“คุณชายรอง ได้เวลาดื่มยาแล้ว!”
สีเอ๋อร์ยกยาและเดินไปยังเบื้องหน้าเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงชายตามองยาปราดหนึ่ง พบว่ายานั้นเป็สีเขียวซึ่งน่าขยะแขยงอยู่หลายส่วน แต่ยากลับมีกลิ่นหอมจางๆ อย่างไม่อาจบอกได้ว่าเป็กลิ่นอะไร ทว่ากลิ่นนั้นก็ทำให้คนรู้สึกสบายใจ
แต่เดิมเฉินเทียนหยูยังคงอยู่ใกล้มู่หรงฉิง เมื่อเห็นยานั้นก็หยิบมันขึ้นมา และกระดกกินอึกๆ หมดเกลี้ยงโดยไม่พูดอะไรสักคำ “จ้าวจื่อซิน ผลไม้!”
หลังจากดื่มยาแล้ว เฉินเทียนหยูก็ขยับเข้าหาจ้าวจื่อซินด้วยรอยยิ้มโง่ๆ “จ้าวจื่อซิน ข้ากินยาแล้ว เอาผลไม้มาให้ข้า!”
ภายใต้การจ้องมองอย่างไม่พอใจเล็กน้อยของมู่หรงฉิง จ้าวจื่อซินได้หยิบผลไม้ผลหนึ่งออกมา จากนั้นมอบให้เฉินเทียนหยู แต่เฉินเทียนหยูกลับหยิบผลไม้และวิ่งกลับไปหามู่หรงฉิง “น้องหญิง ผลไม้กลิ่นหอม น้องหญิงลองทานสิ!”
ทันทีที่เฉินเทียนหยูพูดจบ สาวใช้ในห้องก็มองไปที่มู่หรงฉิงด้วยความประหลาดใจ แม้กระทั่งจ้าวจื่อซินก็มองมู่หรงฉิงด้วยความสงสัย
ด้วยความกระดากอายจากสายตาของผู้คน มู่หรงฉิงจึงยกมือขึ้นโดยสัญชาตญาณและัักับใบหน้า “มีอะไรอยู่บนใบหน้าของข้าหรือไม่? ทำไมพวกเ้าถึงได้มองมาที่ข้าเช่นนั้น?”
“บ่าวสมควรตาย!”
หลังสิ้นสุดคำพูดของมู่หรงฉิง พวกสาวใช้ก็รีบก้มหน้าลงและไม่กล้าเงยหน้ามองนางอีกต่อไป ทว่าดวงตาของจ้าวจื่อซินกลับสั่นไหวเล็กน้อย ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงนิ่งเงียบ
แปลกมากจริงๆ!
นางส่ายศีรษะและคร้านเกินกว่าจะสนใจคนเ่าั้ พลางก้าวเท้าเดินหมายจะไปชำระล้างร่างกาย แต่ในใจของนางกลับไม่สบอารมณ์เล็กน้อย จ้าวจื่อซินผู้นี้ไม่รู้จักขอบเขตเกินไปแล้ว ถ้ามีคนพูดว่าเขาพุ่งตัวเข้ามาในห้องหอเพื่อมาช่วยนาง เนื่องจากเฉินเทียนหยูเกิดอาการคลุ้มคลั่งเมื่อคืน นั่นก็ไม่ใช่เื่เลวร้ายอะไร แต่ยามนี้นางยังไม่ได้ชำระล้างร่างกายและแต่งตัวเลย จ้าวจื่อซินในฐานะผู้ชายคนนอก กลับเดินเข้ามาอย่างเปิดเผย ไม่กลัวว่าจะตกเป็ขี้ปากของคนหรืออย่างไร?
