ผ้าตกสีแดงอยู่ที่ฉินอ๋องงั้นหรือ?
เหล่ามามาอ้าปากค้างและมองไปที่ฉินอ๋องด้วยความไม่เชื่อ
ช่างเป็เื่ตลกสิ้นดี!
ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้ฉินอ๋องกลับมาั้แ่เมื่อไร แต่มันยากที่จะจินตนาการว่าพระองค์ไม่ได้ขับไล่หญิงสาวผู้นี้ออกจากลานดอกบัว ทั้งยังเดินออกมาพร้อมกับนาง เดาว่าคงจะมาถามสารทุกข์สุกดิบในวังใช่หรือไม่
จะไปมีอะไรกับหญิงสาวนางนี้ได้อย่างไรกัน...ไหนจะถือผ้าตกสีแดงไว้กับตัวเองอีก?
หญิงสาวนางนี้ต้องโกหกอย่างแน่นอน แต่นางจะกล้าโกหกต่อหน้าฉินอ๋องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? นางกำลังรนหาที่ตายอยู่หรือไร?
เหล่ามามาเต็มไปด้วยความสับสน อยากถามแต่ก็ไม่กล้าถามมากกว่านี้ และเฝ้ารอปฏิกิริยาของฉินอ๋องด้วยความกลัวจนใจเต้นระรัว
โดยไม่คาดคิด หลงเฟยเยี่ยพูดออกมาสองคำว่า “รอก่อน” แล้วเดินกลับไปด้วยตนเอง
นี่คือจะไปเอามาหรือ?
เหล่ามามายกมือขึ้นมาปิดปากด้วยความไม่เชื่อ อดไม่ได้ที่จะมองไปที่มู่หรงหว่านหรูที่แอบมองอยู่ข้างๆ หานอวิ๋นซีเองก็เดินตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทว่ากลับไม่มีใครอยู่ทางฝั่งนั้น
“พะ...พวกท่าน...” เหล่ามามารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
ทำเช่นนี้ ราวกับพวกเขาเป็ชายชู้หญิงสำส่อนไม่มีผิด!
หานอวิ๋นซีกลอกตาและยืนพิงรั้วรอ อันที่จริง นางเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มีเพียงพระเ้าเท่านั้นที่รู้ดีว่าผ้าตกสีแดงที่หลงเฟยเยี่ยถือออกมาจะมีสีแดงหรือไม่
เมื่อวานนางคิดแค่เพียงให้เขามาทำความเคารพด้วยกัน แต่ไม่คิดว่าจะยังมีอีกปัญหาหนึ่ง ถ้าไม่มีผ้าตกสีแดง แม้เขาจะมาทำความเคารพกับนาง แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร?
สิ่งนั้นต่างหากที่แสดงถึงการยอมรับในตัวนางอย่างแท้จริง
แม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็ไปไม่ได้ และตนเองไม่สามารถยอมรับคำโกหกแบบนี้ได้ แต่หานอวิ๋นซียังคงมีความหวังเล็กๆ อยู่ในใจ เพราะอย่างไรนางก็อภิเษกกับเขาแล้ว
หลงเฟยเยี่ย การที่ท่านกับข้าอภิเษกกันเป็เพราะคำสั่งของฮ่องเต้ ไม่ได้เป็ข้าที่ร้องขอ หากท่านไม่สามารถต่อต้านคำสั่งของฮ่องเต้ได้ ก็อย่าเอาทุกสิ่งทุกอย่างมากดดันข้าในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งได้หรือไม่?
