เชื่อทั้งหมดแต่ก็ดูเข้าท่าดี เ้าตัวคลายแรงกดของอาวุธเพื่อลดความกดดันในใจเธอ
“คำถามที่สอง…เธอ้ามีชีวิตอยู่ แล้วอะไรคือความหวัง? ดวงดาวเหรอ?” นางส่งสายตาเปล่งประกายเล็กน้อย สารภาพสิ่งที่รู้
“ความหวังของเราคือการกลับไปยังโลกเดิม ปราบใดที่ผืนผ้าใบเคลียร์ ทุกคนจะมีชีวิตกลับมา"
"แน่นอนว่ายกเว้นสำหรับคนที่ถูกต้นไซเปรสควบคุม หรือดับสูญ และเหตุผลที่เรามั่นใจก็เพราะมีคำสลักโบราณในโพรงที่ิญญาอาศัยอยู่ในต้นไม้"
"…หากถามว่าทำไมถึงเชื่อใจคำโบราณเพราะมีรุ่นพี่คนหนึ่งออกจากที่นี่ เธอชื่อ ‘นาเดีย’ เป็ความหวังของมหาวิทยาลัยบัญญัติก่อนหน้านี้”
เฟนริลเลิกคิ้ว รู้สึกประทับใจมากที่มีคนผ่านระดับฝันร้ายได้สำเร็จ ช่างน่ายกย่อง
“งั้นอธิบายทีได้ไหมว่าทำไมก่อนหน้านี้ไม่อยู่บ้าน หรือว่าระหว่างเรามา กำลังปาร์ตี้ใต้ดิน หรือแวะห้างช้อปปิ้งมอลล์?”
ผีสางพูดไม่ออกก่อนอธิบาย
“ทุกครั้งที่มีผู้มาใหม่ ผีสางทุกตนที่ไม่ถูกควบคุมจะหลับใหลในมิติอื่น และตื่นขึ้นหลังจากโบสถ์ถูกเผาเท่านั้น” ชายหนุ่มพยักหน้า ไม่ต่างจากที่วิเคราะห์เท่าไหร่
“ถ้าอยากจะเผาต้นไซเปรสต้องทำไง? มีอะไรแนะนำไหม? หรือเคยลองแล้วไม่เวิร์ค…อธิบายมา” นางให้ความร่วมมือเต็มที่
“ไฟธรรมดาทำอะไรต้นไม้นั้นไม่ได้ ดาบฟันิญญาก็ด้วยเพราะวัสดุอ่อนแอเกินไป เราเคยขอความช่วยเหลือจากผีเก่าก่อนหน้านี้เพราะรู้ว่าเถาวัลย์ปีศาจจะไม่โจมตีิญญา"
"แต่ถึงแบบนั้นเมื่อิญญาเข้าใกล้ต้นไซเปรส ต้นไม้ก็บงการได้ทันทีในระยะหนึ่งร้อยเมตรก่อนถึงตัว"
"ดังนั้นผีสางจึงทำอะไรไม่ได้ แถมยังไปเติมกำลังให้ด้วย และการจะเผาต้นไม้นั่นจะต้องใช้เถาวัลย์สีน้ำเงิน ขอแค่จุดไฟเถาวัลย์นั้นได้และโยนใส่ต้นไซเปรสทุกอย่างจะลงล็อก"
"เพียงแต่ว่าเชื้อเพลิงนั้นอยู่ในโพรงิญญาที่ลึกสุดภายในต้นไซเปรส และเส้นทางไม่ต่างจากเขาวงกตราวกับอีกมิติ พวกเราทั้งหมดเกือบตายก่อนไปถึง และพอออกมาไม่กี่ร้อยเมตรก็เสียชีวิตในที่สุด"
"ส่วนเพื่อนที่เหลือก็ลากศพเราไปทางหมู่บ้าน ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีใครอยากเผยรูปลักษณ์เพราะจะทำให้เราเปลืองพลังงานและแตกดับ ดังนั้นจะอยู่บ้าน เขียนบันทึกให้กลุ่มถัดไปเข้าใจ”