นางรู้สึกหงุดหงิด หลังจากเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อชำระล้างร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็ยังครุ่นคิดถึงเื่นี้ แต่กระนั้นนางก็ทาน้ำมันชนิดนั้นลงบนผมด้วย ไม่ว่าในกรณีใด นางจะต้องศึกษาถึงผลกระทบของผลไม้นี้ต่อเฉินเทียนหยู ถ้าทำได้นางจะต้องคิดหาวิธีเพื่อให้เฉินเทียนหยูเลิกกินผลไม้นี้ให้ได้ นางมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่า ผลไม้นี้เป็ภัยอันตรายต่อนาง
นี่คือความรู้สึก นางเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกถึงสิ่งที่อันตรายทั้งหมด
เมื่อเดินไปที่ลานสนามหญ้าในเรือน มู่หรงฉิงเงยหน้าขึ้นและมองสังเกตจวนเฉินอย่างระมัดระวัง
ไม่ใช่เื่เท็จที่ร่ำลือกันว่าจวนเฉินนั้นเป็จวนที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในเมืองหลวง แค่สังเกตดูจากตัวอาคารเรือนในจวนก็ดีกว่าจวนกวงลู่ซื่อชิงมากโข
“คุณชายรองไม่เคยแบ่งผลไม้แก่ผู้อื่นเลย และแม้กระทั่งฮูหยิน เขาก็ไม่เคยแบ่งให้ด้วยเช่นกัน!”
ระหว่างมู่หรงฉิงกำลังสังเกตดูสภาพแวดล้อมในจวนเฉิน และเดินผ่านมุมหนึ่ง จ้าวจื่อซินก็กระซิบกับมู่หรงฉิงด้วยเสียงเบา
ไม่เคยแบ่งผลไม้ให้ผู้อื่นกระนั้นหรือ? มู่หรงฉิงเงยหน้าขึ้นมองดวงตาอันเยือกเย็นซึ่งเจือด้วยความสงสัยของจ้าวจื่อซิน “แล้วทำไมเขาถึง...”
“บางทีอาจเป็แค่เื่บังเอิญก็เป็ไปได้” มู่หรงฉิงยังพูดไม่จบ จ้าวจื่อซินกลับแย่งพูดขึ้นเสียก่อน หลังจากพูดจบ เขาก็ก้าวเท้าถอยหลังไปสองก้าวอย่างเงียบๆ และรักษาระยะห่างระหว่างเ้านายกับลูกน้อง
ผู้ชายคนนี้! มักจะเป็เช่นนี้เสมอ! น่าเกลียดจริงๆ!
มู่หรงฉิงรู้สึกรำคาญที่จ้าวจื่อซินพูดครึ่งเดียวซึ่งทำให้สงสัยและหลังจากนั้นก็ทำเป็ไม่สนใจ แต่เนื่องด้วยเฉินเทียนหยูเดินเข้ามาโอบแขนของนางไว้ “น้องหญิงไปดูจุ๊กกรู๊กับข้ากันเถอะ มันน่าสนุกมากเชียว”
ก่อนที่มู่หรงฉิงจะเอ่ยปาก เฉินเทียนหยูก็ลากมู่หรงฉิงและวิ่งไปยังเรือนแห่งหนึ่ง
“จุ๊กกรู๊จุ๊กกรู๊...จุ๊กกรู๊จุ๊กกรู๊...”
เฉินเทียนหยูดึงมู่หรงฉิงให้เดินไปข้างหน้าด้วยความเร็ว โดยผู้ติดตามของมู่หรงฉิงมีเพียงปี้เอ๋อร์และยวี้เอ๋อร์เท่านั้น ครั้นเห็นมู่หรงฉิงถูกเฉินเทียนหยูลากออกไป ทั้งสองก็เร่งฝีเท้าตามไป
ดวงตาของจ้าวจื่อซินพลอยลึกลงไปอีก มือจับดาบยาว ใช้นิ้วหัวแม่มือถูด้ามดาบ จวบจวนเฉินเทียนหยูและมู่หรงฉิงคล้อยหลัง จ้าวจื่อซินจึงพูดกับสีเอ๋อร์ผู้ซึ่งกำลังวิตกกังวล “เ้าไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า คุณชายรองลากฮูหยินน้อยไปที่เรือนหยางเซิง เกรงว่าวันนี้คงไม่อาจทำพิธียกน้ำชาได้แล้ว!”
สีเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบรับด้วยความเคารพนอบน้อม
มู่หรงฉิงถูกเฉินเทียนหยูลากไปอย่างรีบร้อน นางนึกขอบคุณท่านแม่ของนางที่ให้นางฝึกทักษะการต่อสู้ แม้จะเป็เื่ยากหาก้าปกป้องตัวเองด้วยทักษะหมัดเท้าปักบุปผา แต่อย่างน้อยด้วยความเร็วของฝีเท้า ก็ไม่ทำให้นางต้องหอบหายใจ
“จุ๊กกรู๊ จุ๊กกรู๊ จุ๊กกรู๊…” เฉินเทียนหยูเดินไปพลาง ปากร้องเรียกจุ๊กกรู๊ๆ ไปพลาง
ระหว่างเดินอย่างเร่งรีบ มู่หรงฉิงก็มองสังเกตโดยรอบเช่นกัน นี่เป็เรือนอันเงียบสงบและโอ่อ่า เมื่อสังเกตมองจากภายนอก นางเห็นไม้เลื้อยแผ่ตัวไปบนกำแพง ใบไม้สีเขียวมรกตกำลังแกว่งไหวไปมาภายใต้จังหวะของสายลมพัดยามเช้าจากมุมหนึ่ง หยดน้ำค้างที่ยังไม่กระจายตัวส่องประกายด้วยแสงใสระยิบระยับดุจหินขาวในยามเช้า มันช่างสวยงามจริงๆ
“จุ๊กกรู๊จุ๊กกรู๊...จุ๊กกรู๊จุ๊กกรู๊...”
“จุ๊กกรู๊…จุ๊กกรู๊…จุ๊กกรู๊…จุ๊กกรู๊…”
เฉินเทียนหยูเปล่งเสียงเรียกอยู่ด้านข้าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงจุ๊กกรู๊ๆ สองสามคำที่ใกล้เคียงเสียงของเฉินเทียนหยูดังแว่วตอบกลับมา
“น้องหญิงฟังนะ จุ๊กกรู๊กำลังเรียกพวกเราให้เข้าไปข้างในแล้ว” เฉินเทียนหยูลากมู่หรงฉิงเข้าไปในเรือนด้วยรอยยิ้ม
“น้อมทักทายคุณชายรอง น้อมทักทายฮูหยินน้อย”
ชายหนุ่มในชุดดำเห็นทั้งคู่เข้าไปในลานเรือน จึงรีบเดินจากด้านข้างกรงเข้ามาคำนับ
“จุ๊กกรู๊จุ๊กกรู๊…จุ๊กกรู๊จุ๊กกรู๊”
เฉินเทียนหยูไม่สนใจชายผู้นั้น ทว่าเขาก็ปล่อยมือของมู่หรงฉิงพร้อมวิ่งตรงไปที่กรงซึ่งมีนกตัวหนึ่งอยู่ในนั้น เมื่อมู่หรงฉิงเห็นชายหนุ่มยังคงคำนับอยู่ นางก็พูดเบาๆ ว่า “เ้าลุกขึ้นยืนเถอะ นี่คือตัวอะไรหรือ?”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปอยู่ด้านข้าง ก่อนที่จะอธิบายกับมู่หรงฉิงว่า “เ้านกเอี้ยงหงอนดำตัวนี้เคยเป็ลูกรักของคุณชายรองมาก่อน หลังจากคุณชายรองประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เ้านกเอี้ยงหงอนตัวนี้ก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนหยางเซิง โดยมีผู้น้อยเป็คนคอยดูแล”
นกเอี้ยงหงอนดำหรือ? นางก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นสังเกตมองนกซึ่งเกาะอยู่บนรางแนวนอนในกรงอย่างระมัดระวัง และเห็นว่าขนบนฐานของจะงอยปากของนกตัวนั้นสูงตระหง่าน ก่อตัวเป็ขนนก ขนสีดำอมเขียว จริงๆ แล้วปกคลุมด้วยชั้นของขนที่มีลักษณะเป็เงาคล้ายหยกดำ มีขนจำนวนมากที่หน้าผากซึ่งมีรูปร่างยาวและตั้งตรงเป็พิเศษ จนมีลักษณะเป็หมวกขนยาวอยู่้าศีรษะ ด้านข้างของศีรษะปกคลุมด้วยขนจนมิด นอกจากขนหางส่วนกลางที่มีสีดำอมเทาตรงปลายแล้ว ส่วนใต้หางก็มีขนสีดำปลายขาว