หานอวิ๋นซีก้มหน้าลงและยืนพิงกำแพงเตี้ยเพื่อรออย่างเงียบๆ เหล่ามามาที่กังวลใจอย่างมาก ก็เดินไปมาและมองนางเป็ครั้งคราวราวกับว่านางเป็สัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุด หลงเฟยเยี่ยก็กลับมา พร้อมกับมือทั้งสองที่ว่างเปล่า
หรือท่านตัดสินใจจะพูดความจริง เลยไม่เอาอะไรมาเลย? หานอวิ๋นซีพยายามเพิกเฉยต่อความเ็ปในใจ ยิ้มและไม่ได้ถามอะไรออกไป
“ท่านอ๋อง...ผ้าอยู่ไหนล่ะเพคะ?” เหล่ามามาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างประหม่า
แต่หลงเฟยเยี่ยกลับกล่าวว่า “ข้าเอามันไปเอง”
เหล่ามามาตกตะลึง “ทะ...ท่านอ๋อง้าไปหาไท่เฟยทั้งอย่างนั้นหรือเพคะ?”
หลงเฟยเยี่ยไม่ตอบเหล่ามามาและไม่สนใจหานอวิ๋นซี หลังจากพูดจบก็เดินออกไป ก้าวยาวๆ ออกไปอย่างว่องไว
ร่างกายของหานอวิ๋นซีตอบสนองเร็วกว่าสมองของนาง ก้าวตามไปอย่างไว ด้วยความประหม่า หัวใจของนางจึงเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย เขาจะจัดการมันอย่างไรกัน?
อยากถามแต่ก็ไม่รู้จะถามอย่างไร จึงเดินตามเขาจนไปถึงหน้าประตูอี้ไท่เฟย
หน้าประตูมีเด็กสาวอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งยืนอยู่ ร่างกายผอมซูบราวกับแค่ลมพัดก็ปลิวแล้ว ชุดของนางเรียบง่าย พร้อมกับรูปลักษณ์ที่บริสุทธิ์และแววตาที่แสนอ่อนโยน คนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากมู่หรงหว่านหรู บุตรสาวบุญธรรมของอี้ไท่เฟย
ทันทีที่เห็นพวกเขามา มู่หรงหว่านหรูก็รีบก้าวไปข้างหน้าและเรียกอย่างเขินอายว่า “ท่านพี่ ท่านมาด้วยหรือ?”
เสียงของมู่หรงหว่านหรูนุ่มนวลจนสามารถละลายหัวใจของผู้คนได้ หานอวิ๋นซีขนลุกไปทั้งตัวและแอบถอนหายใจ ช่างเป็ดอกไม้ที่บอบบางเสียจริง!
สาวงามที่ละเอียดอ่อน นุ่มนวล และน่าสงสารอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ แต่น่าเสียดายที่หลงเฟยเยี่ยปฏิบัติกับนางเหมือนอากาศ และเดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็เ็ากับทุกคน
“ท่านพี่...”
มู่หรงหว่านหรูพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง แฝงไปด้วยความน้อยใจ หานอวิ๋นซีตัวสั่นเทาอีกครั้ง และขนลุกไปทั้งตัว
โดยไม่คาดคิด มู่หรงหว่านหรูมองมาที่นาง มองั้แ่หัวจรดเท้า แววตาแสดงความหึงหวง ทว่าบนใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “พี่สะใภ้ ท่านช่างงดงามเหลือเกิน!”
ขณะที่นางพูด ก็จับแขนของหานอวิ๋นซีอย่างสนิทสนมและพูดปลอบว่า “ท่านพี่ของข้าก็มีนิสัยเช่นนี้แหละ ท่านอย่าไปใส่ใจเลย มาสิ ข้าจะพาท่านเข้าไป”
เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าเป็นางต่างหากที่ถูกหลงเฟยเยี่ยมองเป็อากาศ พูดแบบนี้ราวกับว่านางเป็เ้าบ้าน และหานอวิ๋นซีเป็แขกอย่างไรอย่างนั้น
ไม่ว่าบุตรสาวบุญธรรมจะดีแค่ไหน อย่างไรก็ไม่ใช่แซ่ั และไม่ว่าลูกสะใภ้จะเลวแค่ไหน ก็ยังได้เป็นายหญิงในอนาคตอยู่ดี
หานอวิ๋นซียิ้ม “ขอบคุณแม่นางมู่หรงมาก แต่ข้าเข้าไปเองได้”
ขณะที่พูด ก็เอามือของนางออกและเดินเข้าไป