เฟนริลมองเฮเลน เธอพยักหน้า รู้ว่าชายหนุ่ม้าวิเคราะห์สถานการณ์ เธอจึงสอบปากคำต่อ , เฟนริลเดินออกมาด้วยตะเกียงน้ำมันจมอยู่กับความคิด
เขาไม่ค่อยรู้เื่ระดับความแข็งแกร่งของผีสางสักเท่าไหร่แต่แค่ระดับสองก็คงปางตายกันหมดเนื่องจากกฎของที่นี่กำลังควบคุมไม่ให้เราแข็งแกร่งเกินระดับสอง ทางร่างกาย
‘สิ่งที่ผีตนนั้นพูดมาลงล็อก หมดทุกอย่าง’ เพียงแต่ว่าน่าเชื่อถือได้ไหม? ไม่ใช่ข้อมูลเพื่อหลอกล่อให้พวกเขาทำบางอย่างรึเปล่า? เฟนริลคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ
ครืน!! พริบตานั้นหนังสือสีดำก็ปรากฏเบื้องหน้าเขา มันสั่นะเืและส่งไอร้อนจนเส้นผมเขาพลิ้วไหว ไม่กี่วินาทีหนังสือก็เปิดออก
---
ฉันชื่อโอริเวอร์ เฟนริล มิสติก
ฉันถูกดึงเข้าสู่ภาพวาดจิตรกรของวินเซนต์ แวนโก๊ะ ‘Starry Night’ ฉันผ่านเื่ราวจนเจอผีสางตนหนึ่ง เธอดูน่าเชื่อถือ ไม่น่าไว้ใจในเวลาเดียวกัน ฉันฟังข้อมูลมากมายเกิดคำถาม และอยากแก้ไขความสงสัย
เวลานั้นฉันก็นึกถึงหนังสือสีดำ…
หนังสือสีดำบอกฉันว่าผีสางไม่โกหกแต่เส้นทางไปยังเถาวัลย์สีน้ำเงินมีเพียงสองเงื่อนไขนั่นคือการทรมาน และความตายเพื่อกลมกลืนไปกับต้นไซเปรสแต่วิธีนั้นเป็ไปไม่ได้เพราะต้องสำเร็จหนึ่งในสองกรณี
…หนึ่งคือกรีดเืตัวเองปริมาณสามลิตรด้วยความเต็มใจพร้อมนำดวงิญญาหนึ่งตนเดินร่วมทาง จับมือมีเืหลั่งริน สอง มีผู้เสียชีวิตในต้นไซเปรสไม่ต่ำกว่าห้าสิบราย
หากฉันทำตามข้อแรก ฉันจะเสียสติ ความดันในเืต่ำและอวัยวะภายในล้มเหลวตายลง ขณะกรณีสองผู้รอดชีวิตมีไม่ถึงสามสิบรายจึงเป็ไปไม่ได้
ขณะฉันทุกข์ใจ หนังสือสีดำก็ปรากฏอักษรเพิ่มเติม มันบอกว่า ภายในโบสถ์ตอนนี้มี ‘กางเขนแห่งความหวัง’ มันจะช่วยฉันทดแทนส่วนที่ขาดหายไปซึ่งนาเดียได้รับสิ่งนี้เป็แบบจำลองผ่านอุปสรรคได้สำเร็จ
ฉันว่า…ฉันควรจะมีมัน…
---
/// จบตอนที่ 5 ///
อีฟ อายุ 18 ปี นิสัย: (สถานะ:ซิง) ชอบเซ็กส์ ปากไม่ตรงกับใจ-ชอบดูถูกคนอื่น ยอมคนง่าย ไหลตามสถานการณ์ และ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้