มู่หรงฉิงสังเกตมองจุ๊กกรู๊ เ้านกถึงกับเพิกเฉยต่อเฉินเทียนหยูผู้โง่งม และั์ตาเฉลียวฉลาดทั้งสองข้างก็หันมามองมู่หรงฉิงด้วยความสงสัยเป็อย่างมาก
“คุณหนู นกตัวนี้สวยมากจริงๆ” ขณะที่มู่หรงฉิงมองจุ๊กกรู๊ ยวี้เอ๋อร์ก็เดินตามมาด้านหลังและตรงเข้าไปหาจุ๊กกรู๊ด้วยท่าทีสงสัย ท่าทีของนางราวกับหมายจะเอื้อมมือไปแตะมัน
เมื่อมือของยวี้เอ๋อร์เคลื่อนเข้าใกล้จุ๊กกรู๊ มันก็ง้างหางอย่างดุเดือด พร้อมเปล่งเสียง ‘จุ๊กกรู๊’ ซ้ำๆ หลายหน สังเกตดูจากท่าทางแล้ว คล้ายกำลังถูกยวี้เอ๋อร์โจมตีอย่างไรอย่างนั้น
ทว่ายวี้เอ๋อร์กลับทำเป็ไม่เข้าใจ มิหนำซ้ำไม่เพียงแต่ไม่ถอนมือ ทว่ากลับขยับมือเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม มู่หรงฉิงเห็นยวี้เอ๋อร์กำลังจะเข้าใกล้จุ๊กกรู๊ นางจึงก้าวเท้าไปข้างหน้าเพื่อขวางมือของยวี้เอ๋อร์ให้หยุดอยู่ด้านหน้ากรง แต่อากัปกิริยาของนางราวกับเข้าใกล้ด้วยความชอบอย่างมาก “นกตัวนี้สวยจริงๆ”
“ฮูหยินน้อย เรือนหยางเซิงนอกจากคนเลี้ยงจุ๊กกรู๊แล้ว ที่นี่ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา” จังหวะที่มู่หรงฉิงกำลังยืนขวางระหว่างยวี้เอ๋อร์และจุ๊กกรู๊ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของจ้าวจื่อซินดังเข้ามาจากด้านนอกประตู
หันกลับไปมองจ้าวจื่อซิน “เ้าหมายถึง ข้าก็เป็บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยกระนั้นหรือ?”
ผู้ชายคนนี้ไม่ยอมปล่อยให้นางสงบลงสักครู่หรืออย่างไร?
“ผู้น้อยมิบังอาจ เพียงแต่เรือนหยางเซิงแห่งนี้ นอกจากผู้น้อยและชิงยวี่ คนรับใช้คนอื่นๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในเรือนหยางเซิงแห่งนี้อย่างเด็ดขาด” ระหว่างพูดจ้าวจื่อซินเหลือบมองไปทางยวี้เอ๋อร์และปี้เอ๋อร์ “ฮูหยินน้อยเป็ภรรยาเอกของคุณชายรอง ย่อมไม่ใช่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าฮูหยินน้อย้ามาที่เรือนแห่งนี้ ต้องสั่งคนรับใช้ให้ออกไปถึงจะถูก”
จ้าวจื่อซินเหลือบมองไปทางยวี้เอ๋อร์และปี้เอ๋อร์ จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาไปมองมู่หรงฉิง เด็กสาวยังคงรู้สึกหงุดหงิดอยู่ใน่แรก ทว่าครั้นสบกับสายตาของจ้าวจื่อซิน นางกลับปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมา สายตาของจ้าวจื่อซินดูเหมือนกำลังจะบอกนางว่า นี่...ที่นี่เป็สถานที่ที่มีไว้สำหรับเ้า เป็สถานที่ที่ไม่มีคนเฝ้าสังเกต ถ้าเ้าไม่ฉวยโอกาสนี้ อย่าหาว่าข้าไม่ช่วยเ้าก็แล้วกัน
มู่หรงฉิงไม่รู้ว่าทำไมนางถึงได้มีความคิดเช่นนั้น? นางคร้านเกินกว่าจะสนใจเื่พวกนั้น อย่างน้อยนางก็ได้รับข่าวคราวว่า ถ้าไม่อยากถูกคนเฝ้าสังเกตในจวนเฉิน นางสามารถวิ่งมาที่เรือนหยางเซิงแห่งนี้ได้ แน่นอนว่า การไม่ถูกเฝ้าสังเกตและตรวจสอบไม่รวมถึงการไม่ถูกตรวจสอบจากจ้าวจื่อซิน!
ปัจจุบันระหว่างนางกับจ้าวจื่อซินอยู่ในฐานะความสัมพันธ์เชิงร่วมมือกัน และนางก็ไม่กลัวว่าจ้าวจื่อซินจะรู้ถึงแผนการของนาง เมื่อรู้ว่าเรือนหยางเซิงแห่งนี้เป็สถานที่ต้องห้ามในจวนเฉิน มู่หรงฉิงย่อมมีความสุขอย่างมาก นางจึงหันไปมองปี้เอ๋อร์และยวี้เอ๋อร์ด้วยสีหน้ารักระคนเวทนา “ถ้าเช่นนี้ พวกเ้าออกไปรออยู่ด้านนอกเรือนเถอะ”
“รับทราบ!”
สาวใช้ทั้งคู่ตอบรับ เห็นเพียงยวี้เอ๋อร์มองจุ๊กกรู๊อย่างอาลัยอาวรณ์ ราวกับว่านางชอบมันมากอย่างไรอย่างนั้น
ถ้าเป็เมื่อก่อน มู่หรงฉิงจะสัพยอกยวี้เอ๋อร์เล็กน้อยอย่างแน่นอน และหลังจากนั้นนางจะให้โอกาสยวี้เอ๋อร์ได้ใกล้ชิดจุ๊กกรู๊ บางทีนางอาจไม่มีอำนาจนั้น แต่อย่างน้อยนางก็จะสู้เพื่อยวี้เอ๋อร์!
แต่ยามนี้มู่หรงฉิงไม่กล้าเสี่ยง นางมักจะรู้สึกเสมอว่าสาเหตุที่ยวี้เอ๋อร์ทำท่าชอบจุ๊กกรู๊นั้นดูเหมือนจะมีแผนการอะไรบางอย่าง นางไม่้าทำลายสถานที่ที่ป้องกันตัวเองซึ่งเป็เื่ยากกว่าจะได้มา
“ยวี้เอ๋อร์” มู่หรงฉิงเห็นยวี้เอ๋อร์เดินไปที่ประตูด้วยท่าทางผิดหวัง นางจึงเรียกขานอีกฝ่ายให้หยุด
ยวี้เอ๋อร์หันกลับไปทันที นางมองมู่หรงฉิงด้วยความคาดหวัง “คุณหนูมีอะไรหรือ?”
สีหน้าและอากัปกิริยาของยวี้เอ๋อร์ราวกับมั่นใจว่ามู่หรงฉิงจะต้องเรียกนางให้หยุดอย่างแน่นอน มู่หรงฉิงยิ้มเ็าในใจ ยวี้เอ๋อร์รู้จักนางดีพอจริงๆ อย่างไรก็ดีนางไม่้าที่จะเปิดเผยทุกท่าทีต่อหน้ายวี้เอ๋อร์อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากยวี้เอ๋อร์สามารถสวมหน้ากากได้หลายหน้าและมีหลายบุคลิก แล้วทำไมนางถึงไม่ปั้นให้มีตัวตนหลากหลายมากกว่าเล่า จากนั้นก็ปล่อยให้ยวี้เอ๋อร์พยายามคิดและคาดเดา
“ดูจากท่าทีของคุณชายรองแล้ว เหมือนอยากจะอยู่ในเรือนนี้ เกรงว่าเช้านี้ไม่อาจไปยกน้ำชาได้แล้ว เ้าอยู่เคียงข้างข้าก็จะสิบปีแล้ว เ้าช่วยไปขอโทษฮูหยินแทนข้าที จงจำไว้ว่า อย่าทำให้ฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าต้องตำหนิ”
ใบหน้าของมู่หรงฉิงเต็มไปด้วยความจนใจ ประจวบเหมาะกับเฉินเทียนหยูเข้ามาดึงนางไปโดย้าให้นางไปดูจุ๊กกรู๊ด้วยกันให้ได้ ดังนั้นใบหน้าของมู่หรงฉิงจึงยิ่งจนใจเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
ยวี้เอ๋อร์กัดริมฝีปากด้วยท่าทางลำบากใจ “คุณหนู บ่าวเป็แค่คนใช้... บ่าว... บ่าวจะไปในนามของคุณหนูได้อย่างไร...”
“ยวี้เอ๋อร์!” มู่หรงฉิงยังไม่ตอบ แต่ปี้เอ๋อร์หันกลับมามองยวี้เอ๋อร์ด้วยสีหน้าเ็า “เ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? คุณหนูให้เ้าไปขอโทษแทน ไม่ได้ให้เ้าไปยกน้ำชาแทนเสียหน่อย”
ทันทีที่คำพูดของปี้เอ๋อร์สิ้นสุดลง สีหน้าของยวี้เอ๋อร์ก็แปรเปลี่ยนไปทั้งรีบคุกเข่าลงกับพื้น นางเป็บ่าวไปสารภาพผิด นั่นเป็เื่ธรรมดาทั่วไป นางจะสามารถไปยกน้ำชาในนามของเ้านายได้อย่างไรกัน?
“คุณหนูโปรดยกโทษบ่าวด้วย ยวี้เอ๋อร์ไม่ได้คิดเช่นนั้น ยวี้เอ๋อร์ แค่... แค่…”
แค่อะไรหรือ? แค่คิดว่าเ้าจัดการข้าได้ง่ายมาก แค่คิดว่าเ้ามองข้าทะลุปรุโปร่ง เ้ามั่นใจว่าข้าห่างจากเ้าไม่ได้ใช่หรือไม่?
มู่หรงฉิงแสยะยิ้มเ็าในใจ แต่ใบหน้ากลับหันไปมองที่ปี้เอ๋อร์ด้วยความประหลาดใจ “ปี้เอ๋อร์ เ้าพูดอะไรของเ้า เ้า...เฮ้อ พวกเ้าออกไปเถอะ ยวี้เอ๋อร์จงอย่าลืมขอโทษฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินแทนข้าด้วย”
หลังจากพูดจบ มู่หรงฉิงก็ถูกเฉินเทียนหยูลากเข้าไปในห้อง และเฉินเทียนหยูก็อุ้มจุ๊กกรู๊ตัวนั้นไปด้วยกัน
ยวี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นลดสายตาลงราวกับน้อยใจและใกลัวก็มิปาน จ้าวจื่อซินขยิบตาให้ชิงยวี่ เขาพยักหน้าและเดินเข้ามาในระยะห่างจากยวี้เอ๋อร์สามก้าว จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบว่า “เชิญแม่นางทั้งสองคนออกไป ต่อจากนี้ไปจงอย่าเข้าเรือนหยางเซิงนี้อีก!”
“รับทราบ! บ่าวรับทราบแล้ว!” ปี้เอ๋อร์คำนับขอโทษพลางเดินออกจากเรือน แต่ยวี้เอ๋อร์กลับน้ำตาซึม ครั้นลุกขึ้นยืน นางก็เงยหน้าขึ้นมองชิงยวี่อย่างน้อยใจ
เดิมยวี้เอ๋อร์มีหน้าตาสะสวยอยู่แล้ว และในเวลานี้เมื่อมองดูท่าทางอ่อนโยนงดงามซึ่งคล้ายกำลังร้องไห้ปานดอกสาลี่ต้องหยาดฝน มู่หรงฉิงก็ลอบเย้ยหยัน
ยวี้เอ๋อร์ผู้นี้น่าทึ่งจริงๆ แค่หน้าตาอันน่าเวทนาก็ทำให้คนอ่อนใจอยู่หลายส่วน
มู่หรงฉิงคิดว่าชิงยวี่จะใจอ่อน แต่นางกลับเห็นใบหน้าของชิงยวี่เบี่ยงไปทางด้านข้าง และพูดโดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึกอีกหน “แม่นางจงรีบออกจากที่นี่เถอะ วันข้างหน้าอย่าเข้ามาในเรือนหยางเซิงนี้อีก!”
ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยหยาดน้ำตาของยวี้เอ๋อร์เป็ประกาย แต่ครั้นเห็นชิงยวี่มองไปทางอื่นโดยไม่ได้มองนางอีกต่อไป ดวงตาเปล่งประกายของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นิ่งขรึม ก่อนหันหลังกลับและออกจากเรือนหยางเซิง